ยาย เตี่ยกับแม่คงไม่รู้ว่า มื้อไหน ๆ ที่บ้านเกิดสำหรับลูก ๆ ไม่เคยมีอะไรที่ไม่อร่อย อิ่มและตื้นตัน ตั้งแต่ได้เหยียบบ้านเป็นก้าวแรกแล้วหล่ะ
อำเภอเมือง จังหวัดสุราษฎร์ธานี หรือที่คนในท้องที่จะเรียกกันติดปากว่า "บ้านดอน" เป็นบ้านเกิดของครูปู เองค่ะ คุณยายเล่าให้ฟังว่า ต่อให้ภาคใต้น้ำท่วมหมด ยังไงก็จะเหลืออำเภอนี้หล่ะ ที่ไม่มีทางท่วม (ฟังดูเท่ ๆ ไงไม่รู้) ถึงครูปูจะเนรคุณนิด ๆ ด้วยการพูดใต้ ไม่เป็น เนื่องจากไม่มีใครในบ้านเป็นคนใต้เลย แต่ก็ฟังรู้เรื่องโม๊ด ใครอย่าได้นินทาทีเดียวเชียว
ตีห้าของวันพุธที่ 23 เจ้าเพื่อนเลิฟตั้งแต่วัยเด็ก มายืนรอรับที่ขนส่งอย่างน่าเอ็นดู เอามือลูบหัวไปสองสามปรื๊ด เพื่อแสดงความขอบคุณ แล้วจึบเมาท์กระจายกันจนถึงบ้าน คุณยายกับคุณแม่ตื่นเต้นตามเคย นอนไม่หลับทั้งคู่ พอได้ยินเสียงรถจอดเอี๊ยด ประตูบ้านก็เด้งผึง! ในบัดดล
หลังจากกอดรัดฟัดเหวี่ยงกันเป็นพิธี ก็เอนหลังเล่นกับเพื่อนบนเตียงยาย เพื่อฟังเสียงเตี่ยกับแม่ทะเลาะเพื่อแย่งกันเป็นเจ้าของเมนูแต่ละจาน อันได้แก่ ปลากระพงทอด ปลาจาระเม็ดนึ่งบ๊วย ฉู่ฉี่ปลาทู แกงจืดเต้าหู้ขาว ปูนึ่ง และสะตอเผา โดยแต่ละจาน ได้รับการ discuss กันมาร่วมอาทิตย์แล้วว่า ล้วนเป็นจานโปรดของครูปูทั้งสิ้น ขอย้ำนะคะ ทั้งหมดนี่ คือกับข้าวของ สามคนพ่อ แม่ ลูก และเพื่อนหัวแก้วหัวแหวนอีกหนึ่ง (ไม่รวมคุณยาย เพราะเจ้านั้น มิสามารถจะมาทานกับข้าวพื้น ๆ เกลือกกลั้วกับพวกเราได้) เตี่ยกับแม่ก็จะเฝ้ารอเสียง comment จากลูก เพื่อจะได้โยนความผิดกันไปมา ...ฮา...
ยาย แม่และเตี่ย คงไม่รู้ว่า ไม่มีมื้อไหนที่บ้าน ที่ไม่อร่อยสำหรับลูก อิ่มและตื้นตัน ตั้งแต่ได้เหยียบบ้านก้าวแรกแล้วหล่ะ
ประกอบกับสิ่งแวดล้อม บรรยากาศ ญาติ ๆ เพื่อน ๆ ความมีน้ำใจของครอบครัวเรา ที่ทำบ้านกึ่ง ๆ เป็นโรงเจ เนื่องจากเป็นคนกว้างขวางและมีน้ำใจ อยู่กันแค่ 2-3 คน แต่หุงข้าวเต็มหม้อเผื่อชาวบ้านทุกวัน ทำกับข้าวทีนึงต้องทำจานใหญ่ ๆ เยอะ ๆ เนื่องจากมีเพื่อน ญาติ คนรู้จัก แวะเวียนมาไม่ได้ขาด
ใครมาบ้านนี้ อย่าหวังว่าจะได้คุยธุระปะปังเป็นเรื่องเป็นราวแต่แรก ทุกคนจะต้องผ่านด่าน การตักข้าวมาทานร่วมกันก่อน แล้วมีธุระอะไร ค่อยว่ามา
แม้บางคนอาจไม่น่ารัก เห็นว่าที่บ้านไม่ว่าอะไร หรือเรียกร้องใด ๆ ก็พลอยประหยัดมื้อเช้า ยกครอบครัวมาทานทุกวัน แต่ไม่เคยแสดงน้ำใจอะไร บ้างก็ด้วยไม่มีจริง ๆ ก็เลยกะมาขอพึ่งพาสักระยะ พอมีบ้างแล้วก็จะค่อย ๆ หายหน้าไป ครูปู ก็ไม่เคยเห็นว่าที่บ้านจะมีปฎิกริยาใด ๆ ไม่ค่อยเจ็บใจ เจ็บแค้น หรือเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมนี้ แต่อย่างใด
แต่น่าแปลกตรงที่ เมื่อได้กลับบ้านแต่ละครั้ง ได้เริ่มเห็นความเปลี่ยนแปลงอย่างคาดไม่ถึงของคนเหล่านี้ทีละน้อย เริ่มรู้จักมีของฝากติดไม้ติดมือ เริ่มคิดเริ่มรับรู้ เมื่อไปเจอของชอบของคุณยายก็นึกถึง ซื้อมาฝาก เจอของชิ้นนั้น ชิ้นนี้จำได้ว่า เตี่ยเคยพูดว่าอยากได้ ก็ซื้อมาฝาก
ชะรอย! นี่คงเป็นกลวิธีในการกลายเป็นผู้มีอิทธิพลของครอบครัวเรา แง๋ ๆ
กับข้าวที่ไม่หมดในแต่ละวัน ก็ไม่เคยทิ้งนะคะ ครูปูนี่แหล่ะค่ะ รับหน้าที่ตักกับข้าวใส่ถุง ปั่นจักรยาน ไปแจกตามบ้านคนจน ๆ ตั้งแต่เด็ก ๆ แล้วค่ะ บ้างก็เป็นคนรับจ้างล้างสะพานปลา บ้างก็คนงานรับจ้างแกะกุ้ง หรือเป็นลูกจ้างเรือประมง หลายครอบครัวยากจนแต่มีลูกเยอะ พอเอากับข้าวไปให้เขาเสร็จแล้ว ยังต้องมีหน้าที่ รายงานสภาพความเป็นอยู่ของเค้า ให้ที่บ้านฟังด้วยว่า ตะกี๊เจอลูก ๆ เค้าเนื้อตัวมอมแมม เสื้อผ้าเก่าสกปรก
เท่านั้นเอง จะเป็นสาเหตุให้หม่อมแม่ของครูปู นอนกระสับกระส่ายทั้งคืน รุ่งขึ้นก็จะหายไปแต่เช้า กลับมาพร้อมเสื้อผ้าถุงใหญ่จากบ้านเพื่อน ๆ ญาติ ๆ เท่าที่จะไปขอ ไปค้นของเขามาได้ มานั่งแยกเป็นกอง ๆ ด้วยความปลาบปลื้ม แล้วก็แบกถุงหายไปอีกครึ่งวัน กลับมา ด้วยใบหน้าอิ่มเอิบกว่าตอนขาไป แยะ ..อิ..อิ..