วงปี่พาทย์เสภา
เป็นวงปี่พาทย์ชนิดหนึ่งที่เกิดขึ้นในสมัยรัชกาลที่ ๒
แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ ตามหลักฐานคำกลอนที่ว่า
เมื่อครั้งจอมนรินทร์แผ่นดับลับ
เสภาขยับหามีดนตรีไม่
ครั้นมาถึงสมัยพระองค์ผู้ทรงชัย
ก็เกิดขึ้นมีในอยุธยา
แต่เดิมการเล่นเสภา ผู้ขับจะขับเสภาไปพร้อมกับการตีกรับ
โดยให้สอดประสานไปกับบทเสภา
แต่การตีกรับในที่นี้เป็นการตีในลักษณะพิเศษ
ใช้ความสามารถเฉพาะตัว คือ
ผู้ขับจะถือกรับไม้ในมือข้างละคู่
ใช้นิ้วมือทั้งห้าบังคับให้กรับสองอันตีกระทบกัน
ให้มีเสียงสั่นระริก ในลักษณะไม้ต่างๆ เช่น
ไม้สะกัดสั้น สะกัดยาว หรือไม้รบ เป็นต้น
และเรียกวิธีการตีกรับอย่างนี้ว่า “ ขยับกรับขับเสภา “
ซึ่งถือเป็นศิลปชั้นสูงของผู้ขับเสภา
สำหรับการเล่นเสภาในอดีต มีวิวัฒนาการมาโดยลำดับ
ในชั้นแรกผู้ขับจะขับเสภาเป็นเรื่องราว
พร้อมกับขยับกรับในไม้ต่างๆให้สอดประสานไปกับบทจนจบเรื่อง
ต่อมาให้มีดนตรีเข้ามาบรรเลงประกอบในการขับเสภา
แต่บรรเลงเฉพาะกิริยาอารมณ์ต่าง ๆ ของตัวละคอนในบท เช่น ไป มา
โกรธ ดีใจ หรือเสียใจ เป็นต้น
ขั้นต่อมานำบทเสภาบางตอนที่ไพเราะมาร้องส่งให้ปี่พาทย์รับ
ซึ่งในชั้นแรกจะเป็นเพลงในอัตราสองชั้น
โดยสร้างรูปแบบและวิธีการเล่นปี่พาทย์เสภาที่มีปี่พาทย์ประกอบคือ
เริ่มด้วยวงปี่พาทย์บรรเลงเพลง “ รัวประลองเสภา “ ผู้ขับ
ขับเสภาในบทไหว้ครู แล้วขับเข้าเรื่อง บทเสภาบทใดไพเราะ
ผู้ขับก็จะร้องส่งให้ปี่พาทย์รับ
แล้วขับเสภาเดินเรื่องต่อ กระทำสลับกันจนจบเรื่อง
ในระหว่างบทร้องส่งเพลงสุดท้าย เมื่อปี่พาทย์รับแล้ว
จะลงจบด้วยทำนองเพลงที่เป็น “ ลูกหมด “ เช่น
การเล่นปี่พาทย์เสภาในบทกากี
ในสมัยรัชกาลที่ ๒ แห่งกรุงรัตนโกสินทร์
เข้าใจว่านิยมบรรเลงปี่พาทย์เสภากันอย่างแพร่หลาย
ต่อมาภายหลังอาจเป็นเพราะผู้ขยับกรับขับเสภาหายาก หรือมีน้อยลง
การขยับกรับขับเสภาเป็นเรื่องราวจึงลดน้อยค่อยๆหายไป
คงเหลือแต่การนำบทเสภาในเรื่องต่างๆมาขับร้องส่งให้ปี่พาทย์รับ
พร้อมทั้งสร้างรูปแบบ ลำดับวิธีการบรรเลงปี่พาทย์เสภา
ยึดถือเป็นระเบียบดังนี้
1. รัวประลองเสภา
2. โหมโรงเสภา (
เช่น โหมโรงไอยเรศย์ )
3. เพลงพม่า ๕ ท่อน
4. เพลงจะเข้หางยาว
5. เพลงสี่บท
6. เพลงบุหลัน
จากนั้นจะร้องและบรรเลงเพลงประเภททะยอย เช่น ทะยอยเขมร
ทะยอยนอกทะยอยใน โอ้ลาว แขกลพบุรี แขกโอด
เป็นต้น หรืออาจต่อด้วยเพลงตับเรื่องต่างๆ
ต่อเมื่อจะจบการ
การบรรเลง จะบรรเลงและขับร้อง “ เพลงลา “
เป็นอันดับสุดท้าย
สำหรับเพลงลาเป็นเพลงลักษณะหนึ่งที่ท่วงทำนองตอนหนึ่งให้ปี่ว่า “ ดอก
“ ตามบทร้อง เช่น เพลงเต่ากินผักบุ้ง เพลงพระอาทิตย์ชิงดวง
การบรรเลงปี่พาทย์ในลักษณะนี้เรียกกันว่า “ การบรรเลงปี่พาทย์เสภา
“ และสำหรับวงปี่พาทย์ในใช้บรรเลงในครั้งนี้
ได้เปลี่ยนแปลงเครื่องดนตรีบางชิ้นในวงปี่พาทย์ไม้แข็ง คือ
เอาตะโพน กลองทัดออก นำเอากลองสองหน้ามาตีแทน
รูปขนาดของวงปี่พาทย์คงเหมือนเดิม
สำหรับกรับเสภาในระยะแรกยังคงใช้การขยับกรับขับเสภาไหว้ครูในตอนต้น
ต่อมาภายหลังเลิกใช้ คงนำกรับเสภาคู่เดียว
มาตีช่วยควบคุมในจังหวะหนัก
วงปี่พาทย์เสภาเครื่องห้า ประกอบด้วยเครื่องดนตรีดังนี้
1. ปี่ใน
2. ระนาดเอก
3. ฆ้องวงใหญ่
4. กลองสองหน้า
5. ฉิ่ง
สวัสดีครับ
่ดีที่อนุรักษ์เรื่องเกี่ยวกับดนตรีเอาไว้
ขอบคุณค่ะ
บางอย่างก็เป็นความรู้ใหม่สำหรับพี่คิมค่ะ
อยากรู้เรื่องโอกาสที่ใช้ในการบรรเลงวงปี่พาทย์เสภาเครื่องห้า
เนื้อหาความสำคัญน้อยเกินอะ
ดี
ผมอยากทราบ เรื่องปี่พาทย์เส-( แบบระเอียด ) คับ
พอจะมีให้คำตอบได้บ้างคับ ขอขอบคุญผู้ที่ให้วิทยาทาน
ขอบคุณสำหรับข้อมูลนะคะ ^U^
วงปี่พาทย์เสภาใช้บรรเลงในโอกาสใด ???? ตอบหน่อย
ทำไมมีประวัติน้อยจังคับ