
คุณทราบไหมค่ะว่าทำไม บัณฑิตมีความหมาย อย่างไร ทำไมบัณฑิตจึงต้องสวมครุย และครุยมีความหมายอย่างไร เมื่อค้นหาความหมายจาก พจนานุกรม ฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. ๒๕๔๒ ได้ความหมายดังนี้ค่ะ
เสื้อครุย น. เสื้อชนิดหนึ่ง มีหลายแบบ ใช้สวมหรือคลุม เป็นเครื่องประกอบเกียรติยศหรือแสดงหน้าที่ในพิธีการหรือแสดงวิทยฐานะ
เมื่อสอบถาม วิกิพีเดียได้ข้อมูลเพิ่มดังนี้ค่ะ ครุย เป็นเสื้อคลุมประเภทหนึ่ง มีลักษณะหลวม ยาวถึงเข่าหรือทั้งตัว ใช้สวมหรือคลุมทับด้านนอก ทั้งชายและหญิงในยุโรปใส่ครุยกันมาตั้งแต่ยุคกลางตอนต้นจนถึงคริสต์ศตวรรษที่ 17 ปัจจุบันครุยยังคงใช้สวมใส่เพื่อแสดงตำแหน่งฐานะในอาชีพที่มีรากฐานย้อนไปได้ถึงยุคกลาง เช่น ผู้พิพากษา ในวงวิชาการ ครุยยังใช้เพื่อแสดงวิทยฐานะอีกด้วย...
คุณ ศิริรัตน์ สาโพธิ์สิงห์ เขียนเรื่องเสื้อครุยไว้ดังนี้ค่ะ(คลิกเข้าไปอ่านต้นแบบเต็มๆได้ค่ะ)
ความเป็นมาของ เสื้อครุย ยังไม่มีหลักฐานแน่ชัดค่ะว่ามาจาก ประเทศ จีน อินเดีย หรือประเทศอื่น แต่คาดว่าน่าจะเริ่มในสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช ใน พ.ศ. ๒๒๒๘ เมื่อพระวิสูตรสุนทร (โกษาปาน) เป็นราชทูตออกไปเจริญทางพระราชไมตรีกับพระเจ้าหลุยส์ที่ ๑๔ ของฝรั่งเศส ในโอกาสนั้นท่านราชทูตแต่งตัวอย่างเต็มยศตามธรรมเนียมไทย คือ สวมเสื้อเยียรบับ มีกลีบทองและดอกไม้ทอง และสวมเสื้อครุย
ในสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช ใน “พระราชบัญญัติ” เมื่อปี พ.ศ. 2343 มีความตอนหนึ่งกล่าวถึงเรื่องเสื้อครุยว่า“...อย่างธรรมเนียมแต่ก่อนสืบมา จะนุ่งผ้าสมปักทองนากแลใส่เสื้อครุย กรองคอ กรองต้นแขน กรองปลายแขน จะคาดรัดประคดหนามขนุนได้แต่มหาดไทย กลาโหม จตุสดมภ์...ทุกวันนี้ข้าราชการผู้น้อยนุ่งห่มมิได้ทำอย่างธรรมเนียมแต่ก่อน ...แต่นี้สืบไปเมื่อหน้า...ห้ามอย่าให้ข้าราชการผู้น้อยใส่เสื้อครุย กรองคอ กรองสังเวียน กรองสมรด...ได้เสื้อครุยได้แต่กรองปลายมือ…”
พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวได้โปรดเกล้าฯ ให้ตราพระราชบัญญัติเกี่ยวกับเสื้อครุยหลายฉบับ เช่น พระราชบัญญัติสำหรับเครื่องขัตติยราชอิสริยยศอันมีเกียรติคุณรุ่งเรืองยิ่งต รามหาจักรีบรมราชวงศ์ พ.ศ. 2424 พระราช บัญญัติเครื่องราชอิสริยาภรณ์อันเป็นโบราณมงคลยิ่ง นพรัตนราชวราภรณ์ พ.ศ. 2436 และพระราชบัญญัติเครื่องราชอิสริยาภรณ์สำหรับตระกูลจุลจอมเกล้า พ.ศ. 2436 ตาม พระราชบัญญัติดังกล่าวได้กำหนดให้ใช้เสื้อครุย ซึ่งเป็นเสื้อครุยพื้นสีทอง เสื้อครุยพื้นเหลือง เสื้อครุยพื้นสีขาว สำหรับผู้ได้รับ พระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์ตามพระราชบัญญัติทั้งสามฉบับ
ภาพจาก พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ในฉลองพระองค์ครุยเนติบัณฑิต
สมัยพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว พระองค์ทรงพระราชปรารภว่า "...เสื้อครุยเป็นเครื่องแต่งตัวในงานเต็มยศใหญ่แต่โบราณมา แลบัดนี้ได้โปรดให้มีเครื่องแต่งตัวตามลำดับ ยศข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ผู้น้อย ทั้งฝ่ายทหาร พลเรือน จัดให้เป็นระเบียบเรียบร้อย ทรงพระราชดำริเห็นว่า การที่จะใช้เสื้อครุยนั้น สมควรจะมีพระราชกำหนดไว้ให้เป็นระเบียบเสียด้วย..." จึงโปรดเกล้าฯ ให้ตราพระราชกำหนดเสื้อครุยขึ้นเมื่อปี พ.ศ. 2454 กำหนดเสื้อครุยข้าราชการไว้ 3 ชั้น เรียกว่า เสื้อครุยเสนามาตย์ แบ่งเป็นชั้นตรี โท เอก
ยังมีเสื้อครุยอีกประเภทหนึ่งเรียกว่า เสื้อครุยวิทยฐานะ ใช้สวมเป็นที่เชิดชูเกียรติสำหรับผู้สำเร็จวิชาการจากมหาวิทยาลัย หรือวิทยาลัยชั้นสูง อาจกล่าวได้ว่า เสื้อครุยวิทยฐานะมีขึ้นครั้งแรกในประเทศไทย สมัยที่พระองค์เจ้ารพีพัฒนศักดิ์ พระเจ้าลูกยาเธอในรัชกาลที่ 5 เ ป็นเสนาบดีกระทรวงยุติธรรม โดยให้ผู้ที่สอบไล่วิชากฎหมายได้เป็นเนติบัณฑิตมีสิทธิสวมเสื้อครุย ซึ่งครั้งนั้นเรียกว่า เสื้อเนติบัณฑิต
พ.ศ. 2473 พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว โปรดเกล้าฯ ให้ประกาศพระราชกำหนดเสื้อครุยบัณฑิตของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เพื่อ “...นิสิตที่เล่าเรียนสำเร็จตามหลักสูตรของมหาวิทยาลัยและได้รับปริญญานั้น ควรมีโอกาสใช้เสื้อครุยมหาวิทยาลัยเป็นที่เชิดชูเกียรติให้เข้ารูปเยี่ยงนิสิตในสถานอุดมศึกษาทั้งหลายในนานาประเทศ” หลังจากนั้นเป็นต้นมา บัณฑิตจากสถาบันการศึกษาต่าง ๆ จึงสวมครุยที่มีรูปแบบแตกต่างกันตามสถาบันเมื่อเข้ารับพระราชทานปริญญาบัตร...
ส่วนความหมายของคำว่า บัณฑิต [บันดิด] น. ผู้ทรงความรู้, ผู้มีปัญญา, นักปราชญ์, ผู้สําเร็จการศึกษาขั้นปริญญาซึ่งมี ๓ ขั้น คือ ปริญญาตรี ปริญญาโท ปริญญาเอก เรียกว่าบัณฑิต มหาบัณฑิต ดุษฎีบัณฑิต, ผู้มีความสามารถเป็นพิเศษโดยกําเนิด เช่น คนนี้เป็นบัณฑิตในทางเล่นดนตรี. (ป., ส. ปณฺฑิต).
อาจารย์ เสฐียรพงษ์ วรรณปก เล่าให้ฟังดังนี้ค่ะ
พระพุทธเจ้าตรัสไว้ว่า"บุคคลที่เป็นบัณฑิตมีปัญญามาก ย่อมไม่คิดการเพื่อเบียดเบียนตัวเอง,ไม่คิดการเพื่อเบียดเบียนผู้อื่น,ไม่คิดการเพื่อเบียดเบียนทั้งสองฝ่าย,ย่อมคิดการเพื่อเป็นประโยชน์แก่ตน, แก่ผู้อื่น, แก่ทั้งสองฝ่าย,ย่อมคิดการเพื่อประโยชน์แก่โลกทั้งหมดทีเดียว" ด้วยเหตุนี้แล บุคคลจึงเรียกว่าเป็น บัณฑิต"
เป็นเรื่องพูดยากนะคะว่าปริญญาบ้านเราที่เปิดกันเป็นดอกเห็ดมีคุณภาพแค่ไหน ขึ้นอยู่กับว่าเอาอะไรมาวัดค่ะ ความรู้ ความสามารถ เป็นสิ่งที่ต้องฝึกฝนนะคะ ความรู้ไม่ได้เกิดจากการอ่านและการท่องจำตามตำรา เพราะเดี๋ยวนี้ความรู้มีมากจนเรียนไม่หมด บางทีใบไม้ในกำมือก็ยังรู้ไม่หมดเหมือนที่พระพุทธองค์ตรัสนะคะ แต่รู้สิ่งใด ต้องรู้ให้กระจ่าง และฝึกฝนให้เชี่ยวชาญ เหมือนที่ท่านสุนทรภู่กล่าวเป็นการดีที่สุด ความรู้ยิ่งใช้ ยิ่งมีเพิ่มมากนะคะ หลายคนคิดว่ารู้แล้วพอแล้ว เลยไม่พัฒนา ที่สำคัญการให้ความรู้สำคัญที่สุด ตอนนี้ประเทศชาติไม่พัฒนาไปถึงไหน เพราะคนส่วนใหญ่ในประเทศถูกปิดหูปิดตา และตกเป็นเหยื่อของสื่อ อยากชวนให้ลองฟังวิทยุชุมชนดูจะเห็นได้ว่าสื่อวิทยุยังมีอิทธิพลต่อชาวบ้านมากๆ ที่สำคัญโฆษณาขายยา อาหารเสริม ระบาดสู่รากหญ้า นอกเหนือจากการยัดเยียดความรู้ผิดๆ เรื่องปุ๋ย เรื่องคุณภาพชีวิต ดังนั้น ตอนนี้ คนจบ ปริญญาตรี ปริญญาโท และปริญญาเอก มีมากมายและหลักสูตรแสนพิศดารไปทุกที จะทำให้เกิดภาวะล้นตลาดแน่ๆค่ะ ใน 10 ปีข้างหน้า ไม่ได้หมายความว่าประเทศชาติจะพัฒนาขึ้นหรอกนะคะในอนาคตเราคงไม่ต่างจาก อินเดีย หรือ อาเจนตินา ที่ปริญญาเอก ล้นเมือง คนขับรถเท็กซี่ หรือทำงานบริการ ต่างจบปริญญาเอกทั้งนั้น ดังนั้น ความรู้ ความสามารถไม่ได้วัดกันที่ใบปริญญาแน่นอนค่ะ
อย่างไรก็ตามใบปริญญาใบนี้ก็มีความสำคัญสำหรับใครหลายๆคนที่ต้องการที่จะมีอนาคตที่ดี เป็นเพียงการเริ่มต้นชีวิต หนทางข้างหน้าที่บัณฑิตเหล่านี้ต้องเผชิญยังอีกยาวไกล การจะไปถึงฝั่งฝันได้หรือไม่ขึ้นอยู่กับความมานะพยายามนะคะ ช่วงนี้เป็นช่วงรับปริญญาของหลายมหาวิทยาลัย หากคุณๆเดินทางผ่าน หน้ามหาวิทยาลัย หรือหน้าสวนอัมพร แล้วเจอรถติดและผู้คนมากมาย อย่าพึ่งหงุดหงิดนะคะ เพราะวันสำคัญนี้เป็นวันที่นิสิตและนักศึกษา ทุกคนต่างรอคอย หลายคนใช้เวลาหลายปีกว่าจะมีวันนี้ได้ บรรยากาศในวันสำคัญนี้จึงเต็มไปด้วยรอยยิ้ม เสียงหัวเราะ ผู้คนแต่งตัวสวยงาม ลืมความทุกข์ และสารพันปัญหา ทั้งทางด้านเศรษฐกิจสังคมและการเมือง สักวันนะคะ มาร่วมแสดงความยินดีกับพวกเขากันดีกว่า ขอแสดงความยินดีกับบัณฑิตใหม่ทุกท่านนะคะ.
-------------------------------------------------------------------------------
ปล.ขอขอบคุณทุกท่านที่เป็นห่วงนะคะ ดีขึ้นแล้วค่ะตอนนี้หมอให้รอดูอาการค่ะแล้วจะเล่าให้ฟังนะคะ
สวัสดีค่ะ น้อง อ.อ๊อต
สวัสดีค่ะคุณnaree suwan
แวะอ่านหัวข้อเก๋ดีค่ะ ได้ืทราบเรื่องราวของเสื้อครุย ได้ใส่ก็ควรทราบความหมายนะคะ
จริงๆปริญญาก็เป็นเหมือนสิ่งที่ทำให้คนอื่นที่ไม่รู้จักได้เห็นถึงความพยายามของเราที่ทำได้ตามเป้าหมายหนึ่ง ยังมีอีกหลายเป้าหมายที่ต้องไปให้ถึง
ก็เลยได้ทราบว่าไม่สบาย มีพี่ที่รู้จักเป็นซีสเหมือนกันค่ะ ผ่าแล้วหายแล้ว ทำงานหนักต่อ ขอเป็นกำลังใจให้หายไวๆค่ะ ทราบว่าผู้หญิงจะเป็นเยอะ
สวัสดีคะ พี่นารี
ขอให้หายป่วยไว้ๆ นะค่ะ
และขอแนะนำป้าแดงคะ ชุดครุยที่มีถุงข้างหลัง ของม.สงขลานครินทร์มีคะ สนใจไหมเอ่ย :)
ใบปริญญาเป็นองค์ประกอบหนึ่งในการเริ่มต้นอนาคตที่ดี แต่สิ่งที่สำคัญคือ เราจะสามารถนำสิ่งที่เราเพียรพยามยามไขว่าคว้าอย่างยากเย็นมาใช้ให้เกิดประโยชน์หรือไม่ ซึ่งเบื้องหลังของปริญญาบางใบอาจจะต้องแลกทั้งหยาดเหงื่อและคราบน้ำตาของใครบางคน
ขอแสดงความยินดีกับบัณฑิตใหม่ทุกท่านค่ะ ขอให้ไปถึงฝั่งฝันอย่างที่ตั้งใจ
สวัสดีค่ะ
ดีใจที่คุณนารีค่อยยังชั่วแล้ว ขอให้หายไวไวนะคะ เมื่อกี๊ ขับรถมาหาหลานที่บ้านเขา ยังคิดถึงคุณมาตลอดทาง ไม่ได้แกล้งพูด เพราะรู้สึก เว้นวรรคนานเกินไปค่ะ
พี่เคยเป็นซีส ที่ต่อมไทรอยด์ หลายปีมากๆๆๆแล้ว โตประมาณ 2ซ.ม. เวลากลืนน้ำลาย จะเห็นถนัดเลย
เป็นเพียวซีส คือมีแต่น้ำๆ หมอใช้เข็มฉีดยาดูดออก ต้องไปดูดออก 2 หน คุณหมอรัชตะฯ ท่านบอกว่า บอกสาเหตุไม่ได้ อยู่ๆก้เป็น โรคอะไรต่างๆ บางทีก็ไม่ทราบว่าเกิดจากอะไร ได้แต่สันนิษฐาน และรักษา ตามอาการ
สรุปว่า ไม่เป็นอะไร หายดี และไม่เป็นอีกค่ะ
ส่วนเรื่องปริญญา มีคนเขียนวิจารณ์มากมายว่า....คนไทยเรานี้พอมีโอกาสทางการศึกษาก็มีจนเกินพอดี "over educated"
แต่ว่าได้ความรู้เท่าใดเป็นคนละเรื่องกัน
เรื่องนี้ เป็น เรื่องยาวมากค่ะ พูดกันจบยาก แต่ที่ประสบมากับตัวเอง และจากคนอื่นๆ มากมาย เด็กที่มีความรู้จริงๆ เก่งจริงๆ มีไม่มากนักค่ะ
แต่ยังไงก็ขอแสดงความยินดีกับนิสิตทุกๆคนนะคะ
สวัสดีค่ะตกข่าวเรื่องอาจารย์ไม่สบาย ซีสต์ในระบบช่องท้องนี้ผู้หญิงเป็นกันเยอะมาก โดยไม่รู้สาเหตุ พี่ก็เคยเป็น อิ อิ เป็นพังผืดเต็มเลยค่ะ แต่ความก้าวหน้าทางการแพทย์ทำให้การผ่าตัดพวกนี้เป็นเรื่องเล็ก ไม่ต้องตกใจนะคะ
เรื่องปริญญานี่กลยเป็นมายาที่คนเอามาเคลือบตัวก็เยอะนะคะ เวลาบัณฑิตเข้ารับพระราชทานปิญญาบัตรมีพระบรมราโชวาทดีๆทุกครั้งซึ่งหากใส่ใจจะสามารถสร้างคุณประโยชน์ให้แก่ตนเองและผู้อื่นได้มากมาย
สวัสดีค่ะน้องอ็อด
ไม่ป่วยแล้วๆๆๆๆ
^ ^
สวัสดีครับ คุณ naree suwan
ขอบคุณครับ :)
สวัสดีคะ
-ตกข่าวกับเขาอีกคนค่ะ รักษาสุขภาพด้วยนะค่ะ เห็น อ.อ๊อด หายหน้าหายตาไปนานเหมือนกัน แต่ไม่ทราบว่าเกิดอะไรขึ้น ได้ยินข่าวอีกทีก็ตกใจ หายเร็ว ๆ นะค่ะ เป็นกำลังใจให้ค่ะ
หวัดดีค่ะพี่สาว
สวัสดีค่ะน้องอ็อด
สวัสดีค่ะอ.นารี
ตกข่าวเรื่องอาจารย์ไม่สบายเหมือนกัน เป็นกันเยอะค่ะ ตัวเองก็เคยเป็น แต่อย่างที่พี่นุชบอกค่ะ เดี๋ยวนี้การแพทย์ดีค่ะ ถ้าตรวจเจอแล้วก็รักษากันไปค่ะ ตามธรรมชาติของโรค ^ ^
สำหรับเรื่องใบปริญญา ยังเป็นใบเบิกทางที่สำคัญมากอยู่ แต่การมีใบปริญญาก็ไม่ได้รับรองว่าคนๆ นั้นมีความรู้...อันนี้พวกที่เคยผ่านประสบการณ์มาคงรู้ดีอยู่แล้ว... ^ ^ ย้อนกลับไปดูตอนตัวเองจบใหม่ๆ ออกไปทำงานก็รู้เลยว่าเรายังไม่รู้อีกเยอะ.. ก็เรียนกันตลอดชีวิตโดยไม่สนใบปริญญาแล้วค่ะ ^ ^
"ปริญญาใจ" เกี่ยวกันไหมคะ? ^^
******
สวัสดีครับ
วันนี้มาได้เต็มตัวแล้ว
แต่ว่าเห็นครึ่งตัวไปก่อน
28 นี้สงสัยว่าต้องไปแสดงความยินดีกับบัณฑิตด้วยเหมือนกันครับ
หวังว่าสบายดีนะครับ
สวัสดีครับ คุณนารี
แวะมาเยี่ยมเยียน
ได้ความรู้ใหม่เยอะมากครับ
แม่เดินสี่ขาแล้ว ตอนนี้ ..เออ หมายถึงมีไม้ค้ำสองอันเพิ่มขึ้นมาน่ะค่ะ แม่ป่วยกาย แต่ลูกป่วยใจ อย่างไหนจะหนักกว่ากันเนี่ย ???
วันแรกที่อยู่กับแม่ เมนูน้ำพริกหนุ่ม แคบหมู
วันที่สองก็น้ำพริกอ่องทั้งสามมื้อ (( ทำครั้งเดียวไง แต่ทีละเยอะๆ ))
เมื่อวานก็แกงผักกาด ดีหน่อยที่เถ้าแก่สวนข้างๆ เอาหัวหมูกับวิญญานไก่มาให้
แล้วท่านพี่เป็นอย่างไรบ้างจ๊ะ? ตกลงจะเลือกรักษาวิธีไหน 1.ค่ารักษามหาโหด 2.หาแฟน ต้อมนะเชียร์ให้ท่านพี่เลือกข้อ 2. เพราะไม่ต้องลงทุนอะไรเลยไง แค่ลดความห้าวลง หัดส่งชะม้ายสายตาไปยังเป้าหมายก็หายแร่ะ ซีสต์น่ะ อิอิ
สวัสดีค่ะ พี่นารี
แวะมาเยี่ยม... มาด้วยความดิดถึงค่ะ
พ่อกับแม่ผมท่านมี vision ยาวไกล
เห็นว่าในอนาตคลูกต้องมีมัน
ท่านก็เลยให้ผมมาตั้งแต่เกิดเลยล่ะครับ !!!
....ท่านตั้งชื่อให้ผมว่า....ปริญญา.... มาตั้งแต่เกิดเลยครับ :)
สวัสดีครับพี่นารี
พอดีเขียน Blog ในหัวข้อใกล้เคียงกัน เลยสะดุดสายตากับ topic นี้เข้า
ก็เห็นด้วยนะครับใบปริญญาก็แค่กระดาษแผ่นหนึ่ง มันอาจจะไม่ได้ทำให้ประเทศชาติเจริญรุ่งเรืองขึ้น แต่ผมเชื่ออยู่อย่างว่าการที่คนเราหนึ่งคนจะได้มาซึ่งเจ้าใบปริญญาใบนี้ เค้าคนนั้นคงต้องพยายามพอสมควร ไม่ได้จะด้วยเวลา หรือมันสมอง เพียงแต่เค้าคนนั้นจะสามารถนำสิ่งที่เขาได้ทุ่มเทไปกลับมาให้เกิดเป็นผลลัพธ์อันดีหรือไม่นั้น ก็สุดขึ้นแต่ความโอกาสที่เขาจะมี และความใส่ใจที่เค้าจะให้ครับ
แต่ที่แน่ๆ จากรูปที่ใช้ประกอบบทความนี้ จะเห็นได้ชัดๆ อย่างหนึ่งว่า ถึงการได้เจ้าใบปริญญามานั้นอาจจะก่อให้เกิดหรือไม่เกิดคุณค่ากับสังคมโดยส่วนรวม แต่มันก่อให้เกิดคุณค่าทางจิตใจกับคนรอบข้างแน่นอนครับ
งานรับปริญญามุมหนึ่งอาจมองเป็นสัญลักษณ์ของความฟุ้งเฟ้อ แต่อีกมุมหนึ่งถ้าได้มองดูพ่อแม่พี่น้องของบัณฑิต กับรอยยิ้ม หรือน้ำตาแห่งความภูมิใจ ผมว่าก็เป็นบรรยากาศที่ดีนะครับ
สุดท้ายอยากจะฝากว่า เมื่อบัณฑิตคือผู้ทรงความรู้ จงใช้ความรู้เพื่อทำความดี เพราะคนยิ่งฉลาด หากใช้ความรู้ในทางที่ผิด มันก่อโทษมหันต์ยิ่งกว่าคนโง่ๆ คนหนึ่งทำผิดครับ ;)
ตอนเรียนปี 1 และเมื่อตัดสินใจเข้าสู่ถนนสายกิจกรรม ผมก็เขียนกลอนตามประสาคนคิดเรื่อยเปื่อยแบบไร้ฉันทลักษณ์ว่า
....
ฉันมาที่นี่ด้วยความหวัง
ดวงใจเปี่ยมพลังการแสวงหา
มิใช่เพียงเพื่อใบปริญญา
เพื่อโอ้อวดใครต่อใครว่า ..ข้าคือ "ปัญญาชน" ...
ซึงแทบไม่น่าเชื่อว่าบทกลอนแสนธรรมดา และไร้รูปแบบในทางสัมผัสนั้นได้ถูกนำมาใช้อย่างต่อเนื่อง มีคนท่องจำได้เยอะมาก และปรากฎในหนังสือรับน้องใหม่อีกหลายปี ... ปีที่แล้วก็มีคนนำไปเขียนเป็นป้ายรับน้องเหมือนกัน
....
ถ้าสี่ปีที่นี่ไม่มีอะไร
ยังลอยมาลอยไปในโลกกว้าง
เราคือใครก็ไม่รู้ไม่แคลงคลาง
ไม่รู้จักแม้จะวางตัวอย่างไร
ถ้าเช่นนั้น ชีวิตเธอเป็นโมฆะ
ปริญญาคือขยะคือหยากไย่
คือทางผ่านให้ก้าวมาก็ก้าวไป
มหาวิทยาลัยคือตึกโตอยู่เต็มเมือง
จงศึกษาเพื่อรับใช้ประชาชน
นี่คือหนทางเดียวอันเกี่ยวเนื่อง
ช่วงเวลาชีวิตเราไม่เปล่าเปลือง
แม้ก้าวเดียวก็กระเดื่องเฟื่องฟูภพ
เมื่อเธอก้าวมาถึงที่นี่
ขอเวลาสักนาทีเพื่อสงบ
อย่าให้เพลงชีวิตเราต้องเซาซบ
ต้องเลือนลบลอยลับกับกาลเวลา
(เนาวรัตน์ พงษ์ไพบูลย์)
....
บทกวีนี้ก็สะท้อนแนวคิดที่ล้ำค่ามาก ..ผมมักนำไปให้นิสิตได้อ่านอยู่เนือง ๆ ...
แวะมาทักทาย..พร้อมคำขอบคุณ ดีใจค่ะที่พี่แวะไปเยี่ยม..แย้วก้อเลยติดสอยห้อยตามมารับข้อมูลดี ๆ จ๊ะ...ขอบคุณอีกครั้งสำหรับข้อมูลที่ละเอียดแย้วก้อดีมาก...แล้วจะติดตามผลงานเรื่อย ๆ นะค่ะ..เป็นกำลังใจให้ค่ะ