ทางเข้าวัง...(ปรากฏ)
ไม่ต้องพูดถึงหน้าฝนที่เส้นทางถูกตัดขาดใช้การไม่ได้ตลอดฤดูกาล วันนี้ซึ่งเป็นฤดูหนาวมันสามารถสัญจรได้สะดวก กระนั้นฝุ่นสีแดงก็คลุ้งไปทั่ว ยิ่งตอนรถสวนกันด้วยแล้ว มันกระจายไปจนแทบจะมองไม่เห็นทาง “ลุงจอม” หันมายิ้มให้ผมเมื่อฝุ่นจางลง “ทางเข้าวังมันเป็นอย่างนี้แหละ” ผมไม่รู้ว่าแกพูดประชดหรือปลงตก “มันปักป้ายไว้ว่าจะมาลาดยาง แล้วมันก็ถอนป้ายออกไป ไอ้แค่ผ่านป่าสงวนแค่ 2 กิโล…” คืนนั้นเป็นคืนที่ผมนึกสาปแช่งความเลวร้ายที่โหมกระหน่ำใส่คนชนบท...
ยายปัญญาอายุ 70 กว่าปี ล้มลงขณะกวาดลานบ้าน ลูกหลานช่วยกันส่งโรงพยาบาลไปตามเส้นทางสายนี้ โชคดีที่เป็นตอนกลางวันจึงหารถได้ไม่ยาก แต่ก็ยังไม่วายที่ต้องเผชิญพวกรีดเลือด ที่เป่านกหวีดขอตรวจใบขับขี่และทะเบียนรถ ขณะรถติดไฟแดง ต้องเสียเวลาพูดคุยแสดงบัตรและวิงวอนของร้องให้กับผู้ที่เรียกตัวเองว่า “ผู้พิทักษ์สันติราษฎร์... อยู่นาน
ผมเป็นคนหนึ่งที่นั่งอยู่ที่นั้น นึกแปลกใจที่ทำไมไม่มีใครนำส่งโรงพยาบาล กระวนกระวายใจว่าจะช่วยได้อย่างไร อดทนอยู่นานเห็นว่าไม่มีใครในที่นั้นทำอะไรให้เหตุการณ์มันดีขึ้นจึงตัดสินใจบอกให้นำยายปัญญาส่งโรงพยาบาล ถ้าหารถไทยแลนด์ไม่ได้ ผมจะอาสายืมจักรยานยนต์และขี่ไปส่งให้ คำตอบที่ได้นั้นทำให้ผมต้องเก็บมาคิดอีกหลายวันว่า “มันเป็นเพราะอะไร” ... ไม่มีใครในที่นั้นทำตามข้อเสนอของผมโดยบอกว่า “กว่าจะถึงโรงพยาบาลก็ไม่รอดแล้ว เอาออกไปให้ทรมานเปล่า ๆ ” “แล้วเกิดไปตายใส่รถเขาหล่ะ” ทุกคนดูจะปลงตกและเตรียมรอรับความสูญเสียที่จะปรากฏอยู่ต่อหน้า ผมพยายามอีกหลายครั้ง มีชาวบ้านสนับสนุนอยู่ไม่กี่คนในที่สุดผมก็พ่ายแพ้ด้วยความโมโห “แล้วเสือกร้องไห้กันทำไมวะ ?”
ภาพเส้นทางออกจากหมู่บ้านผุดขึ้นในความคิด ผมถามตัวเองว่า กี่ศพแล้วที่สังเวยให้กับความยากลำบากของการเดินทางออกจากหมู่บ้าน แล้วใครจะรับผิดชอบการตายของคนเหล่านั้น ?
เส้นทางที่กล่าวถึงเป็นเส้นทางที่เริ่มตั้งแต่ถนนสายเอเชีย และสิ้นสุดที่บ้านน้ำรอก ตำบลบ่อทอง อำเภอทองแสนขัน เดิมเป็นเส้นทางเดินเท้าของชาวบ้านจาก อำเภอตรอน ไปยังอำเภอทองแสนขัน ระหว่างทางมีศาลาอายุร้อยปีใช้เป็นที่พักระหว่างเดินทาง ข้าง ๆ ศาลามีบ่อน้ำที่เก่าแก่ไม่แพ้กัน
“ทางราชการเห็นว่าเป็นเส้นทางที่ชาวบ้านใช้กันมากก็เลยเทลูกรังให้” เป็นคำพูดของปลัดอาวุโสที่ผมเข้าไปสอบถาม
ปี 2527 พ.ร.บ.ป่าสงวนแห่งชาติ ประกาศพื้นที่ป่าสงวนได้รวมเอาเส้นทางสายนี้เข้าไปด้วยทั้งที่ชาวบ้านเดินกันมาเป็น 100ปี
ปี 2534 ความหวังชาวบ้านเริ่มเป็นจริง ผู้ใหญ่บ้านประกาศว่าเราจะได้เส้นทางลาดยางในอีกไม่นานนี้ สร้างความปิติให้กับชาวบ้านทุกคน ชื่อเสียงของผู้ใหญ่บ้านที่สามารถดึงโครงการมาลงได้ดังกระฉ่อนไปทั่ว ไม่เพียงแต่ในหมู่บ้านแต่ดังไปถึง ตำบลน้ำอ่างที่ได้อาศัยเส้นทางสายนี้สัญจรไปมาเช่นกัน
ปี 2535 ป้าย รพช. ปรากฏขึ้นตรงปากทาง ชาวบ้านโจษจันไปทั่วว่า “เราจะได้เส้นทางลาดยางแล้ว” แต่เสียงนั้นก็ค่อย ๆ เงียบไป เมื่อไม่มีหน่วยงานใดมาทำการก่อสร้าง...
ไม่นานป้ายโครงการที่ปักอยู่ก็ถูกถอนออกไป สร้างความผิดหวังให้กับชาวบ้านทุกคน หลายคนพูดว่า “ผู้ใหญ่เสียหน้า” “มันกลั่นแกล้งกัน” “อยากเอาเงินก็บอกมา รวมเงินขาวบ้านให้ก็ได้”มัคทายกวัดพูดกับผม...
นับแต่วันแรกที่เข้ามาในหมู่บ้านจนถึงวันนี้ ผมก็ได้ยินเรื่องเส้นทางสายนี้อย่างไม่รู้จบ ทั้งคำบ่น ด่าสาปแช่ง ต่อว่าต่อขานทางราชการ หลายคนแวะเวียนมาขอความเห็นให้ช่วยแก้ปัญหา...
หมายเหตุ ปี 2550
บ้านวังปรากฎ หมู่ 2 ตำบลป่าคาย อำเภอทองแสนขัน
จังหวัดอุตรดิตถ์
ยายปัญญาเป็นแม่ของผู้ใหญ่บ้านขณะนั้น แกสิ้นใจตายในคืนนั้นเอง
ต่อมาผมทราบว่า กรมโยธา ได้สร้างสะพานคอนกรีตข้ามคลองตรอน เป็นทางเข้าออกด้านท้ายหมู่บ้านในอดีต (แต่เป็นหน้าหมู่บ้านในปัจจุบัน) โดยเส้นทางสายนั้นก็ยังคงปล่อยไว้เช่นเดิม
ผมนำบันทึกนี้มาเผยแพร่ด้วยรู้สึกตลอดเวลาว่า สิ่งที่ผมเขียนในสารนิพนธ์ไม่เคยที่จะช่วยผลักดันใด ๆ ในสิ่งที่ชาวบ้านต้องการได้เลยแม้แต่น้อย หากข้อเขียนลักษณะนี้จะนำไปสู่การสะท้อนเสียงของผู้ทุกข์ยากให้ปรากฏต่อผู้มีอำนาจผ่านบัณฑิตอาสาสมัคร รุ่นปัจจุบันและรุ่นต่อๆ ไป ผมก็จะเป็นสุขยิ่ง และยายปัญญาก็คงเป็นสุขเช่นกัน
อยากคุยกับคุณฉันเกิดที่นั้นแต่ตอนนี้ไม่ได้อยู่บ้านเหงาง่ะ
ยินดีที่ได้พบกันครับ เวลาผ่านไปหลายปีแล้วแต่ภาพความทรงจำที่นั่นยังชัดเจนเสมอมา
คุณนาริวรรณ ติดต่อผมได้ทาง email ครับ ไม่แน่ใจว่าเคยพบกันที่หมู่บ้านรึเปล่า
รักที่นั่นมากค่ะ ไม่มีที่ไหนอยู่แล้วสบายทั้งใจและกาย
เหมือนที่วังปรากฏอีกแล้ว.......
ตอนนี้พัฒนาไปเยอะแล้วค่ะ มีถนนคอนกรีตอำนวยความสะดวก
ว่างๆ ลองกลับไปที่นั่นดูนะคะ
ผมเป็นคนวังปรากฏโดยกำเนิดบ้านอยู่ข้างปั๊มน้ำมันตอนนี้ทำงานอยู่ที่นนทบุรี
ไม่ค่อยได้กลับบ้านปัจจุบันหมู่บ้านพัฒนาไปมากถนนทุกเส้นลาดยางหมดการเดินทางสะดวก
การสื่อสารก็สะดวก คนในหมู่บ้านนี้พูดภาษาลาวกลางเพราะมีเชื้อสายจากชาวเวียงจันทร์
มานั่งคิดถึงหมู่บ้านแล้ว ที่นั่นสวยมากนะครับ หน้าหมู่บ้านมีคลองตรอนไหลผ่าน ด้านหลังเป็นภูเขา ฤดูหนาวสวยงามดอกงิ้วบานเต็มป่าเห็นเป็นสีแดงสะพรั่ง ในนาก็มีน้ำไหลมาจากภูเขาที่โอบล้อมหมู่บ้านไว้ สงบเงียบ และหลีกเล้นจากความวุ่นวาย
ตอนเป็น บัณฑิตอาสาสมัครเดินข้ามคลองตรอนผ่านไปยังหมู่ 1 ก็ถึงถนนใหญ่แล้ว เข้าเมืองไปซื้ออาหารของแห้งมาเก็บไว้ทุกเดือน
ตอนนั้นหมู่บ้านนี้สวยงามเหมือนหมู่บ้านในนิทานเลย
ผมเป็นเดก วังปรากฏ ชิตตี้คับ รัก ทุก คน คุยกันด้ายเด้อ 0892091461
ดีใจที่คนวังปรากฏได้ดีไม่ลืมบ้านเกิดกลับมามอบสิ่งดีๆให้เด็กๆและพัฒนาวัดวาอารามขอให้คนที่ความกตัญญูต่อบ้านเกิดอย่างพวกเขามีแต่ความสุขความเจริญตลอดไป
กลับมาบ้านได้3ปีแล้วดีกว่าอยู่ที่กทม.ซะอีกกลับมานะทำนาดีกว่าเป็นขี้ข้าเขาซะอีก