ผีเสื้อคืนรัง 2


“พี่เดชพูดเงียบกันหมดเลยโว้ย” ผมเอ่ยขึ้น เมื่อเรากำลังนั่งสังเกตเสียงสนทนาอย่างไตร่ตรอง... โบไม่ละความพยายามเสนอว่า ให้กลุ่มที่เสวนาขึ้นไปบนเวทีพร้อม ๆ กันเพื่อดึงความสนใจ จากนั้นค่อยขออาสาสมัครทำงาน ภาสบอกว่าไม่เป็นผล แต่ผมว่า น่าจะลองดู... โดยให้โบออกไปพูด ผมบอกว่าถ้าโบไปพูดผมจะเดินตามขึ้นไป ภาสบอกว่า เราด้วย...
,
 

«


หลังจากพบเจอ 2 จ. คือ น้าเจิด กับพี่โจ้ ผมก็ได้รู้ว่า เป็นเหล้าที่น้าเจิดหิ้ว(บรรทุก)มา... แล้ววงเหล้าเล็ก ๆ ก็เกิดขึ้นในโรงอาหาร ขณะที่คนอื่น ๆ กินข้าว น้าเจิดพูดตลอดเวลาว่า ดีใจ ๆ ๆ ที่ได้มาเจอแล้วกล่าวชวนผมไปเที่ยวเมืองน่าน ... จากนั้นผมก็ได้เห็นวีรกรรมสองเฒ่า (ที่จริงมีสามเฒ่า คือเฒ่าเด๊ฟ รูมเม็ทของผมอีกคน) เมื่อทั้งคู่เข้าร่วมวงเสวนา อันเป็นสิ่งที่ผมไม่คาดคิดเพราะคิดว่าทั้งคู่น่าจะร่วมรำลึกถึงความหลังอย่างถอนตัวไม่ขึ้นในโรงอาหาร ... คำถามต่าง ๆ พรั่งพรูออกมาเหมือนกันรับลูก ส่งลูก หลอกล่อ ในการเล่นฟุตบอล ไม่ต่างไปจากอดีตเมื่อสิบกว่าปีก่อน ในสถานที่แห่งเดียวกันนั้น ผมตั้งคำถามอยู่บ้างแต่ด้วยจุดประสงค์และความรู้สึกที่แตกต่าง โจ้ใช้โอกาสนี้บอกคนให้ห้องเสวนาว่า ผมคือรุ่น 24 และเราทั้ง 4 คือรุ่นเดียวกัน คือ ผม เจิด โจ้ และภาส (ผู้ดำเนินการเสวนา) ผมคาดเดาได้ว่ารุ่นอื่น ๆ เริ่มสงสัยกับการเสวนานี้ โดยเฉพาะบทสนทนาของคำถามมาถึงจุดที่เริ่มไม่ลื่นไหลเล็ก ๆ จากคำถามที่ตรงไปตรงมาของโจ้ และการอธิบายขยายความตามสไตล์ของน้าเจิด... นัท น้องภาส ผู้นั่งก้มหน้ามาโดยตลอด แต่เงยหน้าขึ้นแล้วบอกกับภาสว่า ให้ พี่หนึ่งพูดภาสหันมาหาผม แล้วบอกกับผมว่า น้องเราบอกว่า ให้หนึ่งพูดผมแทบอยากจะหัวเราะออกมา ระคนความรู้สึกว่า มันช่างสร้างบรรยากาศพี่น้องได้ดีจริง ๆ พูดอะไรวะ ผมนึกในใจ ด้วยท่าทีที่ชะงักงันแบบนั้น ทฤษฎีทางสังคมวิทยาสอนให้ผมรู้ว่า ภาวะในบทสนทนาที่ชะงักงัน (aliening action) นั้นแก้ได้ด้วยบทสนทนาบางอย่างที่เป็นการต่อรอง ประนีประนอม ผมเลือกที่จะประนีประนอมกับเพื่อน บอ. ที่ไม่ใช่รุ่น 24 โดยเอ่ยไปว่า การเสวนาจะไม่จบ ก็เพราะพี่เจิดกับพี่โจ้นี่แหละ ...น่าจะได้ผลเพราะที่ประชุมหัวเราะและบรรยากาศเริ่มดีขึ้น (อันนี้อยากจะบอกเจตนาให้ทั้งสองเฒ่าได้ทราบด้วยครับ)

ในวงเสวนา โบ กับเจิด นั้นนั่งอยู่ไม่ไกลกัน แล้วทั้งคู่ก็ได้คุยกันโดยมีผมนั่งอยู่ด้วย สิ่งที่สร้างความตื่นตะลึงให้กับผมยิ่งก็คือ น้าเจิดคือ แวดวง บอ.ที่รับปากกับโบว่า จะหิ้ว ปตอ. อันเป็นอีกชื่อของ สรถ. มาร่วมดื่มด้วยกัน น้าเจิดคือ แวดวง บอ. ... แล้วเราหล่ะ ... ผมกระซิบเรื่องนี้กับภาสหลังจากออกจากวงเสวนา และผมก็ได้รู้จากภาสว่า ปตอ. คือประชาชนต้มเองซึ่งก่อนหน้านี้ผมคิดว่าเป็นคำ (หลอกด่า) แบบให้คิดเอาเองตามไสตล์น้าเจิด และผมก็ใช้วิธีเดียวกันนี้ยกให้น้าเจิดเป็น sniper ไปก่อนหน้านี้แล้ว (ขอโทษนะพี่) แต่ผิดคาดกลับกลายเป็นมิตรภาพและหัวใจที่อยู่ติดดิน สิ่งที่ทำให้หัวใจผมไขว้เขวอีกครั้งเมื่อได้ยิน โจ้สนทนากับพี่ฉลวยรุ่นเลขตัวเดียว โจ้พูดถึงเงินใต้โต๊ะจากการอนุมัติสินเชื่อที่ให้ลูกไปซื้อขนมกิน และเก็บเข้ากระเป๋าตัวเองไว้โดยบอกว่ามันเป็นเงินของผมแล้วด้วยเสียงมั่นอกมั่นใจ จนพี่หลวยชะงักงัน ทั้งที่โจ้ไม่มีลูก (ไม่มีเมีย) ...?

ตอบกลับโดย : หนึ่ง IP ADDRESS : 210.246.162.141 , ,
 
« Reply #2 เมื่อ 04/12/2006 , 15:51:31 » Edit

เมื่อความมืดครอบคลุม เสียงเพลงในท่วงทำนองที่คุ้นเคยก้องกังวาน ครั้งนี้เป็นครั้งแรกที่ผมรู้สึกว่าแล้วเราก็(ได้)กลับมาเยี่ยมบ้านจริง ๆ เสียที เป็นความรู้สึกที่มีมากกว่าตอนที่รุ่น 24 เป็นเจ้าภาพจัดด้วยซ้ำ ทั้งที่ แล้วเราก็กลับมาเยี่ยมบ้านนั้นเป็นสิ่งที่อยากจะให้เกิดในช่วงนั้นมากกว่าคราวนี้ (เป็นชื่อบทความหนึ่งในหนังสือเล่มเล็ก ไกลห่างไม่ห่างไกล ที่น้องคนหนึ่งเขียนไว้) ที่เรากลับมาเอาใจซ่อมแซม อาจเป็นเพราะเราพาแต่ตัวมาโดยไม่เคยสักคราที่พกหัวใจมาเหมือนครั้งนี้ เป็นครั้งแรกอีกเช่นกันที่ผมเดินเข้าออกวงโน้นวงนี้ ดุจดังคนที่คุ้นเคย และสนทนากันได้อย่างไม่เคอะเขินกับพี่น้อง ที่แปลกใจยิ่งก็คือว่าแก้วเหล้าและบุหรี่นั้น ตามผมไปทุกวง ทั้งที่ผมเดินไปตัวเปล่าทุกครั้ง ที่รับรู้ได้ด้วยความรู้สึก (ไม่ใช่สติ) ก็เห็นจะเป็น กุ๊กที่คอยหาแก้วและรินเหล้าให้อยู่เรื่อย ๆ แต่แก้วเหล้าผมก็หายจนได้ ผมเอ่ยกับพวงชมพู 24 (ภรรยาฟู24 เหมือนกัน) ว่า เห็นแก้วเหล้าผมรึเปล่า เธอไม่ตอบแต่เดินไปขอแก้วเหล้าใบใหม่จากรุ่น 30 พร้อมรินเบียร์ส่งให้ แว้บนึงในความรู้สึกที่เมามายด้วยมิตรภาพ ผมรู้สึกผิดว่า พวงชมพู เคยฝากผมซื้อหนังสือการ์ตูนในคราวที่ผมไปมาเลเซีย แต่ผมหาให้ไม่ได้ (เพราะไม่มีเวลาหา)...

เชิญพี่ ภาสขึ้นมาสรุปผลการเสวนาสร้างเครือข่าย เสียงจากเวทีแว่วมา บรรยากาศตอนนั้นทุกคนต่างพูดคุยกัน มีพี่เพื่อนพี่น้องและความหลังที่รายล้อมอยู่รอบตัวโดยไม่สนใจสิ่งใด ๆ ในโลกนี้อีก ผมเห็นอาการชะงักงันอีกครั้ง เพราะไม่มีคนฟัง ภาสเดินลงมาโดยไม่ได้รายชื่อผู้จะเป็นอาสาสมัครของคณะทำงาน ไม่ต้องบอกก็รู้ได้ว่า เพื่อนรู้สึกอย่างไร เราเริ่มตั้งคำถามกับการสร้างเครือข่าย และดึงความสนใจ(ขอเพียง
xxxขณะ) เพื่อให้เกิดการทำงานได้ (เสียที) โบเสนอว่าขึ้นไปพูดอีกทีหลัง ผอ. กล่าวจบ แต่ไม่เป็นผล แม้ ผอ. พูดก็เถอะ...
พี่เดชพูดเงียบกันหมดเลยโว้ยผมเอ่ยขึ้น เมื่อเรากำลังนั่งสังเกตเสียงสนทนาอย่างไตร่ตรอง... โบไม่ละความพยายามเสนอว่า ให้กลุ่มที่เสวนาขึ้นไปบนเวทีพร้อม ๆ กันเพื่อดึงความสนใจ จากนั้นค่อยขออาสาสมัครทำงาน ภาสบอกว่าไม่เป็นผล แต่ผมว่า น่าจะลองดู... โดยให้โบออกไปพูด ผมบอกว่าถ้าโบไปพูดผมจะเดินตามขึ้นไป ภาสบอกว่า เราด้วย...

ผมจำได้ว่า เมื่อเราสองคนเดินลิ่วขึ้นเวที โดยมีโบยืนรออยู่แล้ว คนที่ตามมาคือ อิสระชน และน้อง ๆ อีก 4-5 คน ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่ตาผมเริ่มพร่ามัวจำใครไม่ได้แล้ว ยินเสียงแว่วมาจากข้างหลัง(ผู้เข้าร่วมเสวนา) ว่าให้ขึ้นมาทำไม... เสียงพูดคุยยังคงดังมาจากล่างเวที เสียงพี่โจ้ แซวขึ้นมา จำได้ว่า เริ่มโกรธ แล้วบอกไปว่า ที่ขึ้นมาบนนี้กัน เพื่อดึงความสนใจ ให้หยุดคุยกัน ก็หวังว่าทุกคนจะสนใจ และขอถามหาวิญญาณอาสาสมัคร ผมไม่รู้ว่าคำพูดนี้กระทบกระเทือน และสร้างความรู้สึกใด (แต่เป็นเรื่องที่อยากจะขอโทษที่ใช้คำพูดแบบนั้นไว้ในบรรทัดนี้) คำพูดทำนองนี้ผมเคยถามหาในจดหมายเวียนที่ไม่ลงนามถึงรุ่น 24 จากที่โกรธเคืองเพื่อน ๆ ในวันหนึ่งที่พวกเราตั้งวงกินเหล้ากันหลังจากจบ บอ. ออกไป จดหมายเวียนฉบับนั้นใช้ถ้อยคำที่เชือดแทงยิ่งกว่าข้อความของนายหน้ากลม หลายเท่านัก และมันก็เป็นเหตุอันหนึ่งที่ทำให้เพื่อน ๆ เข้าใจว่า เพยาว์ 24(อาจารย์เพยาว์) เป็นคนเขียน แต่เธอเป็นเพียงคนที่นำจดหมายฉบับนั้นไปส่งไปรษณีย์แถบนนทบุรี อันเป็นที่ทำงานเก่าของเธอ โดยที่จดหมายนั้นผมเป็นคนเขียนทั้งหมด เนื้อความของจดหมายนี้รุนแรงในทำนองที่ว่าหากยังเป็นเช่นนี้ต่อไปก็จะขอลาออกจากการเป็น บัณฑิตอาสาสมัคร รุ่นที่ 24 แต่จะไม่ขอลาออกจากการเป็นบัณฑิตอาสาสมัครเพราะเชื่อว่า ความเป็นบัณฑิตอาสาสมัครนั้นอยู่ในจิตวิญญาณ จนสร้างความหมางเมินระหว่างเพื่อนในรุ่น ซึ่งผมยังรู้สึกผิดกับเพยาว์มาจนถึงบัดนี้...


ถ้อยคำแบบนี้เมื่อเอ่ยไป ทำให้สะเทือนความรู้สึกยิ่งกว่าในฐานะคนฟังนัก เมื่อลงมาเจอพี่จาไอหนึ่งเอ็งแรงโว้ยยิ่งทำให้ฉุกคิดว่า พูดมากไปรึเปล่าวะ จำได้ว่ามีคนเดินออกมาสองคนหลังจากที่ผมพูดออกไป แต่ผมมองหน้าทั้งคู่ไม่เห็นจริง ๆ (เพราะมองแล้วเห็นเป็นภาพซ้อน ๆ) มีคนบอกว่าเป็นเอ้ 30 และใครอีกสักคนไม่รู้ จากนั้นผมบอกภาสว่าได้ 4 คน (มีคนอาสาก่อนหน้าแล้วสองคนคือ นัท กับใครอีกคนที่ผมจำไม่ได้) ก็น่าจะพอเพราะรู้ว่าคนบนเวทีต้องเข้ามาช่วยด้วยอยู่แล้ว ผมเชื่อมั่นเช่นนั้น และจำได้ว่า พวกเรา (คนบนเวที) เริ่มพูดวน ๆ ....

จากนั้นผมก็เริ่มเมามาย (ใต้แสงจันทร์) เสียงเพลงที่เปล่งจากก้นบึ้งที่ถูกเก็บกั้นไว้แสนนาน แข่งกับนักร้องบนเวที จำได้ว่าแก้วสุดท้ายที่ดื่มคือ เบียร์ที่จับสลากได้ 1 ลิตร (และจับได้ทุกครั้งที่ให้ร่วมสนุก) แต่น้องออม ไดนาโม เอาแกลลอนน้ำ (เหล้า ปตอ. ของน้าเจิด) 5 ลิตรไปใส่มา และรับปากว่าจะดูแลพี่หนึ่งกับพี่ภาส โดยเฉพาะทวงถามผมเรื่องเหล้าฝรั่งที่ชวนไปกินที่บ้าน (เป็นอันว่าผมติดเหล้าน้อง ๆ สองคน เป็นเหล้า 3 ปี และเหล้าฝรั่งที่บ้าน/) ก่อนที่ผมจะเดินหาที่นอนที่คุ้นเคย ปกติผมจะนอนในห้องรับรองแต่ปีนี้ฝุ่นเยอะจนผมรู้สึกได้ จำได้ว่าห้องที่อากาศดีที่สุด (สำหรับคนเป็นภูมิแพ้อย่างผม) ได้แก่ห้อง ผอ. ผมหลับอยู่ในนั้น ใกล้เช้ามีใครมาส่องดูใส่เสื้อขาว ไม่รู้ว่าใคร แต่ผมหลับด้วยความรู้สึกอิ่มเอม ในหลากหลายความรู้สึกที่ผุดขึ้นมาอย่างไม่รู้จบ...

ตื่นขึ้นเจ็ดโมงเช้า เห็นว่าเสื้อพี่จา จากสีเหลือง ( ธรรม) กลายเป็นสีน้ำเงิน เห็นน้าเจิด โจ้ฟื้นคืนชีพ ทราบมาว่า ผุดขึ้นตอนกลางดึก และโบยังคงนั่งอยู่ ผมถามโบว่า ภาสหล่ะ คำตอบคือ กลับไปแล้วกับ ตู่ 34 เมาด้วยกันทั้งคู่ขับรถด้วยน่าเป็นห่วงมาก ผมขำก๊ากขึ้นในใจ ตู่ที่ทำงานกับผมและผมเคยชวนไปกินเหล้ากับภาส แล้วทั้งคู่ก็เถียงกันจะเป็นจะตาย แล้วก็รู้มาว่า ทั้งคู่ใช้เสื้อสีเหลือง(วันจันทร์) ที่ตู่ใส่มาเป็นสัญลักษณ์ทางความคิดอันแตกต่างถกเถียงกัน(ผ่านการกระทำกับเสื้อ) ตลอดคืนที่นั่งสนทนากัน แต่แล้วก็เดินทางกลับไปด้วยกัน ... ผมยังเห็นหน้า 3 คนสุดท้ายรวมทั้งคนถ่ายที่แน่ใจว่าเป็นพวงชมพู ที่นั่งอยู่เป็นกลุ่มสุดท้ายของค่ำคืนที่ไม่อยากให้สิ้นสุด (เสียดายมากที่ไม่ได้เป็นหนึ่งในนั้น)

ผมเขียนความเรียงนี้จากความหลากหลายในความรู้สึกที่ผุดขึ้นมา วนเวียน ซ้อนซ้ำกันอย่างไม่รู้จบหลังจากกลับออกมาจาก บ้านทั้งความรู้สึกผิด ความหวัง ความงามของมิตรภาพ น้ำใจอาสาสมัคร ความตื่นตะลึง ลังเลสงสัย และกลิ่นฉุนนุ่มติดอยู่ลำคอและจมูกของ ประชาชนต้มเอง อาจเป็นการเล่าเรื่องโดยยึดตัวเองเป็นศูนย์กลาง แต่ผมเชื่อว่าเป็นศูนย์กลางที่กระจายออกไปหาความแตกต่างหลากหลาย อันไม่ใช่ศูนย์กลางที่ความแตกต่างหลายหลายถูกดึงเข้าหา
แด่ เพื่อน พี่น้อง ทุกคน ที่ผมพาตัวเองเข้าไปเกี่ยวข้องด้วย ทั้งที่เอ่ยชื่อ และไม่ได้เอ่ยชื่อในที่นี้ ดังเช่น คุณสุภาพบุรุษและสตรี คุณคนไกล คุณแอ๊บ ๆ และคนในตระ
xxxล อ. ทั้งหลาย คุณสมาภรณ์ น้อง มรว. ธีร์ กับใคร ๆ อีกหลายคนที่บังเอิญรู้จักสนทนากับผมโดยผมไม่รู้ตัว ขอโทษท่านเหล่านี้แทนนายหน้ากลมไว้ด้วย


5 เดือนที่ผ่านมานี้ ผมรู้จักผู้คนมากมายในบรรดา บอ. มากกว่า 10 กว่าปีที่จบมาเสียอีก สิ่งหนึ่งที่เป็นการสรุปบทเรียนของผมในบรรทัดสุดท้ายนี้ก็คือ

ชุมชน บอ. นั้นยังมีชีวิต เป็นชีวิตที่พร้อมจะกลับไปเอาใจซ่อมแซม และเชื่อมั่นว่าเราจะไม่ปล่อยให้ใครเดินไปคนเดียว แต่พร้อมจะเดินไปด้วยกัน .... ชวนผมไปด้วยนะครับ

หนึ่ง บอ. 24
 
ตอบกลับโดย : หนึ่ง IP ADDRESS : 210.246.162.141 , ,
   





« Reply #3 เมื่อ 04/12/2006 , 16:02:33 » Edit

ปล.
เหล้าที่ติดค้างไว้ ขอเชิญชวน ผู้ก่อการกลุ่มเครือข่าย ผู้ที่ขึ้นไปบนเวที/ เจ้าหนี้ ออม และโบ / ภาส กับอ้อ ที่บอกว่าจะมากินกันต่อที่บ้านหลังงานผีเสื้อคืนรัง (แต่ไม่ได้มา) โต ที่คิดเช่นเดียวกันว่าจะมากินต่อที่บ้าน พี่จาที่ผมชวนไว้นานแล้วและบอกว่าจะมาเมื่อรวมกันได้หลาย ๆ คน พี่ไบ๋ พี่เล็ก 16 เอ้ 30 เจี๊ยบ 30 เม้ง 31 ก๊อต 31 ตู่ 34 กุ๊ก 37 ธีร์ กวาง หวาน ฟูและพู รวมทั้งกลุ่มเครือข่ายที่อยู่กรุงเทพและที่สะดวกเดินทางมาได้ทั้งหมดที่ผมเอ่ยนามไม่หมด มาพูดคุย ดื่ม สนทนา ร้องเพลง ที่บ้านผม อยู่พหลโยธิน 64 แถว ๆ แยกลำลูกกา สนามธูปเตมีย์ (ใกล้ ๆ วันจะโพสแผนที่อีกที) อยากให้เป็นช่วงต้นเดือนมกราคม เพราะอากาศดี และเป็นช่วงที่ผมสอบเค้าโครงวิทยานิพนธ์เสร็จสิ้น อยากให้เกิดมาก ที่บ้านผมเป็นบ้านที่ได้บรรยากาศบ้านสวนชานเมือง (เล็ก ๆ ) หวังว่าทุกคนจะชอบ ถือโอกาสฉลองปีใหม่ กับก้าวใหม่ของเครือข่ายด้วย กำลังรอคำตอบด้วยใจระทึก ....
 
หมายเลขบันทึก: 154257เขียนเมื่อ 17 ธันวาคม 2007 17:35 น. ()แก้ไขเมื่อ 16 มิถุนายน 2012 06:14 น. ()สัญญาอนุญาต: จำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (1)

ho, very good, i wished to read some describing as such, i think, relating story of situations, it make me image before day and night of volunteer. i have accepted that some people of thummasat volunteer like to dream and some time don't have obvious way, but it is only group. actually, volunteer people has sevaral thinking value systems which they are colour of life. i really praise you mr somchai.

regards

baw 34

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท