ผีเสื้อคืนรัง


ผมมีความรู้สึกย้ำเตือนตัวเองอยู่เสมอ ๆ นับแต่ปลายเดือนพฤศจิกายนเป็นต้นมาว่า งานผีเสื้อคืนรังปีนี้เป็นวันที่ 2 ธันวาคม ด้วยความที่อยากสัมผัสบรรยากาศค่ำคืนของฤดูหนาว เพื่อนที่พูดภาษาเดียวกัน และแหกปากร้องเพลงที่มิใช่มีความหมายเพียงเนื้อหา ทำนองเพลงที่เปล่งออกมา หากแต่มีภาพอดีตพรั่งพรูขึ้นอย่างต่อเนื่องไม่รู้จบ …

 

ผมมีความรู้สึกย้ำเตือนตัวเองอยู่เสมอ ๆ นับแต่ปลายเดือนพฤศจิกายนเป็นต้นมาว่า งานผีเสื้อคืนรังปีนี้เป็นวันที่ 2 ธันวาคม ด้วยความที่อยากสัมผัสบรรยากาศค่ำคืนของฤดูหนาว เพื่อนที่พูดภาษาเดียวกัน และแหกปากร้องเพลงที่มิใช่มีความหมายเพียงเนื้อหา ทำนองเพลงที่เปล่งออกมา หากแต่มีภาพอดีตพรั่งพรูขึ้นอย่างต่อเนื่องไม่รู้จบ

ซ้ำยังมีเรื่องที่ผมสนใจและอยากจะเห็นเกิดขึ้นเป็นจริง คือการเสวนาคือพลังร่วมสร้างสู่เส้นทางเครือข่าย บอ. ฯที่ผมติดตามในเว็บบอร์ด บัณฑิตอาสาสมัครมาอย่างต่อเนื่อง นับแต่ช่วงแรก ๆ ที่มีการพูดคุยกันว่าจะมีการปฏิรูป... แวบแรกที่ได้เห็นก็นึกถึงว่า ความคิดแบบนี้ก็ยังมีอยู่ใน บอ. รุ่นหลัง ๆ เหมือนกัน (หลังจากรุ่นผม) ระคนกับความรู้สึกดี ๆ ของความหวังในความเป็นบัณฑิตอาสาสมัคร คำถามที่เกิดขึ้นในใจตลอดเวลาคือ มันจะไปรอดเหรอ อาจเป็นแค่อารมณ์ปะทุความรู้สึกที่เกิดขึ้น เมื่อได้ระบายออกก็เหือดแห้งไป ดังที่เห็นมาแล้วบ่อย ๆ กับคนหนุ่มสาวผู้มีไฟอยากจะเปลี่ยนแปลง เพราะตัวเองก็เคยเป็นมา

คำถามทำนองนี้บั่นทอนสำนึกอาสาสมัครเป็นระยะ ๆ เพราะเคยรู้สึกว่า เป็น ไ อ้- บ้ าอยู่คนเดียว ทั้งที่คนอื่นไม่ได้คิดและอยากจะทำเหมือนเราอยู่หลายคราที่คิดจะเปลี่ยนแปลงทำอะไร ๆ ให้มันแตกต่างไปจากที่เป็นอยู่ ซึ่งผมก็เชื่อว่าเวลานี้ ต่อเรื่องนี้ ก็คงมีคนที่มีความรู้สึกเช่นนี้อยู่ ความรู้สึกดังว่านั้นทำให้ผมตั้งคำถามกับกลุ่มเล็ก ๆ ผู้มีท่าทีสานต่อเรื่องนี้เป็นระยะ ๆ คำถามบางคำถามอาจเสียดแทง มีท่วงทำนองหมิ่นแคลน ดังเช่น ความเลอะเทอะในเว็บบอร์ด” ”สำนักบัณฑิต้องปฏิรูปจริงหรือแต่หาได้มีเจตนาดังข้อความที่อ่านแล้วให้ความรู้สึกนั้นไม่... คำตอบที่ได้ยังคงย้ำเตือนในทางที่ทำให้มั่นใจขึ้นได้ว่า ความคิดเช่นนี้ยังดำรงอยู่ แม้จะไม่หนักแน่นมั่นคง แบบถอนรากถอนโคนแต่ก็เป็นสิ่งที่บ่งบอกได้ว่า พวกเขาเหล่านี้ก็รับรู้ว่ามันยาก และต้องทำแบบค่อยเป็นค่อยไป

กระทู้ของคุณ นาคะจารุ ทำให้หัวใจผมเต้นแรง และมีพลังขึ้นอย่างบอกไม่ถูก อย่างน้อยที่สุดคนผู้นี้ก็คือ จุดเชื่อมต่อของเครือข่ายบอ. และรู้เรื่องราวในอดีตที่สืบเนื่องมาจนอาจเรียกได้ว่า เป็น ตำนานหน้าท้าย ๆ ที่ผมได้เห็นและสัมผัส ผมรับรู้เรื่องราวของ พี่จาในแง่มุมต่าง ๆ ทั้งศรัทธา หมดศรัทธา ไม่เข้าใจ และเข้าใจ... ที่เสียดแทงมากที่สุดคือ นี่อาจเป็นตำนาน บทท้าย ๆ ก่อนความทรงจำของ บอ. จะเปลี่ยนไป และกลายเป็นเพียงตำนานที่ถูกรื้อฟื้นขึ้นมาเพื่อ ขายในโรงงานผลิตบัณฑิตเพื่อรับใช้องค์กร..

เมื่อการพูดคุยเรื่องเครือข่าย เกิดขึ้นครั้งแรกในงานไหว้ครู เป็นสัญญาณที่ทำให้ผมเห็นผู้คนที่มีความรู้สึกคลายคลึงกัน และคนเหล่านี้มีพลังการเปลี่ยนแปลง...ผมเชื่อเช่นนั้น ผมเริ่มคิดถึงบทของตนเองว่า หากเราจะเข้าร่วมต่อเรื่องนี้เราสามารถทำอะไรได้บ้างจึงได้ใช้ช่องทางเว็บบอร์ดเขียน (พิมพ์) จดหมายเปิดผนึกถึงคุณนาคะจารุ ที่ไม่ได้หวังให้เพียงให้พี่ชายอ่าน หากแต่ให้ชุมชนหันมาสนใจ และเริ่มคิดกันถึงเรื่องนี้ ... บ้าง

ยิ่งได้ทราบว่ามีการนัดพูดคุยเรื่องนี้เป็นการเฉพาะยิ่งรู้สึกว่า ต้องทำอะไรซะบ้างสิ อย่าเสียแรงที่ระลึกรู้ตัวเองว่าเป็น บอ. แต่ผมก็ไม่ได้เข้าร่วมแม้ว่าจะถูกชักชวนทั้งโดยทางตรงและโดยทางอ้อม แต่ก็ตอบตัวเองในใจลึก ๆ ว่า อย่างน้อยก็มีข้อเสนอของเราทั้งในนามชื่อจริงที่เป็นทางการ และในนามอื่นที่มีผู้คนโกรธเคือง และไม่พอใจ ถูกนำเข้าไปพูดคุยกันโดยที่ (อาจ) ไม่จำเป็นต้องเข้าร่วม... รอดูต่อไปสักระยะดีกว่า บางทีมันอาจเกิดขึ้นได้จริง


หลังจากนั้นก็เกิดคำว่า เครือข่าย บอ.ด้วยเสียงแผ่วเบา กระซิบกระซาบ เพราะไม่มั่นใจว่าชอบธรรมแค่ไหนกับการใช้ชื่อนี้ วันนั้นจำได้ว่าเรานั่งคุยกันที่ร้านโดมพระจันทร์ มีพี่จา /โบ 32/เม้ง 31 / กุ๊ก 37 และผม จำได้อีกว่า มีคำถามถึง นายหน้ากลมเป็นหัวข้อสนทนาหนึ่งที่วงสนทนาต่างวิเคราะห์กันว่าเป็นใคร ซึ่งผมก็ไม่อาจให้ความเห็นใด ๆ ได้เลย แต่วันนั้นทำให้ผมมองเห็นหน้าตาของเครือข่ายเป็นหมอกควันจาง ๆ ที่เริ่มก่อตัว ก่อนหน้านี้ผมคุยกับภาส 24 เพื่อนที่พูดคุยกันมาโดยตลอดในภาษาเดียวกันแม้จะต่างกันที่น้ำเสียง และเจี๊ยบ 30 ที่บังเอิญคุยกันทาง msn ในวันที่ผมเข้าไปค้นข้อมูลทำวิทยานิพนธ์ในอินเตอร์เนท ช่วงเวลาเดียวกันนี้ก็ได้ทราบข่าวว่ามี น่าน club เกิดขึ้น กับเว็บใหม่ที่พยายามสร้างชุมชน บอ. ของ นายก๊อต 31 (ที่ขอจดหมายเปิดผนึกผมไปใส่ในเว็บ แต่ผมเข้าไปดูก็ไม่เห็นใส่ไว้สักที หรือเป็นเพราะผมไม่ได้ตอบให้นำไปก็ไม่รู้ ถ้ายังใช้ประโยชน์ได้อยู่ก็เอาไปเลยน้อง)
พร้อมไปกับการตั้งคำถามถึงเครือข่ายจาก สร้างสัญจรและการหายไปของอิสระชนที่ผมติดตามด้วยเข้าใจว่า คนเหล่านี้มีส่วนร่วมแนวคิดการปฏิรูปมาแต่ต้น

เครือข่ายล้มเลิกไปแล้วเหรอ ? เป็นคำถามที่ผมถามทุก ๆ คน ที่มีกุ๊กมาตอบเป็นคนแรก และไม่มีทีท่าว่าจะมีใครสนใจเป็นจริงเป็นจังอีก นอกจากโบที่สบถด้วยข้อความที่ว่าบอ.แหววและ “(กรูไม่ได้มาทำเล่นๆ โว้ย!)ผมอมยิ้มอยู่ใน และก็เริ่มเป็นห่วงขึ้นมาจากเรื่องเล่า(อ่านก่อนนอน) จากยอดดอยของ คุณ แวดวงบอ.ในกระทู้ปากว่าตาขยิบ โดยที่ก่อนหน้านั้นมีการถกเถียงกันด้วยถ้อยคำเชือดบาดในกระทู้ชวนถก และวัตถุของคนเมืองคือสิ่งแปลกปลอมที่ห้ามนำเข้าหมู่บ้าน ทั้งสองกระทู้เป็นสิ่งที่ยังคงติดค้างในใจผมเสมอมาจนถึงตอนนี้ที่ผมพยายามปลดเปลื้องมันให้หมดไป เพราะหลังจากนั้นผมเริ่มถูกถามจาก บอ. หลายคนที่ผมรู้จักว่า หน้ากลมคือใคร โดยเฉพาะ ออม (ไดนาโม อี๊ด..อี๊ด) น้องบอ. ที่มากับอ้อ 24 (ไดนาโม อ๊อด..อ๊อด) ที่ถามคำถามนี้และคาดเดาว่าถ้าไม่ใช่ผมก็คือภาส แต่เมื่อภาสถามว่า แล้วออมว่าใคร เธอกับชี้มาที่ผมว่า คือ พี่หนึ่งใช่มั้ย คราวนั้นเป็นวันที่เราไปกินเหล้าด้วยกันที่ร้าน ตักสุรา อนุสาวรีย์ ทั้งที่ผมไม่รู้จักออมมาก่อนนี้เลย... จากนั้นก็แว่วยินถึงคำถามนี้เนืองนิจ จนวันหนึ่งได้ไปนั่งดื่มชากับโบที่ศิลปากร คำถามนี้ถูกถามมาที่ผมอีกจนตั้งตัวไม่ทัน รู้สึกตัวเองเงียบงง ไปพักหนึ่ง ก่อนจะตอบว่า ไม่รู้” ...
ความอัดอั้นนี้ทำให้ผมบอกคำตอบแก่พี่จาไป ในวันที่เรานั่นดื่มกันที่หน้าพระลานพี่จาถามผมว่า ทำเพื่ออะไร ?” แล้วเราก็หัวเราะกัน...


ก่อนงานผีเสื้อคืนรัง ผมก็พบเพื่อนเก่าฟู 24 “เพื่อนกาเหว่าผู้ซึ่งพบกันครั้งสุดท้ายในงานเผาพี่นึก ที่ผมสังเกตเห็นว่าเขาซึมเศร้าอยู่ลึก ๆ หลังจากเดินขึ้นไปดูหน้าพี่นึกเป็นครั้งสุดท้าย ผมไม่ได้ดีใจที่พบเขาในเว็บบอร์ด แต่ผมดีใจที่เขาสนใจเรื่องเครือข่าย ... และการเข้ามาพูดคุยกับผมของ เอ้ 30 เหล่านี้ได้ก่อเกิดความรู้สึกบางอย่างที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนเลยในใจผม นั่นคือ สิ่งที่อยู่ในเว็บบอร์ดนั้นมีชีวิต... เป็นชีวิตที่ไม่ได้เฉื่อยชา และรอรับการกระทำ แต่เป็น... ชีวิตที่มีวิญญาณ...

ความรู้สึกนี้ชัดลึกขึ้นเมื่อสิ่งแรกที่ย่างก้าวเข้ามาในงานผีเสื้อคืนรัง คือ สรถ. แกลลอนใหญ่ สองแกลลอนท้ายรถกระบะที่จอดนิ่งอยู่ปลายตึกด้านห้องประชุมรูปโค้ง เพราะบังเอิญผมอยากจะเดินเข้าอีกด้านหนึ่ง ... พี่เล็ก 16 ยื่นจอกพลาสติก ที่มีน้ำใสปนเศษไม้(ยาดอง) มาให้ผม เสมือนเป็นคำทักทาย ผมรับมันมาพร้อมกับกลิ่นหอมที่คุ้นเคยยิ่งที่
xxxงหายจากชีวิตนานแสนนาน ความรู้สึกในนาทีแรกที่เข้าไปในงานจึงภาพเก่า ๆ ในอดีตที่นั่งกินเหล้าข้าวโพดกับชาวบ้านที่ลำปาง ดื่มกับเพื่อน ๆ ตอนใช้ชีวิตในชนบท.. เมามายอยู่ท้ายรถแล้วแหกปากร้องเพลง แดนอีสานกำลังเดือดร้อน มันเป็นย่อนพวกเจ้านายมัน...ในวันไปอบรมโครงการส่งเสริมคุณภาพชีวิต...

 
   
หมายเลขบันทึก: 154255เขียนเมื่อ 17 ธันวาคม 2007 17:29 น. ()แก้ไขเมื่อ 12 มิถุนายน 2012 11:24 น. ()สัญญาอนุญาต: จำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (1)

ถ้าเราไมใช่ บอ.ตอนนี้เราจะเป็นใครบ้างในร่างคนๆเดียวนี้ แต่วันนี้เราก็ป็น บอ.38 คนหนึ่งที่ได้เข้ามาสู่ชิววิต บอ. อืมเขียนเอง งงเอง เหมือนกันนะ อยากเรียนธรรมศาสตร์ตั้งแต่ ป.ตรี แต่ไม่มีโอกาสมาไม่ถึง เป็นเด็กสาว ตจว.แดนอีสานคลุกคลีอยู่กับกิจกรรมและNGOอิสาน จนเพื่อนๆมักล้อว่าเรียนเป็นงานอดิเรกทำกิจกรรมเป็นงานหลัก ฮ่า ชอบคำนี้จัง จนกระทั้งจบมักชอบเข้าไปเดินเล่นแถวลานโพธิ์ ลานปรีดี สูดอากาศริมน้ำรับลมเย็นๆทุกครั้งที่จิตใจอ่อนล้าไร้แรงบันดาลใจพร้อมทั้งนึกเสียดาย เสียใจประดังประเดว่าเราอยากเป็นลูกหลานธรรมศาสตร์จัง ภาพเหตุการณ์วีรชนคนนักศึกษา ตุลา วันวานวนเวียนในหัว ภาพศรัทธราที่มันไม่ได้ธรรมดาเลยสำหรับวัยรุ่ยอย่างเราตอนนั้น วรรณกรรมซีไรต์ เรื่องประชาธิปไตยบนเส้นขนานที่อ่านจบตั้งแต่ ม.2 มันวนเวียน เราคงไม่มีโอกาสแล้วละ แต่แล้ววันหนึ่งของชีวิตเพื่อนพี่สาวเดินมาบอกว่าธรรมศาสตร์เปิดรับสมัครหลักสูตร บอ. มีเรียนและมีออกพื้นที่ด้วยนะพี่ว่ามันเหมาะกับหนูนามากเลย เหรอๆจริงเหรอพี่ มีทุ่นด้วย น่าสนุกจัง แต่ในปีที่รู้มันไม่ทันแล้วหนึ่งปีที่รอสอบประกอบกับเป็นรอยต่อของการงานในชีวิต เราสมัครและสอบเขามาจนได้ทั้งๆที่วันสอบเราไม่ได้รู้สึกกังวลกับข้อสอบเลยความอหังกาณื ณ ตอนนั้นว่าด้วยข้อสอบเชิงทัศนธคติเราไม่กลัวอยู่แล้ว แต่เมื่อการเขียนผ่านไป เงื่อนไข หากผ่านเข้าเรียนต้องใช้ชีวิตรวมหมู่ ต้องอยู่ในหมู่บ้าน ต่างๆเข้ามา ตอนนั้นภาวนาว่าขออย่าให้เราสอบผ่านเลย 55 แต่สุดท้ายก็ผ่านเข้ามาถึงรอบสอบสัมภาษณ์ตอนแรกจะไม่มาเพราะว่าอยากสนุกอยู่กับงานแต่งงานเพื่อนรัก อยากจะเมามาย แต่เพื่อนฝูงกับผลักไสไล่ส่งให้มึงมาสอบเถอะมาเลยๆมึงมีโอกาสแล้ว มึงรีบไปเลย จากสุรินสู่กรุงเทพ ขออย่าให้สอบผ่านเลยเถอะตอนนั้นคิดว่าไม่อยากใช้ชีวิตรวมหมู่ เราบอกเพื่อนของรุ่นในวันแรกว่าเราค่อนข้างปัจเจค อย่ามายุ่งกับเรามากประกอบกับเป็นคนนิ่งๆพูดน้อยใครๆเลยบ่อยากคุยด้วยนัก พอเอาเข้าจริง อืม คิดถูกแล้วละที่เรามาเรียน จากแดนอิสานตอนนั้นครั้งนี้ของ บอ.ทำให้เรามีเพื่อนจากทั่วประเทศ อืมแค่นี้ก็ดีใจแล้ว ไปไหนก้ไม่อดตายแน่เลยคิดว่านะ แค่นี้แหละ เท่าที่เขียนมาดูยึดตัวเองเป็นศูนย์กลางจังเลยวะ

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท