นักการธนาคาร ผู้นำขบวนการชุมชนไทย (2)


(คอลัมน์ วิถีแห่งผู้นำ โดย นพ.พลเดช ปิ่นประทีป เรื่องไพบูลย์ วัฒนศิริธรรม: นักการธนาคาร ผู้นำขบวนการชุมชนไทย ตอน นักการธนาคารผู้นำขบวนการชุมชนไทยลงใน นสพ.สยามรัฐ ฉบับวันที่ 23 พ.ย. 50 หน้า 18)

                นับตั้งแต่แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 8 (พ.ศ.2540 2544) เป็นต้นมา แนวคิดเรื่องชุมชนเข้มแข็ง หรือวัฒนธรรมชุมชนได้ถูกบรรจุไว้เป็นยุทธศาสตร์การพัฒนาสังคมที่หน่วยงานต่างๆ ของภาครัฐได้นำไปเป็นกรอบในการจัดทำแผนงาน โครงการ และงบประมาณประจำปี ในขณะเดียวกันกระบวนการเคลื่อนไหวขององค์กรพัฒนาเอกชน และองค์กรชาวบ้านก็ได้รับการยอมรับในสถานภาพ และได้รับการสนับสนุนมากขึ้นโดยลำดับ จนทำให้แนวคิด และบทบาท ขบวนการชุมชนไทยมีความสูงเด่นขึ้นอย่างมากในกระแสการพัฒนาประเทศในช่วง 10 ปีหลัง ทั้งในด้านการพัฒนาด้านการเมืองการปกครองในระบอบประชาธิปไตย ด้านการพัฒนาสังคม การดูแลสิ่งแวดล้อม และแม้แต่ในด้านการพัฒนาเศรษฐกิจก็ตาม

                พัฒนาการของแนวคิดวัฒนธรรมชุมชน

                ขบวนการชุมชนเข้มแข็งและประชาสังคมในประเทศไทยเป็นผลผลิตที่เกิดมาจาก แนวคิดวัฒนธรรมชุมชน ที่มีจุดกำเนิดจากองค์กรพัฒนาเอกชนเมื่อต้นพุทธทศวรรษที่ 2520

                แนวคิดวัฒนธรรมชุมชนในประเทศไทยมีพัฒนาการแบ่งได้เป็น 3 ระยะ ซึ่งในแต่ละขั้นตอนของพัฒนาการ  แนวคิดวัฒนธรรมชุมชนได้ปะทะและประสานกับแนวคิดอื่นในกระบวนการดังกล่าว ทำให้สาระสำคัญของแนวคิดนี้ได้รับการเสริมเติมจนมีความเข้มแข็งมากขึ้น และได้รับการยอมรับกว้างขวางขึ้น

                ระยะที่ 1 : แนวคิดวัฒนธรรมชุมชนในฐานะ เป็นทางเลือกของการพัฒนา  (พ.ศ.2520 2529) 

                                แนวคิดวัฒนธรรมชุมชนกำเนิดจากองค์กรพัฒนาเอกชนที่ทำงานในชนบทเพื่อเฝ้ามองผลกระทบอันเนื่องมาจากการพัฒนาประเทศตามทิศทางของแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติของรัฐ

                                องค์กรพัฒนาเอกชนที่จุดประกายแนวคิดนี้มี  2 สาย ได้แก่  มูลนิธิบูรณะชนบทแห่งประเทศไทยที่ ดร.ป๋วย อึ๊งภากรณ์ เป็นผู้ก่อตั้ง ซึ่งนักวิจัยของมูลนิธิได้ค้นพบองค์ความรู้จากการฝังตัวในพื้นที่ชนบทภาคกลางที่จังหวัดชัยนาทว่าแท้ที่จริงแล้ว ท่ามกลางกระแสการพัฒนาในระบบทุนนิยมนั้น เมืองไทยมีวัฒนธรรม 2 กระแส คือด้านหนึ่งเป็นวัฒนธรรมทุนนิยม อีกด้านหนึ่งคือวัฒนธรรมชาวบ้าน และเสนอว่าการพัฒนาประเทศควรยึดแนววัฒนธรรมชาวบ้าน

                                อีกสายหนึ่งคือสภาคาทอลิกแห่งประเทศไทยเพื่อการพัฒนา ผู้นำนักพัฒนาขององค์กรได้แนวคิดจากการประชุมสังคายนาวาติกันที่  2  (ค.ศ.1962 1965) ซึ่งเสนอว่า ศาสนจักรคาทอลิกต้องเข้าใจวัฒนธรรมพื้นเมือง และต้องทำให้ศาสนาคริสต์กลายเป็นศาสนาพื้นเมือง มิใช่มุ่งปรับเปลี่ยนพื้นเมืองให้เป็นตะวันตก

                                กล่าวโดยสรุปแล้วสาระสำคัญของแนวคิดนี้ในช่วงต้นมี 3 ประการ ได้แก่

                                1) มีความเข้าใจแล้วว่าสังคมไทยประกอบขึ้นจากชุมชนของชาวบ้าน วัฒนธรรมแต่โบราณของไทยเป็นวัฒนธรรมที่เป็นความสำคัญของความเป็นชุมชน ซึ่งแตกต่างจากวัฒนธรรมทุนนิยมที่เน้นความเป็นปัจเจกชนตัวใครตัวมัน  แข่งขันและเอารัดเอาเปรียบ

                                2) จะพัฒนาชุมชนต้องเริ่มจากฐานวัฒนธรรมของชุมชน ถ้ามีวัฒนธรรมชุมชนเข้มแข็ง การรวมกลุ่มของชาวบ้านเพื่อทำกิจกรรมส่วนรวมจะสำเร็จได้ไม่ยาก  และสามารถต่อต้านการเอารัดเอาเปรียบจากภายนอกได้

                                3) วิธีการพัฒนาชุมชนต้องทำให้ชาวบ้านมีจิตสำนึกที่แจ่มชัดในคุณค่าวัฒนธรรมของเขา ซึ่งปัญญาชนของชาวบ้าน (Organic Intellectual) และชาวบ้านควรร่วมกันศึกษาและวิเคราะห์ประวัติศาสตร์วัฒนธรรมชุมชนของเขาเอง

                ระยะที่ 2 : แนวคิดวัฒนธรรมชุมชนพัฒนาขึ้นเป็น แนวคิดเศรษฐกิจและสังคม (พ.ศ.2530 2539) 

                                จาก ทางเลือกการพัฒนา ของกลุ่มองค์กรพัฒนาเอกชน ต่อมาได้รับการพัฒนาทางด้านแนวคิดทฤษฎีโดยกลุ่มนักวิชาการสถาบันต่างๆ จนสามารถยกระดับขึ้นเป็น แนวคิดเศรษฐกิจและสังคม โดยชี้ให้เห็นความสำคัญ 2 ประการ คือ

                                1) สถาบันชุมชนและวัฒนธรรมชุมชนในประวัติศาสตร์คือฐานะ และบทบาทของชาวบ้านในกระบวนการเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจ สังคม และการเมือง ชุมชนเป็นระบบซึ่งเป็นแกนกลางของสังคมไทย วัฒนธรรมชุมชนเป็นแกนกลางของวัฒนธรรมไทย โดยพื้นฐานสังคมไทยเป็นสังคมแบบชุมชน ไม่ใช่แบบทุนนิยม

                                2) เส้นทางการพัฒนาโดยแนวคิดวัฒนธรรมชุมชนเป็นเส้นทางที่ชอบธรรมที่ให้ประโยชน์เต็มที่แก่ชาวบ้านพื้นเมือง และเป็นเส้นทางของผู้คนส่วนข้างมากที่สุดในประเทศ อีกทั้งเป็นเส้นทางที่สอดคล้องกับสภาพพื้นที่ ความอุดมสมบูรณ์ของเขตทรอปปิก สถานะทางเศรษฐกิจและวัฒนธรรมของสังคมไทยที่มีหน่วยพื้นฐานคือครอบครัวและชุมชน

                ระยะที่ 3 : แนวคิดวัฒนธรรมชุมชนในฐานะ อุดมการณ์ของสังคม (พ.ศ.2540 ปัจจุบัน)

                                หลังวิกฤตเศรษฐกิจในปี 2540 แนวคิดวัฒนธรรมชุมชนได้รับการขานรับอย่างกว้างขวางจากประชาชนจนมีฐานะเป็น อุดมการณ์ของสังคม กล่าวคือเป็นอีกอุดมการณ์หนึ่งที่สำคัญที่สุดของสังคมไทยปัจจุบัน ที่นอกเหนือจากอุดมการณ์ทุนนิยม

                                แนวคิดสำคัญที่หลอมรวมและมีส่วนสำคัญในการขยายแนวคิดวัฒนธรรมชุมชนให้เป็นที่ยอมรับอย่างกว้างขวางในช่วงนี้ ได้แก่

                                1) แนวคิดเชิงพุทธ ซึ่งเสนอให้ปรับปรุงวัฒนธรรมพื้นบ้าน โดยเพิ่มหลักธรรมของพุทธศาสนาเข้าไปเป็นฐานชุมชนธรรมนิยม

                                2) แนวคิดธุรกิจชุมชน ที่เสนอว่าธุรกิจชุมชนเป็นส่วนหนึ่งของระบบเศรษฐกิจชุมชน และเป็นส่วนที่ไปติดต่อสัมผัสกับระบบเศรษฐกิจทุน แต่ไม่ใช่เป็นส่วนของระบบเศรษฐกิจทุน

                                3) แนวคิดความขัดแย้ง ซึ่งเป็นกลุ่มแนวคิดสำนักมาร์กซิสม์ที่มีเป้าหมายโต้แย้งแนวคิดทุนนิยมโดยตรง แต่แนวคิดนี้สุดโต่งและไม่สอดคล้องกับสังคมไทยจึงอ่อนกำลังลงในภายหลัง

                                4) ปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ซึ่งทรงเสนอแนวทางดำเนินงานเป็น 3 ขั้นตอน คือ ขั้นตอนพออยู่พอกินพึ่งตนเองได้  ขั้นตอนรวมพลังเป็นชุมชนในรูปแบบสหกรณ์ และขั้นตอนการร่วมมือกับองค์กรหรือภาคเอกชนภายนอก

                บทบาทของไพบูลย์  วัฒนศิริธรรม

                ในกระบวนการพัฒนาของแนวคิดวัฒนธรรมชุมชนในประเทศไทย ไพบูลย์ วัฒนศิริธรรม ถือเป็นผู้มีส่วนร่วมอย่างสำคัญ ในฐานะนักคิดนักอุดมการณ์ทางสังคม ทั้งในฐานะที่เป็นผู้บริหารมูลนิธิบูรณะชนบทแห่งประเทศไทยฯ และในฐานะที่เป็นนักยุทธศาสตร์ที่ผลักดันการพัฒนาโดยอาศัยพลังของเครือข่ายปฏิบัติการในพื้นที่

                เขามีความเชื่อมั่นในแนวคิดการพัฒนาสังคมที่ ชุมชนเป็นแกนหลัก พื้นที่เป็นตัวตั้ง และพยายามผลักดันให้หน่วยงานภาครัฐ และภาคเอกชนเกิดความเข้าใจ ยอมรับและร่วมทำงานไปในทิศทางเดียวกัน

                นอกจากนั้น ในฐานะที่เขาเป็นนักเศรษฐศาสตร์ เขาจึงมีบทบาทอย่างมากต่อการนำแนวคิดธุรกิจชุมชนเข้ามาเสริมเติมแนวคิดวัฒนธรรมชุมชนอย่างเป็นรูปธรรม โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงหลังวิกฤตเศรษฐกิจ โดยผ่านบทบาทในการบริหารธนาคารออมสิน  และกองทุนเพื่อการลงทุนทางสังคม   

หมายเลขบันทึก: 149649เขียนเมื่อ 27 พฤศจิกายน 2007 15:58 น. ()แก้ไขเมื่อ 11 กุมภาพันธ์ 2012 21:43 น. ()สัญญาอนุญาต: จำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (3)
ผมว่าแนวคิดดีครับ  แต่วัฒนธรรมดีๆกำลังถูกทำลายป่นปี้เพราะการศึกษาไทยที่ไม่สอดคล้องกับท้องถิ่น  แถมแผนสภาพัฒน์ยังใช้เงินนำ  ปัญญาตามแก้ตลอด  โดยเฉพาะอยู่ดีมีสุข  แต่เกิดทุกข์ไปทั่วครับ  เพราะมัวหลงกันแต่เงินจนเพลิน  เมื่อไรจะถึงเวลาเอาสังคมนำบ้างล่ะครับ  แล้วเศรษฐกิจตาม   เพราะจุดแข็งของไทยอยู่ที่สังคมที่หลากหลายโดยเฉพาะตัวคนไท  ที่เรียกว่า Human Touch

กระผมคิดว่าระบบเศรษฐกิจและระบบการศึกษาที่พัฒนาจากอดีตมาจนกระทั่งปัจจุบัน ส่งผลกระทบต่อวัฒนธรรมที่สืบทอดกันมา และทำให้เกิดวัฒนธรรมใหม่ทั้งที่ดีและที่น่าเป็นห่วง(ซึ่งมีมากกว่า)  การจะมาเยียวยาเป็นเรื่องค่อนข้างยากเพราะความไม่มั่นคงทางความคิดทั้งของผู้ที่เข้ามาทำหน้าที่บริหาร และประชาชน  รวมทั้งการเปลี่ยนแปลงฝ่ายบริหารที่เกิดขึ้นบ่อยครั้ง ทำให้นโยบายเปลี่ยนแปลงตาม ไม่มีจุดยืนการพัฒนาที่จะนำไปสู่ความเจริญที่มั่นคง

เป็นความคิดเห็นเล็กๆที่อาจจะยังไม่ถูกต้องสมบูรณ์

ขอขอบพระคุณที่ท่านได้นำข้อมูลมาให้ได้เรียนรู้ครับผม

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท