ผมว่า ก็น่าเลือกกิน อยู่ แต่ปัญหาปวดหัว ก็ยังแก้ไม่ตกอยู่ดี เพราะใครว่าดี คนไม่ป่วยไม่มีอาการ ก็จะแห่หันหัวเรือ ไปซื้อหามาไว้เพื่อกินกัน
ล่าสุดที่ใช้ แก้แน่นท้อง จากท่อน้ำดี อุดตันก็ ได้ผล ทุเลา
ไพล | |||||
ชื่อวิทยาศาสตร์ Zingiber montanum (Koenig) Link ex Dietr. ชื่อพ้อง Zingiber cassumunar Roxb. ชื่อวงศ์ ZINGIBERACEAE ชื่ออื่น ๆ ปูลอย, ปูเลย (เหนือ) ว่านไฟ (กลาง) มิ้นสะล่าง (เงี้ยว ฉาน-แม่ฮ่องสอน) ส่วนที่ใช้ เหง้า |
|||||
การปลูก สามารถทำได้ 2 วิธี คือ 1. ปลูกโดยใช้เหง้า ตัดเป็นท่อน ๆ ชุบด้วยสารเคมีป้องกันเชื้อรา ทิ้งไว้สักครู่ แล้วทำการปลูกลงในแปลงที่เตรียมไว้ 2. ปลูกโดยใช้เหง้าเพาะให้งอกก่อน โดยทำการเพาะเหง้าที่ตัดเป็นท่อน ๆ ในกระบะทราย ให้แทงยอด แตกใบประมาณ 2-3 ใบ จึงย้ายลงปลูกในแปลงปลูก การเก็บเกี่ยว - ระยะเก็บเกี่ยว ตั้งแต่เริ่มปลูกจนถึงวันที่เก็บเกี่ยวผลผลิตไพล จะใช้ระยะเวลานาน 2-3 ปี เป็นระยะเวลาที่เหมาะสม เพราะจะทำให้ได้น้ำมันไพลที่มีปริมาณและคุณภาพสูง - วิธีการเก็บเกี่ยว ใช้จอบ เสียมขุดเหง้าไพลขึ้นมาจากดิน (ต้องระวังไม่ให้เกิดแผลหรือรอยช้ำกับเหง้า) เขย่าดินออก ตัดรากแล้วนำไปผึ่งลมให้แห้ง การปฏิบัติหลังการเก็บเกี่ยว - เก็บหัวไพลที่ตัดราก และผึ่งลมให้แห้งแล้ว เก็บบรรจุกระสอบพร้อมที่จะนำไปสกัดน้ำมัน โดยเครื่องกลั่นไอน้ำ - สำหรับไพลที่จะนำไปผลิตเป็นลูกประคบแห้ง ให้คัดเลือกส่วนที่สมบูรณ์ปราศจากโรคและแมลง มาล้างด้วยน้ำสะอาดหลาย ๆ ครั้ง จากนั้น นำสมุนไพรมาทำให้แห้ง โดยหั่นเหง้าไพลเป็นชิ้นบาง ๆ วางบนถาดหรือกระด้ง เกลี่ยให้บาง คลุมด้วยผ้าขาวบางเพื่อป้องกันฝุ่นละออง และป้องกันการปลิวนำไปตากแดดให้แห้ง หมั่นกลับบ่อย ๆ หรือโดยการอที่อุณหภูมิ 50 C สำหรับ 8 ชั่วโมงแรก แล้วลดอุณหภูมิลงเป็น 40-45 C หมั่นกลับบ่อย ๆ จนแห้ง สารสำคัญ เหง้าไพลประกอบด้วยน้ำมันหอมระเหย ซึ่งมีสารสำคัญที่เกี่ยวกับการออกฤทธิ์ เช่น sabinene, ? -terpinene, ?-terpinene, terpinen-4-ol, ?-pinene เหง้าไพลยังมีสารสีเหลือง curcmin และสาร butanoids derivatives ที่เป็นสารออกฤทธิ์ที่สำคัญคือ สาร D หรือ (E)-4-(3’,4’-dimethoxyphenyl) but-3-en-l-ol และ (E)-1-(3’,4’-dimethoxyphenyl) butadiene (DMPBD) นอกจากนี้ยังมีสาร cassumunarin A, B และ C ซึ่งเป็น complex curcuminoids ซึ่งมีฤทธิ์ antioxidant แรงกว่า curcumin เหง้าไพลที่มีคุณภาพได้มาตรฐานต้องมีน้ำมันหอมระเหยไม่น้อยกว่า 2 % โดยปริมาตรต่อน้ำหนัก (v/w) การศึกษาฤทธิ์ทางเภสัชวิทยาที่สำคัญ การศึกษาในสัตว์ทดลองหรือในหลอดทดลอง พบว่าสารสกัดหรือสารสำคัญของไพลมีฤทธิ์ทางยาหลายประการ ดังนี้ 1. ฤทธิ์ต้านการอักเสบ น้ำมันไพล สารสกัดเหง้าไพล และสารสำคัญในเหง้าไพลหลายชนิด ที่สำคัญคือสาร D และสาร DMPBD มีฤทธิ์ต้านอักเสบ โดยกลไกการออกฤทธิ์ยับยั้ง cycloxygenase และ lipoxygenase pathways คล้าย NSAID 2. ฤทธิ์แก้หอบหืด สาร D สามารถต้านฤทธิ์ของฮีสตามีนในการทำให้หลอดลมหดตัวได้ จึงมีศักยภาพในการนำมาใช้เป็นยาบำบัดอาการหอบหืดได้ 3. ฤทธิ์คลายกล้ามเนื้อเรียบ สารสกัดไพลสามารถลดการบีบตัวของมดลูก ลำไส้ และกระเพาะอาหารของหนูขาว ซึ่งสารออกฤทธิ์ชนิดหนึ่งในสารสกัดน่าจะเป็น สาร D เนื่องจากพบว่า สาร D มีฤทธิ์คลายกล้ามเนื้อมดลูกและลำไส้เล็กส่วนปลายของหนูขาว รายงานการวิจัยทางคลินิก 1. รักษาอาการอักเสบ ปวด บวม ฟกซ้ำ จากการทดสอบประสิทธิภาพของครีมไพลในนักกีฬาที่บาดเจ็บข้อเท้า พบว่า ครีมไพลจีนซาลซึ่งมีน้ำมันไพล 14 % ช่วยลดอาการปวด บวม และช่วยให้การเคลื่อนไหวข้อเท้าดีขึ้น 2. ฤทธิ์ต้านฮีสตามีนในผู้ป่วยเด็กโรคหืด จากการศึกษาในเด็กที่เป็นหืด พบว่า ไพลมีฤทธิ์ต้านฮีสตามีนโดยสามารถลดขนาดของตุ่มนูนจากการฉีดน้ำยาฮีสตามีนเข้าใต้ผิวหนังได้อย่างมีนัยสำคัญ และไพลช่วยให้ผู้ป่วยที่กำลังหอบ มีอาการหอบน้อยลง การทำงานของปอดดีขึ้น และเมื่อใช้ไพลติดต่อกัน 3 เดือน ทำให้อาการหอบน้อยลง ใช้ยาขยายหลอดลมตามความจำเป็นลดลง ข้อควรระวัง 1. ห้ามใช้ครีมไพลทาบริเวณขอบตา และเนื้อเยื่ออ่อน 2. ห้ามทาครีมไพลบริเวณผิวหนังที่มีบาดแผล หรือมีแผลเปิด 3. ไม่แนะนำให้ใช้กับสตรีมีครรภ์ หรือระหว่างให้นมบุตรและกับเด็กเล็ก ข้อบ่งใช้ ขนาดที่ใช้ และวิธีใช้ (ตามบัญชียาหลักแห่งชาติ พ.ศ. 2542) ครีมที่มีน้ำมันไพล 14 % ใช้รักษาอาการบวม ปกช้ำ เคล็ดยอก โดยทาและถูเบา ๆ บริเวณที่มีอาการวันละ 2-3 ครั้ง ยาประสะไพลเป็นตำรับยาสามัญประจำบ้านแผนโบราณและเป็นยาในบัญชียาหลักแห่งชาติที่มีไพลเป็นส่วนประกอบหลักอยู่ในรูปของยาผง ประกอบด้วย ไพลหนัก 81 ส่วน ผิวมะกรูด ว่านน้ำ กระเทียม หัวหอม พริกไทย ดีปลี ขิง ขมิ้นอ้อย เทียนดำ เกลือสินเธาว์ หนักสิ่งละ 8 ส่วน การบูรหนัก 1 บาท ใช้สำหรับรักษาอาการระดูมาไม่ตามกำหนดหรือมีปริมาณน้อยกว่าปกติ โดยให้รับประทานครั้งละ 1 ช้อนชา ละลายน้ำสุก 1 แก้ว ดื่มวันละ 3 ครั้ง ก่อนอาหาร |
|||||
เอกสารอ้างอิง | |||||
1. ชื่อพรรณไม้แห่งประเทศไทย (เต็ม สมิตินันท์ ฉบับแก้ไขเพิ่มเติม พ.ศ. 2544). พิมพ์ครั้งที่ 2. กรุงเทพฯ : บริษัทประชาชน จำกัด, 2544. หน้า 263. 2. คู่มือการปลูกพืชสมุนไพร. 2543. 3. คู่มือพืชสมุนไพรและเครื่องเทศ ชุดที่ 3 พืชสมุนไพรน้ำมันหอมระเหย. 2543. 4. http://www.medplant.mahidol.ac.th/doae/012.htm 5.Tropical Science 1971; 13(3): 199-204. 6. Bull Dep Med Sci 1976; 18(3): 75-79. 7. Aust J Chem 1979; 32: 71-88. 8. Thai Herbal Pharmacopoeia Volume I. Prachachon Co., Ltd. Bangkok. 1998. p. 51-56. 9.Tetrahedron 1994; 35(7): 981-984. 10.บัญชียาหลักแห่งชาติ พ.ศ. 2542 (บัญชียาจากสมุนไพร๗. กรุงเทพฯ: โรงพิมพ์ชุมนุมสหกรณ์การเกษตรแห่งประเทศไทย จำกัด, 2543. หน้า 38-45. 11.Chem Pharm Bull 1991;39(9): 2353-2356. 12.Planta Med 1990; 56:655. 13.J Ethanopharmacol 2003; 87(2-3): 143-148. 14.ว กรมวิทย พ 2522; 21(1): 13-24. 15.วารสารสำนักงานคณะกรรมการวิจัยแห่งชาติ 1980;12(1):1. 16.Planta Med 1987; 53(4): 329-32. 17.ศรีนครินทร์เวชสาร 2536; 8(3): 159-164. 18.สารศิริราช 2529; 38(4): 251-255. 19.สารศิริราช 2527;36(1): 1-5. |
|||||
ไม่มีความเห็น