บันทึกเรื่องนี้เกิดจากความรักความเอื้ออาทรที่มีต่อกัน ระหว่างพี่ๆน้องๆ ที่เกิดจากก๊วนSCGเฮฮาศาสตร์ อยากแบ่งปัน มันมีพลังในการแลกเปลี่ยน แสดงความเป็นห่วงเป็นใย ซึ่งกันและกัน
การที่มนุษย์จะดำรงชีวิตอยู่ได้อย่างเป็นสุข ปัจจัยหลายๆอย่างเริ่มเข้ามาเรื่อยๆ คนเป็นโสด ก็โจทย์หนึ่ง คนมีครอบครัวก็มีอีกโจทย์หนึ่ง แต่ล้วนเป็นสิ่งที่เราจะสามารถรักษาสมดุลของชีวิตได้อย่างไร ตามช่วงเวลา ได้อย่างเหมาะสม
บทสนทนาต่างๆ ระหว่างพี่น้องคู่หนึ่ง และคนร่วมแจม จึงเกิดขึ้น
อาเฮีย เริ่มสรุปเรื่องราวแนะแนวทางภายหลังอาโซ๊ยหมวยมาปรึกษาชีวิต
“ ชีวิตเราลิขิตได้ “ เลือกลิขิตเอง หาช่องว่างแห่งความปลอดภัยของตนเอง"
จากพี่ที่เกือบจะหลงทางไปแล้ว จนอยากเขียนบันทึกถึงลูกเหมือนกัน สักหนึ่งฉบับ น่าจะจ่าหัวว่า “ขอโทษที่เอาลูกเป็นของทดลอง”
พอแล้วดีกว่า กูเองจะน้ำตาไหลแทน
โซ๊ยหมวย
อาเฮียค่ะอ่านประโยคสุดท้ายของ bullet สุดท้ายแล้วจะร้องไห้บ้างจะใช้ชีวิตเพื่อลูกมากขึ้น เช่น กลับบ้าน 5 โมงครึ่ง ถ้าไปต่างประเทศหลายวันจะลาพักร้อนอยู่กะเค้าชดเชยคำนวณตังค์ที่ต้องใช้ และใช้ชีวิตกับงานเท่าที่จำเป็นจริงๆค่ะ สิ่งที่ทำให้มีความสุขจริงๆ คือตอนที่ลูกยิ้มแป้นแล้วเอาหัวมาซบเรา T_T ขอบคุณมากๆสำหรับสิ่งที่พี่ share ให้ค่ะ
อั๋วเอง
ขาแจมมาร่วมแจม
ท่านพี่ทั้งสองท่านครับ อ่าน bullet เรื่องพลังด้านมือ แล้ว ร้อนตัวครับ คล้ายๆกำลังจะลุแก่อำนาจ (แต่ใจไปแล้วครับ ยอมรับอย่างไม่อาย ) ได้สติกลับมา หา linkage ระหว่างสิ่งที่กำลังทำอยู่กับ ความสุขแท้จริง ครับ ในมุมมองผมนะ ความสุขแท้จริงน่าจะเป็น ความไม่ทุกข์ กับสิ่งที่เป็นธรรมชาติ ครับ ไม่ว่าจะเป็นสิ่งดีหรือไม่ดี(ขึ้นอยู่กับว่าใช้มาตรวัดของใคร แต่อย่างไร มันก็คือสิ่งที่เกิดขึ้นแล้วในธรรมชาติของการมีชีวิตครับ) สำหรับลูก (ผมเป็นพ่อแม่เทียมๆที่ไม่เอาใหนมาแล้ว ....)
ขอบคุณอาเฮีย โซ๊ยหมวย และหลานชายครับ
ขาแจม แจมแล้วก็กลับไป
โซ้ยหมวยกลับมาเล่าต่อ
วันนี้มีพี่คนนึงมาบอกว่า ถ้าพี่ย้อนเวลากลับไปได้ พี่จะไม่เลี้ยงเค้าแบบนี้.....แล้วก็มาคิดว่าเราจะต้องมาคิดอย่างงี้นอีก 3 ปีข้างหน้ามั้ย.... ตั้งใจแล้วว่าจะไม่....วันนี้ลูกมีอาการขว้างของแล้ว....เอามือปัดๆๆๆ เหมือนเวลาที่พี่เลี้ยงจับของ วางของ ใช้วิธีโยนๆเอา.....จะปรับตัว ปรับใจให้เข้ากับธรรมชาติ ดูเหตุปัจจุยด้วยใจว่างๆ แล้วจะเดินไปตามส้นทางที่เห็นค่ะ
กาลเวลาผ่านไป....ไม่นาน
อาโซ๊ยหมวย กลับมาอีกแย็ว!!!
อาเฮียค่ะ!!! เหนื่อยใจมากกกกกกกกกกกทำไงดีพี่ กลุ้มใจเรื่องงานอ่ะ เรื่องเยอะ ต้องจัดการเรื่องคนเยอะไปหมด...จิตใจหดหู่จริงๆที่เจอพี่เมื่อวันเสาร์ ต้องเป็นธรรมะจัดสรรแน่ๆทำไงดีคะ...
อั๋วเอง
อาเฮียชี้แนะ
วันนี้ดีใจที่ตื่นเช้ามาเจอกับเรื่องราวดีๆอีกเรื่อง การคุยกันทำให้ได้สะท้อนตัวเองไปด้วยในตัว วันนี้เราคงได้ประเด็นหลายๆเรื่อง
โซ๊ยหมวยตอบ
ดีใจมากๆค่ะพอพี่แนะนำเรื่องการอยู่กับปัจจุบัน ก็แว๊บขึ้นมาทันที ว่าที่ผ่านมามีทุกข์มากเพราะ ทำอยู่วันนี้ คิดถึงเดือนหน้าตลอดเวลา มีอะไรมากระทบก็เดือดเนื้อร้อนใจ ร้องจ๊ากอีกเรื่องที่ได้คิดคือ ตัวเราเองหรอกที่ไม่พร้อม ควรเตรียมความพร้อมของตัวเองก่อน เตรียมใจ เตรียมความรู้เรื่องสิ่งแวดล้อม เป็นเรื่องที่ยังไม่ได้ทำอะไรอย่างเป็นรูปธรรม...จะหาเวลาสัมผัสด้านสว่างมากขึ้นค่ะขอบคุณพี่ก็อบมากๆ จิตใจอ่อนแอแล้วจะไปหาอีกค่ะ
อั๋วเอง
อาเฮียสรุปปิดท้าย
ใช่ อีกเรื่องที่สำคัญที่ได้แว๊บคิดตอนที่คุยกัน คือเรื่องความไม่ปลอดภัยต่างหากที่เป็นตัวอุปสรรค ที่ทำให้เราไม่กล้าทำ กล้าคิด กล้าฝืนเราไม่พร้อม ทั้งลมปราณและกระบวนท่า นั่นแหละ ถึงเป็นสิ่งที่สำคัญในปัจจุบัน ที่พวกเราต้องเรียนรู้เตรียมพร้อมกันไว้ จะได้งักออกมาใช้ได้ทันเมื่อคราวจำเป็น
ดีม๊ากมาก จ๊าบๆๆ
ทันใดนั้นขาแจมก็กลับมาขอแจมอีกครั้ง
พร้อมกับเล่าเรื่องของตัวเองบ้าง
จากวันนั้นทุกอย่างก็ดีขึ้นตามลำดับ แล้วก็เกิดดิ่งลงไปอย่างไม่รู้ตัว จนมารู้สึกตัวอีกครั้งก็อยูในสายกับผู้เฒ่า แกนดาล์ฟ(ผมขาวเหมือนกันเลยขอเอามาเป็นนามแฝงให้ซะเลย) พูดเองไปเกือบชั่วโมงถึงความทุกข์ ความเครียด ความคับข้องใจของตัวเองกับงานใหม่ที่เจออยู่ พูดจนเกือบจะหมดลมแล้ว ผู้เฒ่าถามมาคำนึงว่า เราควบคุมอะไรได้บ้าง ให้แยกออกมา แล้วอธิบายว่าการที่เรามี ฉันทะ วิริยะ จิตตะ กับงานเป็นสิ่งประเสริฐแล้ว แต่อย่าขาดวิมังสาคือการทบทวนเรื่องราวทั้งหมด ว่าแล้วเราก็ลองมาทบทวนดูพบว่ามีเพียงอย่างเดียวที่เราสามารถควบคุมได้คือตัวเราเองจริงๆ (ซึ่งบางครั้งก็ยากมากๆๆๆๆ) พอ click เรารู้สึกเลยว่าตัวเบาหวิว อานุภาพของความเข้าใจชีวิตอยู่ตรงนี้นี่เอง แล้วเวลาก็ผ่านไป จิตใสๆก็หมองลงอีกโดยที่ไม่รู้ตัว (ไม่มีสติตื่นรู้ อันนี้เกิดขึ้นจริงกับตัวผม) รู้ตัวอีกทีก็อยู่ในสายกับผู้เฒ่าอีกแล้ว
ทีนี้เป็นเอามาก เพราะแม่ พี่สาว และหลานสาวพึ่งมาเยี่ยมและกลับบ้านไป ดูเหมือนทุกอย่าง happy ดีใช่มั๊ยล่ะ ปล่าวเลย เป็นครั้งแรกที่เรา แอ๊บไม่สนิท ก่อนหน้านี้ทุกครั้งที่เราอยู่กับแม่ไม่เคยแสดงความทุกข์ร้อนเรื่องงานเลยแต่คราวนี้ เราก็พยายามทำแอ๊บตามเดิมแต่ปรากฏว่าไม่เนียนเอามากๆ ถึงขนาดโดนถามว่า ไม่มีความสุขเหรอที่แม่ พี่สาวและหลานมาหา ถึงกับอึ้งไปเลย แล้วตอบไปเบาๆว่า ขอโทษที่ทำให้รู้สึกแบบนั้นช่วงนี้งานยุ่งเลยเครียดๆ(ดูมัน ยังเอางานมาอ้างกับแม่ หน้าด้านๆ ทั้งที่เป็นเพราะตัวเองแท้ๆที่จัดการไม่ดี .........
ขออโหสิ จากการงานและอาชีพด้วยนะครับที่ผมเอามาอ้างแบบขอไปทีแบบนี้) ผู้เฒ่าฟังแล้วก็ให้มุมมองอีกว่า อะไรที่ทำให้เราทรมานอย่างนี้ เราก็ตอบไปว่า เจ้านาย (คราวที่แล้วกลุ้มใจกับลูกค้าที่ไม่ให้ความร่วมมืออะไรเลย คราวนี้ถึงทีเจ้านายบ้าง) เราก็อธิบายสารพันว่ากดดันอย่างโน้น ไม่เข้าใจอย่างนี้ สร้างปัญหาให้เราอย่างนั้น แกก็บอกว่า ช่วยไม่ได้ เรายอมให้เค้าเป็นนายเราเอง ทำไมไม่เป็นนายตัวเองล่ะ โอ้โห คมลึกบาดใจจี๊ดเลย แล้วเชื่อมั๊ยว่าธรรมจัดสรรมีจริงเราพบพี่อีกคน(คนนี้ก็เป็นลูกศิษย์ผู้เฒ่าเหมือนกัน) แกบอกว่าเป็นเรื่องกรรมเหมือนกัน อย่าไปอาฆาตแค้นเค้าให้คิดว่า เราอาจจะมีกรรมต่อเค้ามาก่อน ให้มีความสุขที่เจอปัญหา เพราะปัญหามาเร็ว ใช้กรรมเร็ว หมดกรรมเร็วเช่นกันถือว่ามีบุญที่มีโอกาสใช้กรรมแบบไม่ทรมานจนเกินไป ให้ทำบุญอุทิศส่วนกุศลให้เจ้ากรรมนายเวรของเค้า และสุขทุกครั้งที่เจอกัน แล้วก็เป็นจริง ทุกอย่างอยู่ที่ใจเราจริงๆ สรุปได้แล้วว่า ใจเราควบคุมยากที่สุด หากไม่ตามดูจิตอาจจะตกไม่รู้ตัว ตามที่เล่ามาก็ตกอย่างไม่รู้ตัวหลายครั้งครา เอาเป็นว่าวันนี้เข้าใจชีวิตมากขึ้นอีกแล้ว ละจะตามดูจิต อยู่กับปัจจุบันต่อไปครับ
ถึงโซ๊ยหมวย : ธรรมะจัดสรรมีจริง ช่วงเวลาไม่ต่างกันเราก็เจอ อาเฮียแบบเดินสวนกัน ไม่ได้พูดอะไรเลย แต่ในใจเราเหมือนเล่นสงกรานต์น่ะ คือยืนถือถังน้ำรอคนผ่านมานานมากร้อนก็ร้อน หนักก็หนัก อาเฮียผ่านมาเลยสาดโครม แล้วหนี สิ่งนี้เกิดขึ้นในจิตใจเรานะ ภาพในชิวิตจริงคือเดินสวนกันเฉยๆ มองหน้าแล้วยิ้มแห้งๆ แต่ใจเราสาดน้ำไปแล้ว นึกว่าอาเฮียจะไม่เปียก ปรากฏว่าคืนนั้นอาเฮียโทรมาหา ปกติไม่ได้โทรคุยกันหรอกนะ เราget ทันทีว่าอาเฮียคงเปียกปอนทางใจแน่ๆ คงจะโทรมาด่าว่า สาดน้ำไม่มีปีไม่มีขลุ่ยอะไรกันนักหนาห๊า แล้วก็จริง แกsense จริงๆว่ะเจ๊ หลังๆมา อยากจะยกให้อาเฮียเป็น “บุญ Ambassador” แค่เจอก็ได้ทบทวนตัวเองแล้วถึงแม้ไม่ได้คุยกัน ขอบคุณนะครับ
ถึงอาเฮีย : that’s all from my heart krub
ส่งท้ายขอแถม อิทธิบาท4 ไว้อ่านคลายเครียดครับ
อิทธิบาท ๔ เป็นองค์ธรรมที่นำให้ผู้ปฏิบัติประสบความสำเร็จ ประกอบด้วย
๑.ฉันทะ คือ ความยินดีพอใจใฝ่ที่จะศึกษา หรือ กระทำการอย่างหนึ่งอย่างใดให้สำเร็จลุล่วงไปตามที่ได้ตั้งใจปรารถนาไว้
๒. วิริยะ คือ ความเพียร ซึ่งจะเกิดขึ้นตามมา และผู้ปฏิบัติจะต้องรักษาบำรุงไว้ และเพาะเพิ่มพูลให้มากขึ้นโดยลำดับ อย่าให้ขาดตอน หรือ เสื่อมสลายไปก่อนที่ความสำเร็จจะเกิดขึ้น
๓. จิตตะ คือ เอาจิตใจจดจ่อเฝ้าสังเกตในเรื่องราว รวบรวมข้อมูลข่าวสารที่เกี่ยวข้องกับงานที่เรากำลังดำเนินการอยู่ ได้แก่ การอ่าน การฟัง การเขียนบันทึก ฯลฯ เช่น เมื่ออ่านพบเรื่องราว หรือ ได้ยินเรื่องราวที่มีสาระเกี่ยวข้องกับเรื่องที่เราสนใจผ่านสื่อมวลชนต่างๆ หรือ อ่านพบในห้องสมุด หรือ สดับตรับฟังจากผู้ที่รู้ จะต้องรับจดจำบันทึกไว้ ถ้าปรากฏอยู่ในหนังสือพิมพ์ ก็ควรตัดเก็บไว้
๔. วิมังสา คือ การนำเรื่องข้อมูลที่เราได้จดจำรวบรวมไว้ดังกล่าวในข้อ ๓. มาศึกษาทบทวนค้นคว้าหาเหตุ และผล ทดลองปฏิบัติให้แน่ชัด
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวได้ทรงประสบความสำเร็จ ทรงมีพระราชอัจฉริยภาพในวิชาการต่างๆ ทั้งศิลป์ และศาสตร์ เนื่องจากทรงเจริญในหลักธรรมอิทธิภาพ ๔ นี้เอง
ขอบคุณ แม่ พี่สาว หลานสาว ผู้เฒ่า ศิษย์พี่ เจ้านาย ลูกค้า โซ๊ยหมวย อาเฮีย และ ในหลวงของเราครับ
ขาแจมไปแย้ววววววววววว