ขอขอบคุณภาพจาก kanchanapisek.or.th
|
ขอขอบคุณ ภาพจาก http://www.geocities.com/pic_asupa/
อ.ขจิต เป็นกามนิตหนุ่มเช่นเคย ^ ^
ยินดีที่ทำให้สบายใจขึ้นนะคะ ถึงเป็นหวัดก็อย่าไปทุกข์กับมันนะคะ พิจารณาให้เห็นว่าเป็นหวัดแล้วเป็นอย่างไรก็พอ พักผ่อนเยอะๆ และหายเร็วๆ ค่ะ ^ ^
ตัวอย่างและคำอธิบายของอาจารย์ชัดเจน
เข้าใจง่าย
ขอบคุณมากค่ะ
สวัสดีค่ะอ.บัวชูฝัก
จริงค่ะ การมองเห็นนั้นขึ้นอยู่กับผู้มองจริงๆ เลย วันนั้นคุยกับหลวงพ่อ กับอ.ศิริศักดิ์ ก็คุยกันว่า คนบางคนเห็นแต่ผิวที่เคลือบไว้ภายนอก แต่บางคนเห็นของจริงแท้ที่ลึกลงไปกว่านั้นว่าภายใต้ผิวที่เราเห็นนั้น แท้จริง"ไม่มี"อะไรเลยค่ะ
ขอบคุณอาจารย์ที่แวะมา ลปรร นะคะ ^ ^
สวัสดีค่ะคุณสุดทางบูรพา
แหมใช้สำนวนได้ถูกใจจังค่ะ ^ ^
ข้างนอกสดใสข้างในตะติ๊งโหน่ง
บางทีก็ต้องระวังมากๆ เลยค่ะเรื่องการพิจารณาความจริงแท้ เพราะบางเรื่องก็มีผิวมีเปลือกหลายชั้นเหลือเกิน
เคยสังเกตตัวเองนะคะ ว่ามุมมองเราเปลี่ยนไปเรื่อยๆ เหมือนกับสิ่งที่เราเห็นเปลี่ยนสีเปลี่ยนหน้ากากได้ 5555 ของสิ่งเดียวกันเมื่อวานซืนบอกว่าสวย เมื่อวานบอกว่าไม่ค่อยสวยเท่าไหร่เสียแล้ว จริงๆ แล้วสิ่งที่เปลี่ยนคือใจของเรา ไม่ใช่ของ เพราะฉะนั้นถ้าเห็นแล้วเปลี่ยนไปได้เรื่อยๆ สิ่งที่เปลี่ยนคือกิเลสในใจของเราเองค่ะ ^ ^
สวัสดีค่ะพี่บางทราย
ขอบคุณที่แวะมาทักทายนะคะ ช่วงนี้ไม่ได้ไปเยี่ยมใครเท่าไหร่เลยค่ะ พยายามจัดตัวเองให้ไปเฮฮาศาสตร์ดงหลวงให้ได้แต่ก็ไม่สำเร็จค่ะ ต้องทำงานช่วงเวลานั้น (ติดสอน)
ไม่ได้แวะไปบอกด้วยค่ะว่า tag คิดถึงพี่เอาไว้ ดูได้ที่นี่ค่ะ Tag คิดถึง : บันทึกประทับใจเกี่ยวกับการศึกษา แต่เดาว่าสงสัยพี่จะไม่ว่างสักเท่าไหร่ เห็นเตรียมงานเฮฮาศาสตร์ขมักเขม้นกันอยู่
เสียดายมากค่ะที่ไปดงหลวงไม่ได้ แต่ไม่รู้จะทำอย่างไร จะคอยติดตามรายงานผลทางเน็ตก็แล้วกันนะคะ
ขอบคุณค่ะ
สวัสดีค่ะคุณหมอรวิวรรณ
ยินดีมากที่อาจารย์แวะมาเยี่ยมเยียนนะคะ ตอนแรกว่าจะเขียนเกี่ยวกับอสุภะ การมองร่างกายน่ะค่ะ แต่ตัวอย่างอาจจะเข้าใจยาก เลยเอาตัวอย่างเรื่องเงินที่ดูง่ายๆ ไว้ก่อนค่ะ เกือบเขียนแล้วล่ะค่ะว่า ธนบัตรก็เหมือนกับกระดาษใบหนึ่งไม่ต่างจากกระดาษชำระค่ะ ^ ^ อ.ศิริศักดิ์เคยเล่าให้ฟังว่า ที่มาเลเซียมีอยู่ช่วงหนึ่ง คนเอาธนบัตรมาใช้แทนกระดาษชำระ เพราะกระดาษชำระมีค่ามากกว่าธนบัตรในเวลานั้นค่ะ
ขอบคุณคุณหมอที่แวะมาเยี่ยมเยียนให้กำลังใจนะคะ ^ ^
สวัสดีครับ
เป็นข้อคิดที่คอยเตือนสติได้ดีครับ
ความจริงแล้ว ที่อาจารย์พูดมา ก็ไม่ใช่เรื่องแปลกใหม่ อะไร เราๆ ท่านๆ โดยมากถูกสอนเรื่องนี้กันมาแล้ว แต่ถ้ามีอะไรมาสะกิด ก็ช่วยให้มีสติกลับมาบ้าง
น่าดีใจที่มีสมาชิกหลายคน ใน G2K คอยเตือนสติด้วยบันทึกที่น่าสนใจอยู่เสมอๆ
ขอบคุณสำหรับธรรมะ ครับ
ได้อ่าน"เปลือกนอกและเนื้อใน" แล้ว ทำให้เข้าใจความเป็นจริงของชีวิตบนโลกใบนี้ขึ้นอีกมาก ตราบใดที่เรายังอยู่ภายใต้กฏไตรลักษณ์ที่มีการเกิดขึ้น ตั้งอยู่ และดับไป ก็ไม่ควรจะไปยึดถือกับสิ่งใดเลย ใช่ไหมคะ
สวัสดีค่ะคุณธวัชชัย
ขอบคุณค่ะ พยายามเตือนตัวเองเรื่อยๆ ค่ะ ^ ^
จริงที่เรื่องที่เขียนในบันทึกไม่ใช่เรื่องใหม่เลย สำหรับตัวเองแล้ว เหมือนรู้ แต่ทำไม่เป็นน่ะค่ะ เหมือนเรียนมา แต่ยังทำไม่ได้ ต้องค่อยๆ ฝึกค่ะ ^ ^ ตอนนี้ทำได้ดีขึ้น ไม่ยึดติดกับเรื่องต่างๆ มากนัก เพราะมองเห็นเนื้อในได้ดีขึ้น
ใน gotoknow มีกัลยาณมิตรเยอะเลยค่ะ ช่วยกันคิด ช่วยกันเตือน ช่วยกันทำค่ะ
ขอบคุณที่แวะมา ลปรร นะคะ
สวัสดีค่ะคุณสิรินาม วัฒนศัพท์
สำหรับตัวเองแล้ว การเข้าใจกฎไตรลักษณ์ ทำให้เข้าใจสภาพของเปลือกนอกและเนื้อในได้มากเลยค่ะ เปลือกนอกที่เห็นจะเป็นไปดังที่กล่าวว่า มีเกิดขึ้น ตั้งอยู่ และดับไปเสมอ เช่นสังขาร ถ้ามองเนื้อในแล้วจะเห็นได้ว่า้สังขารนี้"ไม่มี" น่ะค่ะ
แต่การไม่ยึดกับสิ่งใดเลยนั้น สำหรับตัวเองแล้วคิดว่าตราบใดที่ยังอยู่ในสังคมที่คนยังยึดกับบางสิ่งบางอย่างอยู่ เราต้องรู้จักใช้สิ่งที่คนเขายึดกันให้ถูกต้องค่ะ เช่น เรื่องของเงิน เราก็เพียงแต่มองให้เห็นว่าเงินคืออะไร เอาไว้ใช้แลกเปลี่ยน เป็นสิ่งจำเป็นในการซื้อหาสิ่งต่างๆ สำหรับดำรงชีวิต ก็เท่านั้น แต่ไม่ยึดเห็นเงินเป็นอำนาจ หรือเอาเงินมาปรุงกิเลสตัวเองอีกต่อหนึ่ง
สรุปว่าต้องมองให้เห็น เข้าใจ รู้จักใช้สิ่งรอบตัว หรือแม้กระทั่งตัวเราเอง เพราะถ้ารู้และเข้าใจ เมื่อต้องเสียไปก็ไมรู้สึกแปลกอะไรเพราะรู้อยู่ว่าไม่แน่นอนค่ะ ^ ^
ขอบคุณคุณสิรินาม ที่แวะเข้ามา ลปรร นะคะ ยินดีต้อนรับค่ะ
คำว่ามองเปลือกนอก กับ มองเนื้อใน
ไม่ทราบว่ามองเปลือกนอกอะไร กับ มองเนื้อในอะไร
ถ้ามองเปลือกนอกของคนอื่น กับ มองเนื้อในของคนอื่น จะทำให้เราวุ่นวาย
ถ้ามองเปลือกนอกเรา กับ เนื้อในเรา
คือพิจารณากายเรา กับ พิจารณาจิตเรา จะทำให้เราสงบ
มีหลายคนมองเห็นภูเขา บางคนก็ว่ามีเส้นผมบังภูเขา
มีน้อยคนที่จะเห็นขนตา และยิ่งน้อยคนเวลาหลับตาแล้วเห็นเปลือกตาที่แนบสนิทกัน
เวลาหลับตาแล้วคนส่วนใหญ่เห็นแต่เรื่องภายนอก เห็นแต่เรื่องผู้อื่น
เราลองมาเห็น มาดู มารู้ เรื่องภายในของเรากันครับ
มี 2 อย่าง คือกาย กับ จิต พิจารณาให้เป็นธาตุ 4 ขันธ์ 5 แล้วน้อมลงสู่ไตรลักษณ์
ผู้ใดทำได้ชำนาญ ผู้นั้นจักสงบ และอยู่ดีมีสุข ครับ
สวัสดีค่ะคุณร่มไม้ใหญ่ใกล้ทาง
ขอบคุณที่ช่วยเข้ามาเิติมเต็มเนื้อหาเกี่ยวกับเปลือกนอกและเนื้อในนะคะ ^ ^
เห็นด้วยค่ะว่าถ้าเรามองคนอื่นๆ พยายามไปตีความเข้าใจคนอื่นๆ ก็คงจะวุ่นวายพอควรทีเดียว ถ้าไปจับยึดเรื่องนั้นๆ ไม่ปล่อย
ตอนที่เขียนบันทึก นึกถึงเรื่องทั่วๆ ไป เช่น การมองเปลือกนอกเืนื้อในของสิ่งต่างๆ รอบตัว และการมองน้อมมาที่เข้ามาที่ตัวเองด้วยค่ะ
ขอบคุณอีกครั้งที่แวะเข้ามา ลปรร นะคะ ยินดีต้อนรับค่ะ
สวัสดีครับพี่กมลวัลย์
อ่านบันทึกนี้แล้ว นึกถึงคำสอนของหลวงปู่ เลยอยากนำมาแลกเปลี่ยนครับ
ครั้งหนึ่งท่านได้อบรมศิษย์ผู้หนึ่งเกี่ยวกับการรู้ธรรม เห็นธรรมว่ามีทั้งชั้นหยาบ ชั้นกลาง ชั้นละเอียด ท่านอธิบายโดยหยิบยกมาเปรียบเทียบกับซองบุหรี่ว่า
"แรกเริ่ม เราเห็นแค่ซองของมัน
ต่อมา เราก็จะไปเห็นมวนบุหรี่อยู่ในซองนั่น
ในมวนบุหรี่แต่ละมวนก็ยังมียาเส้นอยู่ภายในอีก
แล้วที่สุดจะเกิดตัวปัญญาขึ้น รู้ด้วยว่ายาเส้นนี้ทำมาจากอะไร
จะเรียกว่า เห็นในเห็น ก็ได้ ลองไปตรองดูแล้วเทียบกับตัวเราให้ดีเถอะ"
ขอบคุณครับ
เข้าใจว่าอาจารย์มองถึงเรื่องเปลือกนอก เนื้อในของสิ่งต่างๆทั่วๆไป
สำหรับตัวเองนะคะ คิดว่า ไม่มีอะไรแน่นอนในโลกนี้จริงๆ จะไปจะอยู่เมื่อไรไม่ทราบ เลยคิดว่า จะทำความดีอะไรที่เป็นประโยชน์กับตัวเองและผู้อื่น ก็ให้รีบทำ ไม่รีรอค่ะ ยิ่งไปอ่านเจอบทความนี้ค่ะ........
สถิติทั่วโลกบอกว่าหญิงเมื่อปลายชีวิตจะมีชีวิตที่ทรมานกับโรคเรื้อรัง เช่น ปวดไขข้อ โรคหัวใจ กระดุกผุ ฯลฯ มากกว่าชายโดยเฉลี่ยเมื่อหลังอายุ 85 ปี (ถ้าหญิงใดไม่คิดจะอยู่หลังอายุ 85 ปี ก็ไม่ต้องกังวลครับ)
พระเจ้าก็ได้ให้ชายมีอายุขัยโดยเฉลี่ยสั้นกว่าหญิงอยู่แล้ว (โดยเฉลี่ย 5-7 ปีในทุกสังคม) เพื่อให้หญิงได้มีชีวิตอันสงบก่อนตาย แต่เหตุไฉนจึงลงโทษหญิงอายุมากกว่า 85 ปี หรือเป็นเพราะว่าไม่ต้องการให้เธอเหงาจนเกินไปในช่วงเวลาแห่งการมีความสงบของจิตใจ?
สรุปว่า ถึงเราจะมีอายุยืน แต่ก็ต้องสุขภาพดีด้วย แต่ไม่มีใครบอกได้ว่า อะไรจะเกิดขึ้น ทางที่ดี อย่าประมาทในชีวิต อย่าลุ่มหลงไปกับสิ่งจอมปลอมอันหาแก่นสารไม่ได้ และอย่าไปยึดติดกับสิ่งใด ละวางให้ได้มากที่สุด ก็จะดีกับตัวเรา ไม่ต้องไปแบกอะไรให้หนักโดยใช่เหตุ
แหม เลยคิดไปไกลหน่อยนะคะ
สวัสดีค่ะน้องกบ ข้ามสีทันดร
ตอนพี่เขียนเรื่องนี้พี่นึกถึงเรื่องที่คุยกับหลวงพ่อกับอ.ศิริศักดิ์น่ะค่ะ
หลวงพ่อท่านชี้ไปที่บาตร ท่านพูดว่า ...
คนมองบาตรก็จะเห็นว่าบาตรคือภาชนะสำหรับใช้ในการบิณฑบาตร แต่ถ้ามองให้ดีก็คือธาตุหนึ่งใน ๔ เท่านั้น ....
หลังจากนั้นก็มีการสนทนากันถึงเรื่องการมองกาย ว่าคนทั้งหลายจะเห็นแต่ผิวหนังรูปลักษณ์ภายนอก มองไม่เห็นที่อยู่ข้างใน
เปรียบเหมือนตัวอย่างเรื่องซองบุหรี่ีที่หลวงปู่ท่านสอนไว้ ซองก็เหมือนเนื้อหนัง บุหรี่ก็เปรียบเสมือนเนื้อ/อวัยวะภายในเส้นเลือดต่างๆ ตัวบุหรี่ก็ประกอบไปด้วยยาเส้นข้างในเป็นพื้นฐาน เหมือนอวัยวะต่างๆ ประกอบไปด้วยธาตุต่างๆ เซลล์ต่างๆ DNA ต่างๆ เป็นพื้นฐาน
มาถึงตรงนี้อาจารย์ศิริศักดิ์ถามอีกคำถามหนึ่งที่ทำให้พี่เกิดปัญญาเำพิ่มเติม...นั่นคือ อาจารย์ถามว่า ... แล้วเราล่ะอยู่ตรงไหน? มีเราไหม?
สำหรับพี่แล้ว การพิจารณาแบบนี้ทำให้ละอัตตาไปได้มากทีเดียวค่ะ ^ ^
ขอบคุณที่แวะนำคำสอนของหลวงปู่มาเติมเต็์มเนื้อหาในบันทึกนะคะ
สวัสดีค่ะคุณพี่ศศินันท์
ภายใต้เปลือกนอกรูปกายของเรา ยังมีอะไรๆ อีกมากมาย ที่เราใช้ประเมินคนแต่ละคน เช่น อวัยวะทั้งหลาย (รูป) ก็ใช้ประเมินความเจ็บป่วย หรือคุณค่าความเป็นมนุษย์ของแต่ละคน (นาม) ใช้ประเมินคุณค่าทางสังคมของคน ประมาณว่ารูปงาม แต่จิตใจอาจไม่งามก็ได้ หรือผิวพรรณดีแต่ข้างในอาจเป็นโรคหลอดเลือดหัวใจอยู่ก็ได้
แต่ถ้ามองให้ลึกลงไปอีกจากรูปและนามภายใต้สังขารของเรา จะเห็นถึงความจริงอันหนึ่งก็คือ เห็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา (ความไม่เที่ยง ความทุกข์ ความไม่มีตัวตน) อันนี้คือเนื้อในจริงๆ
ตอนนี้กำลังหัดมองให้เห็นทุกอย่างเป็นแบบนี้ค่ะ และได้ข้อสรุปเหมือนที่คุณพี่กล่าวไว้ค่ะ
อย่าประมาทในชีวิต อย่าลุ่มหลงไปกับสิ่งจอมปลอมอันหาแก่นสารไม่ได้ และอย่าไปยึดติดกับสิ่งใด ละวางให้ได้มากที่สุด ก็จะดีกับตัวเรา ไม่ต้องไปแบกอะไรให้หนักโดยใช่เหตุ
สำหรับตัวเองแล้ว คิดว่าคุณพี่ไม่ได้คิดไกลไปเลยค่ะ ^ ^
ขอบคุณคุณพี่ที่แวะเข้ามา ลปรร นะคะ
....สำหรับตัวเองแล้วคิดว่าตราบใดที่ยังอยู่ในสังคมที่คนยังยึดกับบางสิ่งบางอย่างอยู่ เราต้องรู้จักใช้สิ่งที่คนเขายึดกันให้ถูกต้อง...
พี่ว่าตรงนี้แหละค่ะที่เราต้องมีสติ รู้เท่าทัน มีปัญญาในการดำเนินชีวิตเมื่อเรายังอยู่ในสังคม อยู่ด้วยความเข้าใจและปัญญา ชีวิตก็จะไม่มีปัญหา หรือมีน้อยค่ะ
สวัสดีค่ะพี่นุช คุณนายดอกเตอร์
เห็นด้วยอย่างมากเลยค่ะ เราต้องรู้จักดู แยกแยะ รู้จักใช้สิ่งต่างๆ รอบตัวแบบไม่ยึดติดค่ะ ทุกวันนี้ก็ใช้หลักการนี้อยู่อย่างมีความสุขตามอัตภาพค่ะ ^ ^
ตอนนี้ก็พยายามมองตัวเองมากขึ้น จะได้เห็นเปลือกนอกและเนื้อในของตัวเองยิ่งขึ้นค่ะ
ขอบคุณที่แวะมา ลปรร เสมอนะคะ ^ ^
สวัสดีครับอาจารย์
...เรื่องการมอง การฝึกมองให้ผ่านเข้าไปข้างใน
เพื่อให้เห็นสิ่งที่เป็นจริง.. เป็นทางหนึ่งของผู้ฝึก
ที่จะต้องผ่านและพัฒนาขึ้นเรื่อยๆครับ
ผม..เคยอ่านพบ เคยฟังและเคยลองฝึกอยู่ครับ...
การผ่านการฝึกและปรับเปลี่ยนการมองตรงนี้ให้ถูกต้อง ให้ดีขึ้นเรื่อยๆ แมจะไม่ถึงขั้นสำเร็จ
แต่ก็รู้สึกว่าดีขึ้น และได้ประโยชน์มากขึ้นครับ
อ่านบันทึกตรงนี้แล้วหวนนึกถึงสิ่งที่เคยฝึก เคยอ่าน เคยจำได้ครับ
และก็รู้สึกว่าดีขึ้นมาจากการได้เรียนรู้เรื่องนี้มากๆครับ(เป็นองค์ประกอบหนึ่ง)
ขอบพระคุณครับ
..ปล.. บันทึกย้อนหลังหน่อยนะครับ.. บางครั้งบุญอาจจะไม่ถึงหรือเปล่า เพราะอ่านครั้งแรกอ่านจะไม่ซึมซับ หรือไม่เชื่อมโยง
แต่พอมาอ่านอีกครั้งก็รู้สึกดี ได้ต่อยอดและได้ระลึกถึงเรื่องดีงามครับ
การฝึกและการเรียนรู้ที่ผ่านมาคือ
- เริ่มจากเรื่องการทำความเข้าใจเรื่อง ดิน น้ำ ลม ไฟ ตอนแรกยากเหมือนกัน ครับ ได้แต่จำ เข้าใจ แต่ไม่ได้เข้าถึง พอผ่านชีวิตมาสักระยะ ก็เริ่มเห็นบ้าง(ตาในครับ) ต้องขอบพระคุณครูบาอาจารย์ทั้งหลายที่ได้เขียนได้อธิบายไว้ ทำให้เข้าใจมาขึ้นครับ
สวัสดีค่ะน้องหมอ kmsabai
พี่เองก็เป็นประเภทเดียวกันแหละค่ะ บางครั้งอ่านเรื่องบางเรื่องครั้งแรกยังไม่คลิ๊ก นึกถึงตอนเรียนหนังสือน่ะค่ะ ถ้าเรื่องไหนคลิ๊ก จะเรียนสนุกมากๆ เรื่องธรรมะนี้ก็เหมือนกัน ถ้าเมื่อไหร่คลิ๊ก ก็จะเข้าใจแบบมองไปทางไหนก็เห็นเลยล่ะค่ะ ^ ^
มีเหมือนกันที่ย้อนกลับไปอ่านบันทึกเก่าๆ ของตัวเองแล้วพบว่าเหมือนอ่านบันทึกที่คนอื่นเขียน ได้ความรู้สึก ได้ความเข้าใจใหม่ๆ จากการกลับไปอ่านน่ะค่ะ
สำหรับเรื่องการเข้าใจเรื่องเปลือกนอกกับเนื้อในนั้น ตัวพี่เองมองว่าเปลือกนอกจะเข้าข่ายไตรลักษณ์เสมอ แต่ถ้าเป็นเนื้อในแล้วจะเป็นปรมัตถ์ค่ะ ^ ^