สืบเนื่องจากที่ผมนำเสนอประสบการณ์ด้านการจัดการความรู้ของผม ที่อาจารย์จันทรรัตน์ ได้มาเสนอความเห็นเชิงหารือ
1. ว่า "ความรู้"ที่ไร้"ข้อมูล"จะตั้งอยู่อย่างไร.....
2. และ "ข้อมูล"ที่ไม่มีการจัดการด้วยความรู้....จะเป็น"ข้อมูล"ได้หรือไม่
3. ทั้งความรู้และข้อมูลมีการเลื่อนไหลทับซ้อนและสลับที่กับได้ตลอดเวลา...ความรู้หนึ่ง ณ ที่หนึ่งอาจเป็นข้อมูลสำหรับอีกพื้นที่หนึ่ง..
4. ขณะที่ข้อมูลจากที่หนึ่งหรือ ณ เวลาหนึ่งก็คือผลึกความรู้ของ ณ เวลานั้นและจากที่นั้น...
ผมจึงขอท้าวความถึงบันทึกของ ดร. วรภัทร์ และการขยายความของผมที่ว่า
1. สิ่งที่ปรากฏต่อเรานั้นเป็นสัญญาณที่อาจรับได้โดยสัมผัสทั้งห้า ได้แก่ หู ตา จมูก ลิ้น กาย ใจ
2. เมื่อเรารับสัญญาณได้ (สัมผัสได้ เนื่องจากระบบสัมผัสทำงานเป็นปกติ) ก็จะกลายเป็น สัญญาณ ที่ต้องแปลงมาเป็นข้อมูลในรูปแบบต่างๆ
3. การแปลงจะถูกต้องหรือไม่ขึ้นอยู่กับประสิทธิภาพของระบบการรับและความสามารถของระบบการแปลงซึ่งประกอบด้วยกระบวนทัศน์ วิสัยทัศน์ ประสบการณ์ อัตตา ระบบคิด และความรู้ที่มีอยู่เดิม
4. เมื่อแปลงแล้วก็จะกลายเป็นความรู้ เป็นเรื่องๆ
5. ความรู้เป็นเรื่องๆนั้นก็จะนำมาผสมผสานกันเอง และกับความรู้ที่มีอยู่เดิม ในระบบคิดของคนคนนั้น ที่เรียกว่าการจัดการความรู้ (knowledge management)
เมื่อความรู้เหล่านี้เชื่อมโยงกับความเป็นจริงหรือธรรมชาติ ก็จะเป็นความรู้ที่มีประโยชน์ ใช้การได้ ทำงานได้ และเป็นวิทยาศาสตร์ในสาขาต่างๆ
แต่ก็อาจมีความรู้ที่เลื่อนลอยไม่เชื่อมกับอะไร ใช้งานอะไรไม่ได้ ไม่มีปรัชญาที่เกี่ยวข้องใดๆ อยู่อย่างลอยๆ ด้วยความคิด และอัตตาของบุคคลคนนั้น เขาใช้คำว่า ความรู้เทียม (Pseudo-science)
และคนที่มีหรือใช้ความรู้แบบนี้เราเรียกว่า หรือนามสมมติว่าเป็นนักวิทยาศาสตร์เทียม (Pseudo-scientist) ที่ขาดความรู้ความเข้าใจทางทฤษฎีหรือหลักการของธรรมชาติ มีแต่หลักการ ระบบคิดที่ใช้งานจริงไม่ได้
จึงเป็นแค่ระบบที่ไม่มีความหมายอะไร ไม่มีประโยชน์ และไม่น่าแปลกใจครับ
กลุ่มนักวิทยาศาสตร์เทียม (Pseudo-scientist)นี้ ถ้าเป็นคนธรรมดาก็จะไม่มีปัญหาใดๆ หรือปัญหาไม่มาก แต่ถ้าบังเอิญได้รับหัวโขน ตำแหน่งหน้าที่ก็อาจจะสร้างปัญหาได้มากมาย
ที่ครูบาสุทธินันท์เคยกล่าวในบันทึกต่อท้ายบันทึกของผม ว่า นักวิทยาศาสตร์เทียมเหล่านี้
· จะมองโครงการหรืองานของคนอื่นๆ ไม่ออก และถือว่าความคิดที่ไม่ตรงกับตัวเองเป็นเรื่องไม่มีประโยชน์ ไร้สาระ
· แต่ตัวเองก็ไม่มีกึ๋นพอที่จะไปสร้างชุดความรู้ ตำหรับ หรือฐานงานวิจัยใดๆ
· นักวิทยาศาสตร์เทียม (Pseudo-scientist) เหล่านี้ จึงไม่มีอะไรไปแลกหมัดกับใคร และมักนิยมเดินตามคัมภีร์ที่มีคนเขียนไว้แบบหลับหูหลับตา
· ความไม่แข็งแรงทางวิชาการนี่เอง ที่ทำให้ไปอ่อนข้อหรือศิโรราบนักวิชาการฝรั่งกำมะลอ ดีไม่ดี ใช่ไหมใช่ ขอให้เป็นฝรั่ง สันดานทาสยอมเขาเหมือนหมาน้อยขี้ประจบ
· และด้วยอำนาจหน้าที่ของเขา (ถ้ามี) ก็จะบังคับเชิงชี้ชวนให้คนอื่นเชื่อและทำตามแบบ “หมาจิ้งจอกหางด้วน” ในนิทานอีสป
และนี่ก็คือ คำตอบต่อคำถามของอาจารย์จันทรรัตน์ ที่ว่า
· "ความรู้"ที่ไร้"ข้อมูล"จะตั้งอยู่อย่างไร.....
ตอบ อยู่ในระบบคิดของนักวิทยาศาสตร์เทียม (Pseudo-scientist)
· และ "ข้อมูล"ที่ไม่มีการจัดการด้วยความรู้....จะเป็น"ข้อมูล"ได้หรือไม่
ตอบ เป็นข้อมูลอย่างนั้นแหละ แต่ไม่มีวันเป็นความรู้
· ทั้งความรู้และข้อมูลมีการเลื่อนไหลทับซ้อนและสลับที่กับได้ตลอดเวลา...ความรู้หนึ่ง ณ ที่หนึ่งอาจเป็นข้อมูลสำหรับอีกพื้นที่หนึ่ง..
ตอบ น่าจะถูกต้องครับ
ขอบคุณค่ะอาจารย์
ดีใจมากค่ะที่อาจารย์ยังไม่ทิ้งประเด็นที่สงสัยและช่วยอธิบายให้เข้าใจ....
มาถึงบันทึกนี้ของอาจารย์...เข้าใจว่า สิ่งที่มีอยู่ตามธรรมชาติหากไม่ได้ไปรับรู้(ผ่านตา หู สัมผัส รส กลิ่น) ...ยังไม่เป็นข้อมูล...เมื่อรับรู้นำมาเป็นข้อมูลถ้าไม่ใช้ความรู้ไปจัดการก็ยังไม่ใช่ความรู้....นั่นแสดงว่า ความรู้ต้องอยู่บนข้อมูลที่ผ่านการจัดการอย่างเป็นระบบระเบียบ สิ่งที่เราไปอ่านไปดูฯลฯ เช่นดูงานจากที่หนึ่งก็ยังไม่ใช่ความรู้เราจนกว่าเราจะได้ลงมือนำสิ่งที่เห็นมาจัดการจนเกิดความรู้ของเราเองฯลฯ(ความรู้ของหน่วยงานอื่นยังเป็นระดับข้อมูลของเรา) ถ้าความรู้นั้นเชื่อมโยงกับสิ่งที่มีอยู่ตามธรรมชาติก็เป็นสิ่งที่มีประโยชน์ต่อไป(คราวก่อนอาจารย์ใช้คำว่าเชื่อกลับสู่องค์รวมคือตรงนี้ใช่ไหมคะ)...สรุปอย่างนี้จะใช่ไหมคะ
คนทุกคนสามารถเป็นผู้จัดการความรู้ได้...และถ้าจะจัดการได้ก็คือต้องผ่านการแสวงหา การสนใจ การส่งเสริม(ตัวเอง) การสนับสนุน(ตัวเองให้รู้) การบันทึกเก็บเป็นข้อมูลสะสมฯลฯ..เรียกว่าต้องเป็นทุกหน้าที่ในตัวเองถึงจะเป็นการจัดการความรู้ของคนนั้น....เข้าใจอย่างนี้จะใช่ด้วยไหมคะอาจารย์
ชอบที่อาจารย์อธิบายค่ะ ทำให้เข้าใจง่าย ถ้ามีศัพท์ยากๆ มักจะไม่ค่อยอยากเรียนค่ะ...คือเป็นคนไม่ค่อยชอบไปจำคำศัพท์ค่ะ..มันมีมาใหม่เรื่อยๆจนบางทีกว่าจะจำได้ก็ไม่อยากรู้เรื่องนั้นๆไปแล้ว...เป็นนักเรียนที่แย่หน่อยค่ะ
ขอบคุณมากค่ะ
ทำอย่างไรดีครับถ้าเราต้องร่วมงานกับนักวิทยาศาสตร์เทียมที่ไม่รู้จักตัวเอง กระผมคิดว่าในประเทศของเราตอนนี้ค่อนข้างจะมีนักวิทยาศาสตร์เทียมเพิ่มขึ้นตามการพัฒนาการศึกษาที่ปรับเปลี่ยนอยู่ตลอดเวลา ทำอย่างไรเราถึงจะมีทิศทางและมาตรฐานที่มั่นคง เพื่อให้ไปถึงเป้าหมายได้อย่างมั่นคงและยั่งยืน
ครับ
ผมก็ไม่ชอบความซับซ้อนครับ
ศัพท์อะไรที่ไม่จำเป็น หรือมีแล้ว ใช้ของเก่าง่ายกว่าครับ
ขอบพระคุณครับที่มาตามดูความคิดของผมครับ
เราคงได้ทำงานแบบชัดเจนมากขึ้นครับ
คุณวุฒิชัย
เราคงต้อง "มองข้าม" ไปก่อน
ไปกังวลก็เหนื่อยเปล่า ทุกคนเสียประโยชน์
ปล่อยเขาไป วันหนึ่งเขาก็แพ้ภัยตัวเองครับ