นอนดูดาวที่แม่แจ่ม


ยุทธก็รับลูก รีบขับตามไปติดๆ แต่ทางแคบ หาทางแซงไม่ได้ รถข้างหน้าก็วิ่งค่อนข้างเร็ว ยุทธขับออกขวาตลอด หาจังหวะแซง พอจะได้จังหวะ ก็ถึงโค้ง ต้องผ่อนความเร็ว พอถึงทางตรง ก็เหยียบเต็มสปีด

ก่อนหน้านี้ พวกเราเดินทางจากเชียงใหม่ไปสบเมย (ยังไม่ได้เล่า) จากนั้นก็ย้อนไปแม่แจ่ม ขอเล่าเรื่องแม่แจ่มก่อน เพราะตอนไปสบเมยเรื่องยาว ไว้ทีหลัง ;)

   เมื่อพวกเราจบธุระที่สบเมย ก็เป็นอันต้องเดินทางต่อ เพราะพรุ่งนี้มีงานที่เชียงใหม่ทั้งวัน ปรึกษาคุณพิบูล พัฒนาการที่นี่ บอกว่าเช้าจะไปถ่ายที่ฮอด และบ่ายจะไปถ่ายที่แม่แจ่ม พี่เขาบอกว่าที่ฮอดไม่มีที่พัก ไปที่แม่แจ่มดีกว่า มีที่พักเยอะ พวกเขาเลยต้องเปลี่ยนแผน (ใช้แผนสองอีกแล้ว) สลับไปแม่แจ่มเช้า แล้วฮอดเป็นบ่าย แต่วันนี้เป็นวันอาทิตย์ ติดต่อใครไม่ได้ คุณพิบูลให้ชื่อคนที่จะติดต่อไว้ จากนั้นก็ออกเดินทางมุ่งหน้าไปแม่แจ่ม โดยผ่านแม่สะเรียงออกจากฮอด-แม่สะเรียง เหมือนที่เราลงมาเมื่อวันศุกร์

   เราคะเนกันว่า ถ้าวันอังคารถ่ายทำที่แม่ริม ตอนบ่ายต้องว่าง แทนที่จะอยู่เปล่าที่เชียงใหม่ เพื่อจะรอถ่ายพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ เชียงใหม่วันพุธ สู้เดินทางไปถ่ายที่แม่สอดวันพุธเช้าดีกว่า จะได้กลับบ้านเร็วหน่อยด้วย เพราะถ้าถ่ายเชียงใหม่เช้า มีหวังต้องโอ้เอ้วิหารรายถึงบ้านตีสองเหมือนเดิมแน่ บอกให้บอลประสานงานไปแม่สอดอีกครั้ง แล้วยกเลิกพิพิธภัณฑ์แห่งชาติ เชียงใหม่ และรอคำตอบวันจันทร์หรืออังคาร

   เราใช้เส้นทางแม่สะเรียง-ฮอด ที่หลายคนส่ายหน้านั่นแหละ เพราะโค้งมหาศาล จะว่าไปแล้ว เส้นทางภาคเหนือตอนบนก็เป็นอย่างนี้ทั้งนั้น บังเอิญถนนสายนี้คนรู้จักมากกว่าสายอื่นๆ ก็ได้ เส้นนี้เราเลยเดินทางมาแล้ว เมื่อสองวันก่อน จากเชียงใหม่ มาแม่สะเรียง นี่เป็นการเดินทางย้อนกลับ เพิ่มประสบการณ์ใช้คนขับ และเพิ่มชั่วโมงบิน (นั่งรถ) ของพวกเราด้วย ขากลับจึงไม่มีอาการมึน งง หรือวิงเวียนใดๆ

   ระหว่างทางจากแม่สะเรียงไปแม่แจ่มนั้น ข้างทางมีดอกบัวตองขึ้นเป็นระยะๆ แต่ขากลับนี้ไม่ได้มองเพราะระยะทางไกล สู้หลับดีกว่า หลับครั้งหนึ่งก็ประมาณ 30 กิโลเมตร (เป็นอัตราการวัดที่ประหลาดอยู่เหมือนกัน) เพราะรถเขย่ามากพอสมควร

   เราไปไม่ถึงฮอด เพราะต้องแยกเข้าทางแม่แจ่ม และแวะรอรถตู้อีกคัน โตกับบอลลงไปเดินเล่นข้างล่าง เห็นรถบรรทุกคันใหญ่ขนฟักทองมาจอด แล้วมารถกระบะมาถ่ายอีกหลายคัน บอลไปสืบทราบมาว่าเขาต้องถ่ายลงรถเล็ก เพราะรถบรรทุกเดินทางเข้าไปไม่ได้

   สักพักรถตู้อีกคันผ่านมา ปล่อยให้เขานำหน้าไป เพราะคนขับเป็นชาวเชียงใหม่ น่าจะรู้ทางดี แต่ปรากฏว่ารถขับช้าไม่ทันใจ ยุทธก็เลยขับแซงจนไม่เห็นฝุ่น ยุทธบอกว่ารถคันนั้นเครื่องดีเซล มันอืด ของเรารถเบนซิน เครื่องแรงกว่า เร่งได้ทันใจกว่า ถนนสายนี้กำลังซ่อมแซม มีช่างมายืนส่องกล้อง มีรถบรรทุก และกองวัสดุข้างทางเป็นระยะๆ เส้นทางที่ผ่านมานั้นอยู่บนเขาแน่ๆ มองไกลไปข้างหน้าเป็นภูเขาสูง นั่นคือดอยอินทนนท์ ยอดเขาที่สูงที่สุดในประเทศไทย เรียนเรื่องนี้เมื่อตอน ป.3 แต่เพิ่งจะได้เห็นของจริงก็วันนี้แหละ ท้องฟ้าปลอดโปร่งมาก พวกเราคุยกันว่าคืนนี้มีหวังได้เห็นฝนดาวตกชัดแน่

   อ่านข่าวมาหลายวันแล้วว่า นักท่องเที่ยวแห่กันขึ้นเชียงใหม่ เพื่อดูฝนดาวตก จนที่พักไม่พอ ต้องกางเต็นต์กัน และช่วงนี้เป็นหน้าหนาว ใครๆ ก็มาเที่ยวภาคเหนือ ซึ่งคนละจุดประสงค์กับเรา

   ขับไปถึงตัวเมืองแล้วยังไม่มีวี่แววของโรงแรมสักหลัง แวะเข้าไปถามที่ปั๊มน้ำมันแห่งหนึ่ง เขาบอกว่าที่นี่มีโรงแรมที่เดียว แต่เต็มหมดแล้ว (ทำไมถึงรู้ก็ไม่ทราบ) นอกจากนี้ก็มีรีสอร์ตอีกแห่งหนึ่ง ออกไปทางนู้น พอดีมีรถตู้อีกคันแวะเข้ามา คงจะเข้ามาถามทางเหมือนกัน เสร็จแล้วแล้วเลี้ยวออกไป พวกเราเห็นก็ตกใจ คิดเหมือนกัน บอกยุทธว่าแซงคันนั้นไปเลย เพราะเขาคงจะมาถามทางไปที่พักเหมือนกัน ถ้าเขาไปถึงก่อนมีหวังเราไม่มีที่พัก

   ยุทธก็รับลูก รีบขับตามไปติดๆ แต่ทางแคบ หาทางแซงไม่ได้ รถข้างหน้าก็วิ่งค่อนข้างเร็ว ยุทธขับออกขวาตลอด หาจังหวะแซง พอจะได้จังหวะ ก็ถึงโค้ง ต้องผ่อนความเร็ว พอถึงทางตรง ก็เหยียบเต็มสปีด พอถนนกว้างหน่อย ยุทธพุ่งพรวดแซงรถตู้คนนั้นจนได้ ในรถมีนักท่องเที่ยวเต็ม (เข้าใจเอาเอง เพราะเห็นเป็นฝรั่ง) กว่าจะได้จังหวะแซงก็เลยตัวอำเภอมาพอสมควร คนขับคนนั้นคงสงสัยว่าเรารีบแซงเขาทำไม

   ขับไปสักพักก็ยังไม่เห็นมีรีสอร์ต จึงย้อนกลับ เห็นมีบ้านหลังเล็กๆ หลังคาเรียงๆ กัน น่าจะเป็นที่พัก บอกให้ขับเข้าไป

   ไปถึงเป็นรีสอร์ตจริงๆ ด้วย รับขับผ่านป้อมยาม เหลียวไปด้านหลัง รถตู้คันนั้นไม่เห็นตามมา จึงบอกให้ยุทธไปจอดหน้าบันไดทางขึ้นก่อน เรากับพี่ป้อมรีบวิ่งขึ้นไป เพราะบันไดสูงและชัน พี่ป้อมตะครุบกบ ต้องช่วยพยุงขึ้น แล้ววิ่งกระหืดหระหอบขึ้นไปต่อ เกรงว่ามีคนมาแย่งที่พัก พอถึงเคาน์เตอร์ เจ้าหน้าที่ต้อนรับหน้าตายิ้มแย้มแจ่มใส ใส่เสื้อสีแดง อายุคงไม่เกิน 25 ไว้ผมเลยบ่าหน่อย ดัดเป็นลอนๆ แต่ที่แก้มมีรอยเปื้อยอะไรสักอย่าง ไม่ถึงกับสวย แต่น่ารักดีจัง น้ำเสียงไม่เหมือนคนทางเหนือ เรารีบกระหืดกระหอบถามที่พัก เขาบอกว่ามีบ้านพักว่าง ก็โล่งใจ และความจริงแล้วรถตู้คันนั้นเขาไม่ได้มาหาที่พักเหมือนเราสักหน่อย พอได้ห้องพักก็นั่งพักเหนื่อยกัน

   บอลโทรไปหากบในรถตู้อีกคันให้ตามมาที่นี่ พวกเราขนของขึ้น ที่พักที่นี่เขาสร้างบนที่เนิน สูงๆ ต่ำๆ มีในบริเวณที่พักปลูกต้นเฟื่องฟ้าเต็มไปหมด คิดว่าพรุ่งนี้จะขอถ่ายรูปกับน้องสาวคนนั้นสักหน่อย บ้านที่พักเป็นหลังเล็กๆ หลังคาแหลม ชายคาเตี้ยกว่าคอ ต้องเดินเข้าด้านหลัง สงสัยเขาคงไม่อยากให้มีคนอื่นมาเดินผ่านหน้าบ้าน ดีเหมือนกัน แต่หลังหนึ่งนอนได้แค่ 2 คน หลังท้ายๆ เป็นสองห้องติดกัน ภายในมีอุปกรณ์ครบครัน เครื่องทำน้ำอุ่น ตู้เย็น (ใหญ่) แต่มีหน้าต่างเฉพาะด้านหน้า อ้อ มีพัดลมอีก 1 เครื่อง โต๊ะนั่งเขียนหนังสือ ด้านหน้าบ้านมีที่นั่งชมวิว ถึงจะอยู่ที่นี่สักอาทิตย์ก็ยังไหว ช่วงนี้อากาศหนาว จึงไม่ต้องเปิดพัดลมเลย

   พวกเราพักอยู่ในบ้านเรียงๆ กันไป ตั้งแต่ A2 ถึง A6 อาบน้ำกันแล้วก็ลงไปข้างล่าง ขึ้นรถตู้คันเดียวกัน จะได้ประหยัดพลังงาน และไม่ต้องคอยกันด้วย จะไปหาอาหารกินในตัวเมือง (ถ้าเป็นความหมายทั่วไป คงจะเรียกว่าในตัวตลาดเท่านั้นเอง) เข้าไปในตัวเมือง ไม่เห็นมีร้านอาหารอะไรเลย แวะร้านขายของชำ พรรคพวกซื้อขนมกับเครื่องดื่ม พอดีมีแขกเข็นรถขายโรตี ซื้อกินกันทุกคน (ใส่ไข่ด้วย)

   จากนั้นก็กลับมากินข้าวที่รีสอร์ท รสชาติใช้ได้ แต่ข้าวไม่พอ เพราะมีแขกพักน้อย เขาเห็นเราไม่กินตอนแรก ไม่ได้เตรียมข้าวไว้ ก็เลยกินได้น้อยกว่าที่ควรจะเป็น เพราะพอขาดตอน ก็พาลอิ่มไปเลย จากนั้นก็แยกย้ายไปห้องพัก เรานอนหลังเดียวกับพี่ป้อมเหมือนเดิม นั่งเขียนบทโทรทัศน์เรื่องของภาคเหนือ เพราะพรุ่งนี้พี่กุ้งต้องกลับแล้ว ต้องฝากไปพร้อมกัน และจะถ่ายพิธีกรวันถัดไป ส่วนที่บ้านหลังใหญ่ที่มีสองห้องเห็นนั่งเล่นไพ่กัน

   อากาศค่อนข้าวหนาว เขียนบทเสร็จก็นอนประมาณเที่ยงคืน ในห้องไม่มีโทรทัศน์ จึงไม่ต้องดูอะไร พรรคพวกบอกว่าจะดูฝนดาวตกกัน โตบอกว่าเขาจ้างมาทำเรื่องผ้า ไม่สนใจฝนดาวตก ส่วนพี่ป้อมนั้นหมายมั่นปั้นมือว่าจะถ่ายฝนดาวตกให้ได้ ยกกล้องมาไว้ในห้องเรียบร้อย

   สักตีหนึ่งกว่า ได้ยินเสียงโวยวาย ว่าไปดูฝนดาวตกกันเถอะ เราว่าไม่ไป ง่วงนอน สักพักได้ยินเสียงเฮถี่ขึ้น เลยออกไปดูหน้าบ้าน พอมองเห็น เลยยกโขยงกันไปที่ลานด้านหน้า เป็นพื้นลาด แต่ก็โล่ง มองไปข้างหน้าเห็นดอยอินทนนท์ชัดเจน ท้องฟ้าโปร่งมาก เห็นดาวเต็มไปหมด ฝนดาวตกปรากฏทางตะวันออก สูงจากพื้นสัก 25 – 75 องศา แต่อยู่ในกรอบที่กว้างมาก เกือบครึ่งท้องฟ้าทีเดียว แต่ปรากฏเร็วมาก บางครั้งก็ช้าหน่อย ถึงอย่างนั้นก็ยังถ่ายไม่ทัน เพราะกว่าจะหันกล้องไปก็หายหมดเสียแล้ว

   ไฟในสนามสว่างเกินไป เลยต้องไปบิดหลอดนีออนให้มันดับ ส่วนหลอดไฟโป๊ะกลมกลางสนาม เราเอาผ้าขาวม้าไปคลุมไว้ จึงมืดลงมาก พี่ป้อมบอกว่าเหลือนีออนอีกดวง แต่ปรากฏว่าเป็นหลอดติดเสาสูง ไม่มีปัญญาไปดับ แต่ก็พอมองเห็นได้ดาวพอสมควร คอยดูฝนดาวตกจนประมาณตีสองกว่าๆ หมอกเริ่มมาก พรรคพวกหายไปทีละคนสองคน บริเวณนั้นมีคนอื่นอีกกลุ่มหนึ่ง ก็ทยอยกลับเข้าไปเหมือนกัน เหลือแต่เรากะพี่ป้อม

   ลงทุนไปเอาผ้าขาวม้าอีกผืนมาปูกับพื้น แล้วนอน เพราะนอนดูดาวจะเห็นง่ายกว่านั่งดู และไม่เมื่อยคอด้วย ช่วยพี่ป้อมบอกทาง พี่ป้อมบอกจะไปหากาแฟมาให้ ไปที่ครัวแต่เขาปิดแล้ว พี่ป้อมหาทางแอบเข้าไปในครัว (ไม่ใช่ตีท้ายครัวนะ) ไปรินน้ำร้อนมาสามแก้ว แล้วเอากาแฟห่อผสมเสร็จมาให้ กินคนละแก้ว จะได้ตาสว่าง (อีกแก้วหนึ่งเป็นน้ำร้อนเปล่าๆ)

   ทว่าที่ตั้งเป้าไว้ไม่ประสบความสำเร็จ คืนนั้นมีฝนดาวตกสวยๆ เราคอยบอก ทางนี้ พี่ป้อมหันกล้องไป อ้าว ดับเสียแล้ว บางทีมีเสียงปุ เราเหลียวไป เหลือแต่ส่วนปลายๆ ถ่ายไม่ทัน เพราะกล้องถ่ายวิดีโอนั้น ต้องปรับและหมุนยุ่งยากกว่ากล้องถ่ายรูปมาก บางครั้งมีดาวพุ่งออกมาไล่ตามกัน บางทีก็สวนทางกัน แต่ถ่ายไม่ทันเลย ถ้าไฟมืดหมด คงเห็นได้มากกว่านี้ ประมาณตีสองครึ่ง หมอกลงจัดมาก กระทั่งดาวสว่างที่สุดสองดวงในท้องฟ้าก็ค่อยๆ หรี่ เลยต้องหอบข้าวของกลับบ้าน นอนสบาย

   ตื่นเช้ามืด ดูพระอาทิตย์ขึ้นจากเหลี่ยมเขา แล้วชมดอกเฟื่องฟ้าฟ่องฟ้าอยู่บนเนิน จนลืมขอถ่ายรูปกะน้องสาวคนนั้น ถ้าไปอีกที จะเจออีกหรือเปล่า ยังสงสัย.

หมายเลขบันทึก: 137949เขียนเมื่อ 12 ตุลาคม 2007 22:28 น. ()แก้ไขเมื่อ 14 มิถุนายน 2012 17:54 น. ()สัญญาอนุญาต: จำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (13)
  • อ่านแล้วรู้สึกเหมือนอยู่ในเหตุการณ์ด้วยเลยค่ะ
  • นึกว่ากำลังนอนดูฝนดาวตกอยู่ อิอิ...
  • ชอบค่ะ  เดือนหน้าก็จะขึ้นเชียงใหม่เหมือนกัน
  • หน้าหนาวต้องขึ้นเชียงใหม่ตลอดค่ะ

สวัสดีครับ P อ.ลูกหว้า ตอนนั้นหนาวมากครับ อาจารย์ไปเที่ยวเชียงใหม่ อย่าลืมกลับมาเล่าเรื่องให้ฟังด้วยนะครับ ขอบคุณที่แวะมาสม่ำเสมอครับ ;)

สวัสดีครับ คุณ P หมู : จริยา ทิพย์หทัย ขอบคุณครับที่แนะนำ เอ โลกกลมหรือเปล่าน้อ ถ้าพี่เขาจบเกษตร มช รหัส 30 ล่ะก็ โลกกลมแน่ๆๆ โอกาสหน้าคงได้ไปแม่แจ่มอีกรอบแน่ๆ ครับ

  • สวัสดีค่ะ คุณธวัชชัย
  • พึ่งได้ตามมาอ่าน ...สนุกดีนะ ..
  • ฝนดาวตก ปีนั้นไปดูที่ภูกระดึงค่ะ ...
  • เสียงผู้ชม อืออ  อา กันดังสนั่นทุ่งเวลามีลูกโต ๆ ร่วง ..
  • ว่าแต่  คอเคล็ดไหมคะ ..
  • เอิ้ก ๆๆ

ครูอ้อยก็ตามมาอ่าน  หลังจากที่น้องไปอ่านบันทึกครูอ้อยหลายบันทึก

เขียนได้ดีมากค่ะ

จะตามมาอ่านอีกนะคะ

 

  • ตามมาดูฝนดาวตกคะ...
  • ปีนั้นนอนนับดาวตกหน้าบ้านเลยคะ...สนุกมาก...ไม่ต้องไปไหนไกล
  • แวะมาชวนไปดูมนุษย์ต่างดาวคะ
  • อ้าวมีสัญญาณเรียกเข้าแล้ว...ต้องรีบไปดูแล้วคะ...ว่ามนุษย์ต่างดาวลงจอดที่ไหน..อิอิ
สวัสครับ คุณ coffee_mania P สนุกดีครับ คอไม่เคล็ดแต่ว่าหนาวจับจิตจับใจ อย่างน้อยก็คุยกะพรรคพวกได้ว่า ไปดูฝนดาวตกที่แม่แจ่มมาแล้ว... ปีนี้เมื่อเดือนสิงหา ชะเง้อดูแนวนครชัยศรีไม่มีมาสักเม็ดเลย
สวัสดีครับครูพี่อ้อย P ขอบคุณที่ติดตามอ่านครับ ความประทับใจทำให้เขียนอะไรๆ ได้ยืดยาว จริงไหมครับ
อ้าว คุณP naree suwan ก็แวะมาเหมือนกัน เมื่อหลายปีก่อนเคยทำกล้องดูดาวครับ เห็นไม่มากหรอก แต่ว่าเท่ดี มีโอกาสคงได้ทำกล้องดูดาวอีกครั้ง แต่ว่า จะแบกไปดูที่ไหนดี ล่ะเนี่ย...

ผมเดินทางได้แต่ในความฝัน...

ความเป็นจริงกำลังติดอยู่กับห้องทำงาน...

เคยนอนดูดาว สมัยเด็กๆบ่อยค่ะ มีบ้านอยู่ริมแม่น้ำบางปะกง จะมาอยู่ทุกศุกร์-อาทิตย์ สบายๆ เย็นๆ

จินตนาการไปเรื่อยเปื่อยค่ะ

เอาดอกบัวสวรรค์มาฝากเผื่อ จะตกมาจากฟ้าบ้าง

สวัสดีครับ คุณ P แผ่นดิน ไม่เจอหลายวันนะครับ คงจะยุ่งๆ กลับมาคงมีความคิดดีๆ มาเล่าเหมือนเดิมนะครับ รออ่าน...

พี่ P ครับ บัวสวรรค์สวยจังเลย ขอบคุณครับ สมัยนี้หาที่ดูดาวได้ยากครับ ต่างจังหวัดก็ยังต้องหาทำเลไกลตัวเมือง ชุมชน สองปีก่อนไปนอนดูดาวที่ขุนยวม แจ่มชัดยังกะใครจับหิ่งห้อยมาปล่อยไว้ในตู้ปลา ดูเพลินมาก กลับมา กทม เห็นแต่ท้องฟ้าฝ้าฟาง เล็งจนตาเหล่กว่าจะเห็นสักดวง

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท