ความที่ผม สนใจ งานด้านสุขภาพมวลชน และ สนใจประเด็น อาหารกับสุขภาพ
ก็เคยสงสัยว่า วันดีคืนดี นักการเมืองจำยอม ระดับ เจ้ากระทรวง ก็ชูประเด็น เรื่องเบาหวาน ว่า เป็นปัญหาของสังคมไทย
ผมก็อดแย้งไม่ได้ ว่า กระทรวงสาธารณสุข ได้พยายามแสดง นโยบายสาธารณะ ด้านอาหาร ต้านโรคเรื้อรัง อย่างไร
อีกระยะหนึ่ง ก็มาจัดกิจกรรม วัดความดัน ช่วยคนลดทานเกลือ ซึ่งผมว่า เป็นความรู้ที่เก่ามากๆ
ฝรั่ง เขาสนใจ ประเด็นอาหาร กับสุขภาพมาก พยายามแนะให้คนกินอาหารให้ฉลาด จะลดโรคเรื้อรัง
คราวนี้ ความที่ร้อนวิชา ผมก็แหย่เขาต่อว่า พวกคนในกระทรวงสาธารณสุข ดีแต่ โวยชาวบ้าน ประชาชน ไม่รู้จักเลือกกิน
แต่พวกเราเอง ก็กินแย่ พอๆกับสุขภาพ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การทานอาหารในการประชุม ที่ใช้เงินราชการ งบประมาณประเทศ มากินกัน มื้อละ 100-200 บาท
แย่ต่อสุขภาพ
ทำไม ไม่มีใครคิดนโยบาย อาหาร ของ จนท ข้าราชการ ในกระทรวงสาธารณสุข ว่า
ต้อง เป็นไปตามกรอบ แนวคิด ของอาหารไทยๆ ที่ดีกับสุขภาพ ไม่ใช่กินแต่กาแฟ หวาน และ ขนมหวาน ขนมเค็ก
ผมไม่เชื่อว่า ผู้จัด ผู้จ่ายเงิน อย่าง กระทรวง สธ จะไม่มีอำนาจ ต่อรอง หรือเรียกร้อง จาก ทาง โรงแรม หากเขาจัดไม่ได้ ก็ไปจัด โรงแรมอื่นๆ
ประเด็นเรื่องนี้ คือ ทำไม ระดับ นโยบาย จึงไม่เรียกร้อง จาก หน่วยงานในสังกัด ให้ทำ เป็น แนวทาง เป็นตัวอย่างกับประชาชน ชี้นำประชาชน ชนิดว่า เราเองก็กิน อย่างที่เราบอก ประชาชน
แต่เอาเข้าจริง พวกเรา บอกให้ประชาชนทานอาหาร ผัก ข้าวกล้อง มาก แต่เรากินเอง จากกินภาษีที่จัดประชุม เป็นอาหารเลวต่อสุขภาพ
ถึงว่า ยิ่งประเทศยิ่งพัฒนา งบประมาณยิ่งมาก สุขภาพประชาชนและ เจ้าหน้าที่ ยิ่งแย่
ไม่รู้จะโทษใครดีครับ ที่ ระบบสุขภาพประเทศไทย เป็นเช่นนี้
ทุกฝ่าย โทษกันไปมา
ทุกวันนี้ ผมก็คอยสอนประชาชน ให้รู้จักกินผัก ด้วยพลังอันไม่พอเพียง จนเริ่มสงสัยว่า เมื่อไร คนที่บริหารบ้านเมือง จะชี้นำบ้านเมืองและประชาชน ได้อย่างที่เหมาะที่ควร
อย่างที่เคยเล่า จีน และ สิงคโปร์ เข้าออก ทีวี สอนประชาชนให้กินเป็น ส่วนบ้านเรา เอาเงินโฆษณา ให้คนมากินยาฟรี รักษาฟรี
เราก็จนเอา จนเอา ทั้งที่คล้ายว่า จะอุดมสมบูรณ์อยู่ ส่วน ประเทศที่เคยจนกลับ รวยเอา รวยเอา รู้จักเลือกกิน
ผมตามข่าว ก็พบว่า กรมอนามัย กระทรวง สธ ก็พยายาม ขยับเรื่องนี้ แต่ทำไมไม่เข้าตา จนเป็น นโยบาย ชี้นำ
อย่างข่าว จาก manager online วันที่ 8 ตค 2550 นี้
http://www.manager.co.th/QOL/ViewNews.aspx?NewsID=9500000118157
เตือนอาหารว่างพักเบรก ทำคนกินเสี่ยงอ้วน-เบาหวาน |
โดย ผู้จัดการออนไลน์ |
8 ตุลาคม 2550 09:01 น. |
|
กรมอนามัยสำรวจอาหารว่างระหว่างประชุม พบ 75%ให้พลังงานเกินความต้องการของร่างกาย ทั้งเบอเกอรี่ กาแฟ เครื่องดื่มรสหวานจัด อุดมไขมัน น้ำตาล โซเดียมสูง เสี่ยงเกิดปัญหาสุขภาพทั้งโรคอ้วนเบาหวาน แนะผู้ชายไม่ควรกินอาหารว่างเกิน 200 กิโลแคลอรี่ ผู้หญิงไม่เกิน 160 กิโลแคลอรี่ เน้นรับประทานผลไม้เป็นอาหารว่างมากขึ้น ทพญ.เมธินี คุปพิทยานันท์ ทันตแพทย์ เลขานุการโครงการ Healthy Meeting กรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข (สธ.) กล่าวว่า ได้ทำการสำรวจอาหารว่างระหว่างประชุม / ฝึกอบรม โดยสำรวจความคิดเห็นของผู้เข้าประชุมต่ออาหารว่างและการจัดกิจกรรมยืดเหยียดร่างกายและทัศนคติของแม่บ้านต่อ การจัดอาหารว่างระหว่างประชุม โดยดำเนินการสำรวจในช่วงเดือนกุมภาพันธ์ 2550 สุ่มตัวอย่างอาหารว่างจำนวน 20 ชุด ของหน่วยงานต่างๆ ในกระทรวงสาธารณสุข เพื่อนำมาคำนวณพลังงานที่ได้ แล้วนำไปวิเคราะห์คุณค่าอาหารของกองโภชนาการ พร้อมทั้งสอบถามความคิดเห็นของข้าราชการสธ.จำนวน 475 คน อายุเฉลี่ย 43 ปี ทพญ.เมธินี กล่าวต่อว่า เมื่อพิจารณารายการอาหาร ทั้ง 20 ชุด จะสามารถแบ่งอาหารออกเป็น 3 กลุ่ม คือกลุ่มที่ให้พลังงาน น้อยกว่า 200 กิโลแคลอรี่ ซึ่งมี 25% เท่านั้น แต่มีเกือบครึ่ง 45% ที่ให้พลังงาน 200-300 กิโลแคลอรี่ และกลุ่มที่ให้พลังงานมากกว่า 300 กิโลแคลอรี่ คิดเป็น 30% ซึ่งเท่ากับอาหารมื้อหลักด้วยซ้ำ โดยชุดอาหารว่างที่ให้พลังงานสูง ส่วนใหญ่มาจากอาหารประเภทเครื่องดื่มที่จัดร่วมกับเบเกอรี่ ที่อุดมด้วยไขมันอิ่มตัว ไขมันทรานส์ แป้ง น้ำตาลไอซ์ซิ่ง และมีโซเดียมสูง เพราะมีผงฟูเป็นส่วนประกอบ ส่วนอาหารว่างประเภทแซนวิช พลังงานส่วนใหญ่ได้จากมายองเนส ซึ่งทำจากนมข้นหวานและไข่แดง จึงมีน้ำมัน และน้ำตาลอยู่ค่อนข้างมาก ส่วนเครื่องดื่มปรุงสำเร็จประเภทมอลต์รสชอคโกเลต ทั้งโอวัลติน และ ไมโล มีรสหวานมาก ให้พลังงานสูงถึง 150 กิโลแคลอรี่ ต่อ 1 ซอง ส่วนกาแฟปรุงสำเร็จ 1 ซอง 20 กรัม ให้พลังงาน 88 กิโลแคลอรี่ ดังนั้นเมื่อนำมารับประทานร่วมกับอาหารประเภทเบเกอรี่จึงให้พลังงานสูงมากขึ้น อาหารว่างระหว่างประชุมส่วนใหญ่จึงให้พลังงานมากเกินความต้องการของร่างกาย ซึ่งพลังงานส่วนเกินเหล่านี้ จะเปลี่ยนเป็นไขมันสะสมทำให้เกิดปัญหาโรคอ้วน โรคเบาหวาน ฯลฯ “อาหารว่างไม่ใช่อาหารมื้อหลักแต่เป็นอาหารระหว่างมื้อ โดยหลักการแล้ว อาหารว่างของเด็กพลังงานที่ได้รับไม่ควรเกิน 20% ของพลังงานที่ได้ร่างกายต้องการ ส่วนอาหารของผู้ใหญ่ไม่ควรเกิน 10% ของพลังงานทั้งหมดที่ร่างกายต้องการ หรือ 150-200 กิโลแคลอรี่ อาหารว่างที่ดีจึงควรเป็นอาหารว่างจำพวกผลไม้ แต่กลับพบว่า อาหารว่างบางครั้งให้พลังงานสูงเกินไป มีทั้งน้ำตาล ไขมัน โดยเฉพาะผู้สูงวัยที่มีปัญหาสุขภาพ ไม่ว่าจะเป็นโรคหัวใจ เบาหวาน การรับประทานอาหารว่างจึงอาจเป็นปัจจัยเสริมพฤติกรรมการบริโภคที่กระตุ้นโรคภัยเหล่านี้มากขึ้น”ทพญ.เมธินีกล่าว ทพญ. เมธินี กล่าวต่อว่า หากถามว่าอาหารว่างมีความจำเป็นในการประชุมหรือไม่นั้น จากการสำรวจพบว่า ผู้ประชุมส่วนใหญ่ต้องการให้มีอาหารว่าง ซึ่งกลายเป็นประเพณีไปแล้ว นอกจากนี้ อาหารว่างยังช่วยคลาดเครียด สำหรับผู้ที่ไม่ได้รับประทานอาหารเช้าก็สามารถรับประทานของว่างก่อน รับประทานอาหารกลงวันได้ ส่วนใหญ่จึงต้องการให้มีอาหารวางอยู่แต่ต้องจัดให้เหมาะสมมากยิ่งขึ้น ทพญ.เมธินี กล่าวต่อว่า ทั้งนี้ ความเข้าใจของผู้จัดอาหารว่างสำหรับการประชุม คลาดเคลื่อนไม่ตรงกับ ความต้องการของผู้เข้าประชุมหลายประการ โดยความคิดเห็นและความต้องการของผู้เข้าประชุมสะท้อนให้เห็นถึงกระแสการตื่นตัวด้านสุขภาพที่มีมากขึ้น เช่น อยากให้มีผลไม้เพิ่มมากขึ้น ขณะที่ผู้จัดการประชุม ตลอดจนแม่บ้านผู้จัดอาหารว่างระหว่างประชุมคิดว่าเบเกอรี่ กับกาแฟเป็นของว่างที่ดีที่สุด ดังนั้น จึงควรได้รับการพัฒนาให้มีความรู้ในเรื่องการจัดอาหารว่างเพื่อสุขภาพ โดยได้มีการจัดทำคู่มือแนะนำอาหารว่างเพื่อสุขภาพ แจกจ่ายให้กับผู้ที่สนใจด้วย ทพญ.เมธินี กล่าวด้วยว่า สำหรับข้อเสนอแนะเพื่อปรับปรุงการจัดอาหารว่างควรพิจารณาว่าจะรับประทานอาหารว่างทั้งหมดที่จัดให้หรือไม่ โดยถือตามหลักการว่าพลังงานที่ได้จากอาหารว่างในวันหนึ่งๆ สำหรับผู้ชายไม่ควรเกิน 200 กิโลแคลอรี่ ส่วนในผู้หญิงไม่ควรเกิน 150-160 กิโลแคลอรี่ ดังนั้นถ้าอาหารว่างที่จัดให้มีปริมาณมาก ก็อาจพิจารณาเลือกรับประทานเพียงกาแฟถ้วยเดียวโดยอาจจะเติมน้ำให้น้อยลง เพื่อลดปริมาณน้ำตาลและครีมเทียมที่ใช้ แต่ยังได้กาแฟที่มีรสชาติเข้มข้นแบบที่ต้องการ ส่วนอาหารว่างควรเลือกจัดขนมไทยมากกว่า เบเกอรี่ แต่ไม่ควรจัดขนมไทยหลายชิ้น ควรมีผลไม้ด้วย สำหรับเครื่องดื่มควรจัด น้ำผลไม้ น้ำสมุนไพร นมสด และ น้ำชาจีนให้เป็นทางเลือกเพิ่มขึ้น ถ้าจัดนมสด ควรเลือกนมพร่องไขมันหรือขาดไขมัน ซึ่งให้แคลเซียมและน้ำตาลธรรมชาติ มากกว่านมปรุงแต่งรสชาติ ที่หวานจัด และให้พลังงานสูงมาก
หวังว่า รัฐบาลหน้า คงใส่ใจ เรื่อง นโยบาย สาธารณะด้านอาหาร นอกเหนือไปจาก ขนมเด็ก นมหวาน |
|