หลายสิบปีที่ผ่านมา บ่ายวันหยุดวันหนึ่งผู้บันทึกนั่งอยู่ใต้ห้องเช่า มีหนุ่มสาวคู่หนึ่งเดินเข้ามาพบบอกว่ามาประกาศข่าวประเสริฐ ผมตะขิดตะขวงใจ แต่ก็เชิญเขานั่งแล้วคุยกัน เขามาชักชวนไปฟังเทศน์ นักบวชท่านหนึ่ง พร้อมแจกหนังสือเล็กๆให้ผมเล่มหนึ่ง แล้วเขาก็เดินไปประกาศข่าวต่อไป
ผมทิ้งหนังสือเล่มนั้นไว้บนห้องหลายวันจนวันหยุดในสัปดาห์ถัดมา ก็หยิบหนังสือเล่มนั้นมาอ่านไปแบบคร่าวๆ แต่แล้วก็มาหยุดที่เรื่องหนึ่ง ผมอ่านแล้วอ่านอีก
สรุปความว่า มีสาวนางหนึ่งขับรถไปธุระเมื่อเสร็จแล้วก็กลับบ้าน ลนเส้นทางกลับนั้นพบว่ารถของเธอลมยางรั่วซึมออกมาจนแบน ไม่สามารถวิ่งต่อไปได้ ผู้หญิงตัวเล็กๆ จะทำอะไรได้ เธอหยิบเครื่องมือออกมาแต่ก็ไม่รู้ว่าจะทำอะไรก่อนหลังอย่างไร เก้ๆ กังๆ อยู่เช่นนั้น จนพักใหญ่มีรถปิคอัพเก่าๆคันหนึ่งผ่านมาเธอติดสินใจโบกขอความช่วยเหลือทันที
เหมือนพระมาโปรด รถคันนั้นหยุด ผู้เป็นเจ้าของรถเป็นชายวัยกลางคน หน้าตาเหมือนคนทำงานหนัก เขาก้าวออกมาพร้อมใบหน้ายิ้มแล้วถามว่าให้ผมช่วยอะไรบ้างครับ หญิงสาธยายความเดือดร้อน แล้วเขาก็เดินไปมาดูรอบๆแล้วบอกว่า ผมช่วยได้ครับ ขอเครื่องมือ เขาคนนั้นลงมือเปลี่ยนยางอะไหล่รถให้ใหม่จนเสร็จซึ่งก็เล่นเอาเหงื่อโทรมกาย
เสร็จสิ้นหญิงสาวดีใจและยกมือไหว้ขอบคุณพร้อมหยิบเงินมาจำนวนหนึ่งแล้วบอกว่า ขออนุญาตทดแทนคุณด้วยเงินจำนวนนี้ค่ะ ชายคนนั้นเห็นแล้วส่ายหน้าพร้อมออกปากว่า ขอบคุณครับ แต่ผมไม่รับหรอกครับ ผมตั้งใจช่วยจริงๆครับ หญิงสาวก็เข้าใจ แต่อยากทดแทนคุณที่เสียเวลาและเหงื่อโทรมกายเชียว ชายคนนั้นบอกอีกว่า เอางี้ก็แล้วกันครับ ผมขออนุญาตให้คุณ “ทดแทนผมด้วยการช่วยเหลือคนอื่นแบบไม่หวังผลตอบแทนเช่นนี้แหละครับ” หญิงสาวเข้าใจและตอบรับ แล้วต่างก็แยกย้ายกันไป
ผู้บันทึกประทับใจเหตุการณ์เรื่องนี้มากที่สุด แล้วก็ติดในสำนึกมาตลอด ช่วงนั้นโครงการพัฒนาที่เราทำกันหมดอายุเพื่อนร่วมงานต่างคนก็แยกย้ายกันไปตามเงื่อนไข ผู้บันทึกต้องข้ามจากเหนือมาอีสาน เพื่อนๆส่วนใหญ่ยังอยู่ภาคเหนือ
หลายปีผ่านไป วันหนึ่งผมได้รับจดหมายจากเพื่อนร่วมงานครั้งนั้น สาระในจดหมายบอกว่า เมื่อโครงการพัฒนาใหม่สิ้นสุดการทำงานลงอีกก็พาครอบครัวลูกหนึ่งคนไปทำน้ำเต้าหู้ขายในกรุงเทพฯ แต่ก็ต้องหอบหม้อน้ำเต้าหู้ร้อนๆวิ่งหนีตำรวจเทศกิจ โอย...ทุลักทุเลสิ้นดี ในที่สุดก็ติดสินใจขอกลับบ้านเชียงใหม่ แต่ไม่มีเงินสักบาทติดกระเป๋า ขอเงินกลับบ้านสักสามพันบาท ผมรีบส่งเงินไปทันทีแล้วผมนึกถึงเรื่องชายคนนั้นจึงเขียนจดหมายบอกเพื่อนไปว่า ไม่ต้องส่งเงินมาคืนนะ “ แต่ขอให้เองช่วยเหลือคนอื่นๆต่อๆไปเหมือนที่เราช่วยแบบนี้ ”
สิบปีผ่านมาเพื่อนผมคนนั้นกลายเป็นเสี่ยน้อยๆคนหนึ่งในวงการกล้าไม้ดอกส่งออกต่างประเทศ มีที่ดิน มีทรัพย์สิน มีเงิน มีบริวารมากมาย และสิ่งหนึ่งที่เขาทำคือ เอาเด็กยากจนมาทำงานแล้วส่งเรียนหนังสือ รับนักศึกษาฝึกงาน ให้ทุนการศึกษา ฯลฯ ผมทราบภายหลัง เขาบอกว่าเขาทำตามที่ผมบอกเขาไว้ คือช่วยเหลือผู้อื่นโดยไม่หวังผลตอบแทนครับ...
ผมไม่มีคำอธิบายใดๆอีก...แต่ลึกๆผมมีความสุขใจยิ่งนัก.. ในสำนึกผมบอกผมว่า สังคมเราน่าอยู่มากหากความคิดและการปฏิบัตินี้แพร่ออกไปทั่วทั้งสังคมใหญ่ เล็ก...
ต้อมจำได้ว่า เคยดูหนังฝรั่งเรื่อง pay it forward .. Haley Joel Osment ไอ้หนูแห่ง The Sixth Sense มารับบทเป็น เทรเวอร์ แม็คคินนี่ย์ เด็กน้อยที่คิดค้นทฤษฎี เพย์ อิท ฟอร์เวิร์ด นั่นคือ การทำความดีกับคนที่เราไม่รู้จัก จากนั้นก็ให้คนที่เราช่วยนั้น ไปทำความดีกับคนอื่นๆ อีก 3
ดูจบแล้วต้อมร้องไห้ค่ะ เพราะเด็กชายในเรื่องนี้ถูกแทงตาย
มารายงานตัวครับ สมัครเรียบร้อยแล้วครับหลังจากเป็นเสือซุ่มติดตามมานาน คิดถึงพี่น้องชาวบรูดงหลวง สลัดตัวออกจากพี่น้องบรูเขมรแบบสะบักสะบอมเต็มที คงได้คืนถิ่นเสียที และต้องเตรียมใจด้วยแนวคิดการให้ การสละแบบไม่หวังผล สำหรับเรื่องที่(เรา)รู้ๆกันครับ
เข้ามาติดตามอ่านบันทึกดีๆครับ
สวัสดีรับ เนปาลี
หวัดดี paleeyon
ฮ่า ฮ่า..มาแล้ว (ลูกช้างเชือกใหม่) สำเร็จแล้ว การเป็นสมาชิกใหม่ G2K ต่อไปนี้ลุยให้แหลกไปเลยนะ
เอาประสบการณ์ดีดีออกมาเผยแพร่สาธารณะเด้อ ขอต้นรับสมาชิกใหม่ หัวหน้าเผ่าโซ่ดงหลวงของเรา
สวัสดีครับ สะ-มะ-นึ-กะ
สวัสดีครับอาจารย์ paew
สวัสดีครับพี่บางทราย
ผมได้มีโอกาสช่วยเหลือคนก็หลายครั้ง ผลตอบแทนก็คือความสุขใจ สบายใจ เมื่อเราสามารถช่วยให้เขาพ้นทุกข์ได้ และก็จะทำอีกต่อไป
สวัสดีครับครูเสือ ครูเสือ
สวัสดีครับคุณ เขียวมรกต