ความล้มเหลวประการหนึ่งของการจัดการศึกษาของไทย คือ การสอนแบบแยกส่วน โดยใช้วิชาเป็นตัวตั้ง ไม่คำนึงถึงความสัมพันธ์หรือความเชื่อมโยงของแต่ละกลุ่มสาระวิชา และไม่เชื่อมโยงสาระวิชาต่าง ๆ กับการดำรงชีวิตประจำวัน นอกจากนั้นยังสอนโดยไม่คำนึงถึงความสัมพันธ์ระหว่างวิชาการและกระบวนการคิด และที่สำคัญการสอนโดยแยกส่วนระหว่างวิชาการต่าง ๆ กับการปลูกฝังคุณธรรมและจริยธรรม การสอนดังกล่าวจึงทำให้นักเรียนซึ่งเป็นผลิตผลจากการศึกษาออกมาแบบผิดรูป ผิดร่าง เช่น นักเรียนมีความรู้ เป็นคนเก่งแต่ขาดคุณธรรมและจริยธรรม นักเรียนเป็นคนดีแต่ไม่เก่ง นักเรียนมีความรู้แต่คิดไม่เป็นหรือไม่มีวิธีคิด นักเรียนไม่มีความเป็นตัวของตัวเอง และไม่ภาคภูมิใจในท้องถิ่นและความเป็นไทย นักเรียนมีความรู้แต่ไม่สามารถนำมาประยุกต์ใช้ในชีวิตประจำวันได้ มีความรู้แต่ไม่มีความสุข เหล่านี้ทั้งหมดล้วนเป็นผลมาจากการจัดการเรียนการสอนโดยใช้วิชาเป็นตัวตั้ง ไม่ใช้เด็กเป็นตัวตั้ง ดังนั้นการจัดการเรียนรู้หรือการจัดการเรียนการสอนโดยการบูรณาการจึงเป็นทางออกหนึ่งสำหรับปัญหานี้ ในบทความชิ้นนี้ผู้เขียนซึ่งเป็นครูสอนในโรงเรียนเอกชนสอนศาสนาอิสลามแห่งหนึ่งได้เห็นปัญหาของโรงเรียนเอกชนสอนศาสนาอิสลามหลายแห่งซึ่งเป็นปัญหาร่วมกันของโรงเรียนเอกชนสอนศาสนาอิสลามทั้งหลาย นั่นคือ นักเรียนคนเดียวกันต้องเรียน 2 หลักสูตร คือ หลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐาน พ.ศ. 2544 (หลักสูตรภาคสามัญ) กับหลักสูตรอิสลามศึกษาขั้นพื้นฐาน พ.ศ.2546 (หลักสูตรภาคศาสนา) ซึ่งต่างกับนักเรียนที่เรียนในโรงเรียนสามัญของรัฐและเอกชนอื่น ๆ ที่เรียนเพียงหลักสูตรเดียว คือ หลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐาน พ.ศ. 2544 (หลักสูตรภาคสามัญ) ซึ่งต้องใช้เวลาเรียนประมาณ 1000 – 1200 ช.ม./ปี ในขณะที่นักเรียนโรงเรียนเอกชนสอนศาสนาอิสลามต้องใช้เวลาเรียนประมาณ 1600 – 1800 ช.ม./ปี ซึงทำให้นักเรียนเหล่านี้ต้องรับภาระในการเรียนมากกว่านักเรียนอื่น ๆ ปัญหาประการต่อมา คือ นักเรียนต้องแบ่งอารมณ์ออกเป็น 2 อารมณ์ คือ ภาคเช้าเมื่อเรียนภาคศาสนานักเรียนต้องทำตัวให้สุขุม สงบเสงี่ยม เคร่งครัดในศาสนา แต่เมื่อภาคบ่ายซึ่งนักเรียนต้องเรียนภาคสามัญนักเรียนมีบุคลิคภาพหรืออารมณ์ที่สนุกสนาน กรี๊ด กร๊าด เฮฮา และเมื่อกลับบ้านนักเรียนก็ไม่สามารถนำทั้งความรู้ทั้งภาคศาสนาและสามัญไปประยุกต์ใช้ในชีวิตประจำวันของตัวเองได้ ทำให้เกิดความสับสนในตัวเอง จึงไม่รู้ว่าจะจัดการตัวเองอย่างไรดี จึงปล่อยให้เป็นไปตามที่อารมณ์ หรือความคิดที่ขาดความรับผิดชอบมาครอบงำ แต่ทั้งนี้และทั้งนั้นโรงเรียนประเภทนี้กลับได้รับความนิยมในกลุ่มผู้ปกครองมุสลิมเป็นจำนวนมากซึ่งเห็นได้จากการขยายตัวของโรงเรียนประเภทนี้มีมากขึ้น ดังนั้นผู้เขียนจึงพยายามหาทางออกให้กับปัญหานี้ด้วยการเขียนบทความชิ้นนี้ขึ้นมาเพราะเห็นว่าการจัดการเรียนรู้โดยการบูรณาการคือทางออกหนึ่งของปัญหานี้ แต่เนื่องจากผู้เขียนเองยังมีความรู้เกี่ยวกับเรื่องนี้อยู่น้อยมาก จึงตัดสินใจเขียนบทความชิ้นนี้ขึ้นมาเพื่อ1. เพื่อศึกษา ค้นคว้า เกี่ยวกับการจัดการเรียนการสอนโดยการบูรณาการ2. เพื่อให้ผู้รู้ที่ได้พบเห็นบทความชิ้นนี้แล้วได้แนะนำ สอนสั่ง เพิ่มเติมให้แก่ผู้เขียน3. เพื่อให้บุคคลที่ร่วมชะตากรรมเดียวกันทั้งหลายได้ร่วมกันศึกษา เรียนรู้ร่วมกัน แชร์ความรู้ระหว่างกันและกัน
การบูรณาการ
บูรณาการ (Intergration) ความหมายตามคำศัพท์หมายถึง การทำให้เต็มหรือสมบูรณ์ ซึ่งพระธรรมปิฎก (ป. อ. ปยุตฺโต) ได้ให้ความหมายแบบขยายความว่า “การทำให้หน่วยย่อยย่อย ๆ ทั้งหลายที่สัมพันธ์อิงอาศัยซึ่งกันและกัน เข้ามาร่วมทำหน้าที่ประสานกลมกลืนเป็นองค์รวมหนึ่งเดียวที่มีความครบถ้วนสมบูรณ์ในตัว” นอกจากคำว่าบูรณาการแล้วยังมีคำที่มีความหมายไกล้เคียงกัน คือ คำว่า องค์รวม (Wholistic) และ สมดุลย์ (balance)
การจัดการเรียนรู้โดยการบูรณาการ
สำนักงานโครงการพิเศษ สำนักงานคณะกรรมการประถมศึกษาแห่งชาติ กระทรวงศึกษาธิการ ได้กล่าวถึงการเรียนการสอนแบบบูรณาการว่า เป็นการจัดการเรียนรู้โดยใช้ความรู้ ความเข้าใจและทักษะในศาสตร์หรือวิชาต่าง ๆ มากกว่า 1 วิชาขึ้นไป เพื่อแก้ปัญหา หรือแสวงหาความรู้ ความเข้าใจในเรื่องใดเรื่องหนึ่ง ทำให้ผู้เรียนได้ประยุกต์ใช้ความคิด ประสบการณ์ ความสามารถและทักษะต่าง ๆ ในเวลาเดียวกัน ทำให้ได้รับความรู้ความเข้าใจในลักษณะองค์รวม ซึ่งจะส่งผลให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้ที่ลึกซึ้ง เนื่องจากเป็นการเรียนรู้ที่ใกล้เคียงกับสภาพชีวิตจริง การเรียนการสอนแบบบูรณาการ มีหลายลักษณะขึ้นอยู่กับสิ่งที่ใช้ในการพิจารณา
ทิศนา แขมมณี กล่าวว่าการจัดการเรียนการสอนโดยเน้นการบูรณาการ หมายถึง การนำเนื้อหาสาระที่มีความเกี่ยวข้องกันมาสัมพันธ์ให้เป็นเรื่องเดียวกัน และจัดกิจกรรมการเรียนรู้ ให้ผู้เรียนเกิดความรู้ความเข้าใจในลักษณะที่เป็นองค์รวม และสามารถนำความรู้ความเข้าใจไปประยุกต์ใช้ในชีวิตประจำวันได้
พระเทพเวที ได้กล่าวถึงความหมายของการบูรณาการว่า สำหรับความหมายของการบูรณาการนั้น อาจพิจารณาได้เป็นสองนัย คือ ความหมายโดยทั่วไปของคำว่าบูรณาการประการหนึ่ง และความหมายเฉพาะในทางศึกษาศาสตร์ ของคำว่าบูรณาการ อีกประการหนึ่ง โดยนัยแรกบูรณาการหมายถึง การทำให้สมบูรณ์ ซึ่งอาจจะขยายความเพิ่มเติมได้อีกว่าหมายถึงการทำให้หน่วยย่อย ๆ ที่สัมพันธ์อาศัยกันอยู่เข้ามาร่วมทำหน้าที่ประสานกลมกลืนเป็นองค์รวมหนึ่งเดียว ที่มีความครบถ้วนสมบูรณในตัวเอง ส่วนความหมายอีกนัยหนึ่ง ซึ่งกล่าวเฉพาะเจาะจงลงไปถึงความรู้ในสาขาวิชาทางศึกษาศาสตร์หรือครุศาสตร์ บูรณาการ หมายถึง การนำเอาศาสตร์สาขาวิชาต่าง ๆ ที่มีความสัมพันธ์เกี่ยวข้องกันมาผสมผสานเข้าด้วยกัน
ชูเมกเกอร์ ได้ให้คำจำกัดความของคำว่า การศึกษาแบบบูรณาการว่า การศึกษาที่ตัดผ่านเส้นแบ่งแยกวิชา นำเอาส่วนต่าง ๆ ของหลักสูตรมารวมกันให้เกิดความสัมพันธ์กันอย่างมีความหมาย เพื่อให้เกิดจุดรวมเป็นหัวข้อที่ต้องการศึกษากว้าง ๆ การศึกษาแบบบูรณาการสะท้อนให้เห็นโลกที่เป็นจริง ซึ่งตองพึ่งพาอาศัยกันเกี่ยวพันกับผู้เรียนทั้งทางกาย ความคิด ความรู้สึก ผัสสะ และการหยั่งรู้ ทำให้เกิดประสบการณ์การเรียนที่รวมความรู้เป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน ทำให้เกิดความรู้ความเข้าใจมากขึ้นกว่าการเรียนจากส่วนย่อย ๆ ที่แยกจากกัน
ซูซาน โควาลิก และคาเรน ออลเซนา กล่าวว่า การศึกษาแบบบูรณาการ มีพื้นฐานการปฏิบัติเน้นที่ผู้เรียนและธรรมชาติของความจริงที่เป็นอิสระ แทนที่จะแบ่งโลกออกเป็น วิชา ซึ่งเป็นสิ่งเทียม และใช้วิธีการเรียนแบบยึดตำราและให้ทำงานที่โต๊ะ การศึกษาแบบบูรณาการจะช่วยให้นักเรียนซึมซับเข้าไปในสิ่งแวดล้อมทำให้เห็นความสลับซับซ้อนของชีวิต วิธีการเช่นนี้ทำให้การเรียนรู้มีลักษณะเป็นองค์รวมช่วยเพิ่มพูนความสามารถที่จะสร้าง และจดจำความเชื่อมต่อต่าง ๆ และสามารถแก้ปัญหาได้
ดังนั้นจึงอาจสรุปได้ว่า การจัดการเรียนการสอนแบบบูรณาการ หมายถึง การจัดการเรียนรู้โดยการนำเนื้อหาสาระหรือความรู้ ความเข้าใจและทักษะในศาสตร์หรือวิชาต่าง ๆ มากกว่า 1 วิชาขึ้นไปที่มีความเกี่ยวข้องกันมาสัมพันธ์ให้เป็นเรื่องเดียวกันโดยที่เอกลักษณ์ของแต่ละรายวิชาหมดไป เพื่อแก้ปัญหา หรือแสวงหาความรู้ ความเข้าใจในเรื่องใดเรื่องหนึ่ง ทำให้ผู้เรียนได้ประยุกต์ใช้ความคิด ประสบการณ์ ความสามารถและทักษะต่าง ๆ ในเวลาเดียวกัน ทำให้ได้รับความรู้ความเข้าใจในลักษณะองค์รวม ซึ่งจะส่งผลให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้ที่ลึกซึ้ง เนื่องจากเป็นการเรียนรู้ที่ใกล้เคียงกับสภาพชีวิตจริงและผู้เรียนสามารถนำความรู้ความเข้าใจไปประยุกต์ใช้ในชีวิตประจำวันได้
แนวคิดและความสำคัญของการจัดการเรียนการสอนโดยการบูรณาการ
แนวคิดจัดการเรียนรู้แบบบูรณาการของ ดร.ชัยอนันต์ สมุทวาณิช ได้ให้แนวคิดในการจัดการเรียนการสอนโดยให้ความสำคัญกับการสอนแบบบูรณาการ โดยได้ให้หลักการสำคัญและเหตุผลไว้ ดังนี้
1. การประยุกต์ใช้ความรู้เป็นเรื่องสำคัญกว่า เก็บงำ และการสะสมความรู้
2. การทำงานของสมองกับกระบวนการเรียนรู้มีลักษณะผสมผสานไม่แยกส่วน การจัดการเรียนรู้จึงไม่ควรจัดแบบแยกส่วน
3. ความรู้ไม่คงที่ตายตัวไม่ใช่สัจธรรมแต่เคลื่อนไหวอยู่เสมอ ความรู้เป็นสิ่งที่สังคมสร้างขึ้น
4. ปัญหาของมนุษย์เราจะแก้ไขโดยการแยกส่วนความรู้ไม่ได้
5. กระแสการปฏิรูปยุคนี้เป็นเรื่องการเรียนรู้ที่เป็นองค์รวม
สาเหตุที่ต้องบูรณาการหลักสูตรและการเรียนการสอน สุวิทย์ มูลคำ , อรทัย มูลคำ ได้สรุปสาเหตุที่ต้องบูรณาการหลักสูตรและการเรียนการสอน ดังนี้
1. วิถีชีวิตจริงของคนเรามีเรื่องราวต่าง ๆ ที่มีความสัมพันธ์ซึ่งกันและกัน ไม่ได้แยกออกจากกันเป็นเรื่อง ๆ
2. ผู้เรียนจะเรียนรู้ได้ดีขึ้นและเรียนรู้อย่างมีความหมายเมื่อมีการบูรณาการเข้ากับชีวิตจริงโดยเรียนรู้ในสิ่งที่ใกล้ตัวแล้วขยายกว้างไกลตัวออกไป
3. การขยายตัวของความรู้ในปัจจุบัน ขยายไปอย่างรวดเร็วมากมีเรื่องใหม่ ๆ เกิดขึ้นมากมาย จึงจำเป็นที่จะต้องเลือกสาระที่สำคัญและจำเป็นให้ผู้เรียนในเวลาที่มีเท่าเดิม
4. ไม่มีหลักสูตรวิชาใดเพียงวิชาเดียวที่สำเร็จรูป และสามารถนำไปใช้แก้ปัญหาได้ทุกอย่างที่เกิดขึ้นในชีวิตจริงได้
5. เนื้อหาวิชาที่ใกล้เคียงกันหรือเกี่ยวข้องกัน ควรนำมาเชื่อมโยงกันเพื่อให้ผู้เรียนได้เรียนรู้อย่างมีความหมาย ลดความซ้ำซ้อนเนื้อหาเชิงวิชา ลดเวลา แบ่งเบาภาระของครูผู้สอน
6. เปิดโอกาสให้ผู้เรียนได้ใช้ความรู้ ความคิด ความสามารถและทักษะที่หลากหลาย
ระดับของการจัดการเรียนการสอนโดยการบูรณาการ
ถ้าพิจารณาเนื้อหาวิชาที่บูรณาการ แบ่งได้เป็นบูรณาการเป็นวิชา กับบูรณาการระหว่างวิชา ถ้าพิจารณาสำหรับการบูรณาการระหว่างวิชานั้นแบ่งได้ 4 ลักษณะ คือ การสอนบูรณาการแบบสอดแทรก แบบคู่ขนาน แบบรายวิชา และแบบข้ามวิชา (สุวิทย์ มูลคำ , อรทัย มูลคำ. 2544 : 156 – 157)กล่าวว่า เพื่อประโยชน์ในการจัดหลักสูตรแบบบูรณาการ (Intergrated Curriculum) คือหลักสูตรที่นำเอาเนื้อหาวิชาการต่าง ๆ มาหลอมรวมเข้าด้วยกันทำให้เอกลักษณ์ของแต่ละรายวิชาหมดไป เกิดเป็นเอกลักษณ์ใหม่ของหลักสูตรโดยรวม เช่นเดียวกัน การจัดการเรียนการสอนที่ดำเนินการด้วยวิธีบูรณาการเราก็เรียกว่า การจัดการเรียนการสอนแบบบูรณาการ (Intergrated Instruction) คือเน้นที่องค์รวมของเนื้อหามากกว่าองค์ความรู้ของแต่ละรายวิชาและเน้นที่การเรียนรู้ของผู้เรียนเป็นสำคัญยิ่งกว่าการบอกเนื้อหาของครู อย่างไรก็ดีไม่มีหลักประกันว่า หลักสูตรที่บูรณาการแล้วจะถูกนำไปจัดเป็นการเรียนการสอนแบบบูรณาการด้วยเสมอไป ปรากฏอยู่เสมอว่าหลักสูตรแบบบูรณาการก็จริงแต่การจัดการเรียนการสอนยังคงเป็นแบบรายวิชาอยู่เช่นเดิม ด้วยเหตุนี้เราจึงอาจจะจำแนกผลแห่งความสัมพันธ์ระหว่างหลักสูตรและการเรียนการสอนโดยใช้การบูรณาการเป็นตัวแปรได้เป็น 4 กรณี ดังตารางต่อไปนี้
หลักสูตร |
การเรียนการสอน |
ผล |
บูรณาการ |
บูรณาการ |
ดีที่สุด |
ไม่บูรณาการ |
บูรณาการ |
ดี |
บูรณาการ |
ไม่บูรณาการ |
พอใช้ |
ไม่บูรณาการ |
ไม่บูรณาการ |
ต้องปรับปรุง |
จากตารางที่นำเสนอจะเห็นว่า ในกรณีที่มีการบูรณาการทั้งหลักสูตรและการเรียนการสอน ผลที่เกิดขึ้นย่อมเป็นสิ่งที่พึงปราถนาที่สุด ในขณะที่ถ้าการบูรณาการไม่เกิดขึ้นในเรื่องใดเลย ผลที่เกิดขึ้นก็ไม่ย่อมเป็นที่พึงปราถนาและต้องมีการปรับปรุงสำหรับกรณีที่การบูรณาการเกิดขึ้นเพียงเรื่องเดียว โดยหลักการแล้วเราย่อมพอใจให้การบูรณาการเกิดขึ้นกับการเรียนการสอนมากกว่าหลักสูตร เพราะอย่างน้อยที่สุดการเรียนการสอนก็มีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับผู้สอนและผู้เรียนโดยตรงมากกว่าหลักสูตร
ประเภทของการจัดการเรียนการสอนโดยบูรณาการ
แอนน์ โรส และคาเรน ออลเซน ได้อธิบายรูปแบบการดำเนินงาน 5 รูปแบบ สำหรับโรงเรียนมัธยมศึกษาตอนต้นและโรงเรียนมัธยมศึกษาตอนปลาย ซึ่งรูปแบบหนึ่งจะเป็นพื้นฐานของอีกรูปแบบหนึ่ง ดังนี้
รูปแบบที่ 1 การบูรณาการแบบวิชาเดียว (Single subject intergration) ซึ่งนำเสนอเนื้อหาของวิชา ๆ เดียวตามที่ปรากฏจริงในชีวิตจริง และต้องการให้นักเรียนได้ใช้ทักษะในบริบทที่มีความหมาย
รูปแบบที่ 2 รูปแบบการประสานงาน (Co – ordinated model) โดยครู 2 คนหรือมากกว่า สอนวิชาเดียวกันแก่นักเรียนคนเดียวกันแบบต่างคนต่างสอน แต่ทำงานร่วมมือกันเพื่อให้ได้ทักษะและเนื้อหาที่พึงปรารถนา
รูปแบบที่ 3 รูปแบบหลักสูตรแกนแบบบูรณาการ (Intergrated core model) ซึ่งครูคนหนึ่งจะอยู่กับเด็กเป็นระยะเวลาสองหรือสามคาบ ตัวอย่าง ครูคนหนึ่งสอนวิชาภาษาร่วมไปกับเนื้อหาวิทยาศาสตร์หรือสังคมศึกษา ในฐานะที่เป็นวิชาแกนโดยมีกิจกรรมสัมพันธ์กับวิชาแกนนี้ตลอดทั้งวัน
รูปแบบที่4 รูปแบบหลักสูตรแกนคู่แบบบูรณาการ (Intergrated doubble core model) ครู 2 คนสอนนักเรียนกลุ่มเดียวกัน โดยมีวิชาแกน 2 วิชา ตัวอย่าง ครูคนเดียวอาจจะสอนทักษะคณิตศาสตร์ ในเนื้อหาวิชาวิทยาศาสตร์ อีกคนหนึ่งสอนทักษะภาษาในวิชาสังคมศึกษา
รูปแบบที่5 รูปแบบหลักสูตรแกนแบบสมบูรณ์ในตัว (Self – contain edcore model ) ตามรูปแบบนี้ครูคนหนึ่ง ซึ่งมีคุณวุฒิสอนได้หลายวิชา จะอยู่กับเด็กกลุ่มหนึ่งทั้งวัน โดยทำการสอนทักษะและเนื้อหาทุกอย่าง ภายในหัวเรื่องที่มีความหมายหนึ่งหรือสองหัวเรื่อง
สำนักงานโครงการพิเศษสำนักงานคณะกรรมการประถมศึกษาแห่งชาติกระทรวงศึกษาธิการได้จำแนกรูปแบบการเรียนการสอนแบบบูรณาการ ออกเป็น 2 ลักษณะ คือ
1. การบูรณาการภายในวิชา เป็นการเชื่อมโยงการสอนระหว่างเนื้อหาวิชาในกลุ่มประสบการณ์หรือรายวิชาเดียวกันเข้าด้วยกัน ซึ่งโดยปกติครูผู้สอนในวิชาต่าง ๆ จะปฏิบัติอยู่แล้ว
2. การบูรณาการระหว่างวิชา จะมี 4 รูปแบบ คือ
2.1 การสอนบูรณาการแบบสอดแทรก (Infusion) เป็นการสอนในลักษณะที่ครูผู้สอนในวิชาหนึ่งสอดแทรกเนื้อหาวิชาอื่น ๆ ในการสอนของตน
2.2 การสอนบูรณาการแบบคู่ขนาน (Parallel Instruction) เป็นการสอนโดยครูตั้งแต่ <span style="font-siz
ขอบคุณมากครับที่ให้เกียรติเรียกว่าครูซึ่งเป็นคำที่ผมพยามเป็น คำว่าครูเรียกง่ายมากครับ แต่การเป็นครูที่แท้จริงเป็นยากมากครับ ผมมีอาชีพเป็นครู แต่ความเป็นครูมืออาชีพมีน้อยมากครับ ผมก็แค่คนที่พยายามจะเป็นครูมืออาชีพนะครับ
สำหรับคำถาม 2 ข้อ ขอตอบดังนี้นะครับ
1. ผมคิดว่าการจัดการเรียนรู้แบบบูรณาการไม่ทำให้ความรู้เฉพาะทางละลายไปหรอกครับ แต่การจัดการเรียนรู้แบบบูรณาการ (ที่แท้จริง) จะทำให้ผู้เรียนสามารถเชื่อมโยงองค์ความรู้ในศาสตร์ต่าง ๆ ให้เป็นองค์เดียวกัน ไม่ใช่แยกส่วนออกจากกัน และจะทำให้ผู้เรียนรู้จักชีวิตมากขึ้น สามารถนำองค์ความรู้ที่ได้รับไปพัฒนาตนเองและสังคมได้ดีกว่า
2. การจัดการเรียนรู้แบบบูรณาการจะต้องเข้มงวดในขั้นตอนต่าง ๆ ครับ และการจัดการเรียนรู้แบบบูรณาการที่เต็มรูปสามารถทำได้ในวัยเด็ก (ระดับอนุบาล ประถมศึกษา) ได้ดีกว่าผู้ใหญ่ครับ เพราะว่าธรรมชาติวิชาของเด็กใหญ่ (โดยเฉพาะมัธยมปลาย) เริ่มที่จะมีความเป็นเฉพาะทางมากขึ้น จึงทำได้ยากกว่าระดับประถมศึกษาครับ
ขอบคุณมากครับ