วันนี้ผมได้อ่านหนังสือพิมพ์ โพสต์ Today ฉบับวันที่ 5 กค. 2550 ได้อ่านคอลัมน์หนึ่ง 'ทันโลกเศรษฐกิจ' ว่า เวียดนามกู้เงินพัฒนาระบบขนส่งจาก ธนาคารโลก เพื่อพัฒนาระบบขนส่งสาธารณะ ...อ่านไปผมรู้สึกอย่างไร?กับ ประเทศของเรา แม้นว่าเราจะมีระบบขนส่งสาธารณะ และทันสมัยกว่าเวียดนาม แต่ผมยังรู้สึกว่าการพัฒนาของเวียดนามมีการพัฒนาที่เจริญรุดหน้า อย่างต่อเนื่อง ผิดกับระบบขนส่งของบ้านเรา ที่มีความคิดและพยายามผลักดันแปรรูปไปเป็นสถานะภาพการบริหารในรูปแบบของเอกชน และมีความพยายามทำลายรูปแบบระบบขนส่งหรือระบบ logistic ของรัฐ เพื่อให้ความอยู่รอดแก่ภาคเอกชนหรือพวกพ้องเดียวกัน
ความคิดและพยายามผลักดันแปรรูปไปเป็นสถานะภาพการบริหารในรูปแบบของเอกชน โดยอ้างว่าเพื่อการบริหารที่โปร่งใส และได้คุณภาพที่ดีกว่า
ข้ออ้างดังกล่าว เป็นเรื่องของการแก้ไขปัญหาปลายเหตุ หรือ อาจจะกล่าวได้ว่า กลุ่มทุนหรือพวกทุนนิยมต่างๆ ( ที่ได้รับการศึกษาจากตะวันตกเสียส่วนใหญ่ ) มักจะเห็นด้วยตามแนวความคิดทางตะวันตก เพราะเห็นว่า การแปรรูป เป็นเรื่องดีไปหมด และคิดว่ากลไกตลาดจะทำงานตามหน้าที่ของมัน ..... พวกนี้กำลังคิดผิดครับ เพราะกลุ่มทุนนิยมมักจะมอง ผลประโยชน์ของตนเองและพวกพ้องเป็นสำคัญ ว่าตนเองจะได้ผลประโยชน์อะไรกลับคืนมาหลังจากที่ได้ลงทุนไปแล้ว แม้นว่ากลุ่มทุนจะลงทุนไปมากกว่า 20 % หรืออาจถึง 49 % ซึ่งไม่เกินครึ่ง ก็ตาม แต่ยังเป็นกลุ่มทุนที่ยังมีอิทธิพลต่อระบบการบริหารด้วย ถ้าระบบหมุนเวียนเงินทุนโดยการถูกกว้านซื้อหุ้นมีจำนวนเงินมากเป็นหลักหมื่นๆ ล้านบาท ถ้าสมมุติว่าผม(หรือกองทุนต่างประเทศ)ต้องการถอนหุ้นคืนภายในวันนี้ (หลังจากซื้อได้ 2-3ปี ) เพราะไม่พอใจระบบปันผลขององค์การมหาชน.... คุณคิดว่าจะมีผลกระทบอะไรบ้าง? ถ้าหากคุณผู้อ่านเป็นผู้บริหารองค์การมหาชนที่ได้ถูกแปรรูปไป คุณคิดจะทำอย่างไร? กับข้อต่อรองแบบนี้.... (จริงอยู่โดยหลักปฏิบัติจะไม่เกิดขึ้น แต่ในเชิงการต่อรองเพื่อกดดันเพื่อสร้างผลประโยชน์ที่มากขึ้นกว่าเดิม - สามารถทำได้ง่ายมาก ) จะเห็นว่า แม้นว่าจะมีเงินทุนต่างประเทศมาลงทุนในหุ้นเพียง 20 % ก็มีความสำคัญกับระบบการเงินในประเทศอย่างมาก ยังไม่รวมประเด็นหุ้นที่ซื้อโดยนอมินีต่างๆ... นะครับ...
...หากต้องการความโปร่งใส ...ทำไมไม่สร้างระบบให้โปร่งใส
...หากต้องการระบบการบริหารการเงินที่คล่องตัวมากขึ้น ...ทำไมไม่เปลี่ยนแปลงระบบให้สอดคล้อง ( เริ่มกันที่ พรบ. ทำไมไม่ทบทวนกัน พรบ. ไม่เหมาะสมกับการบริหารยุคโลกาภิวัฒน์ ....จำเป็นต้องเปลี่ยน ก็ต้องเปลี่ยน .... )
...หากต้องการคุณภาพที่ดีขึ้น ...ทำไมไม่เปลี่ยนแปลงตนเองก่อน
...ดีแล้วหรือ...สำหรับ การแปรรูปรัฐวิสาหกิจเป็นเอกชน?...
....เราต้องการเงินทุนเข้ามาในประเทศมาก นักหรือ? จึงจำเป็นต้องระดมเงินทุนจากต่างชาติ
...หรือว่า เพื่อสนองตอบนายทุนในประเทศ?....จึงต้องแปรรูป
...ถ้าหากต้องการพัฒนาประเทศมากนัก...ทำไมไม่กู้เงินจากธนาคารโลกหรือกู้จากประชาชนแล้วบริหารจัดการให้เกิดกำไร?
...ส่วนใหญ่นักคิดนักพัฒนามักจะเป็นผู้ที่มีการศึกษาจบจาก การเงินและเศรษฐศาสตร์ เป็นส่วนใหญ่ และธรรมชาติของบรรดานักคิดจำพวกนี้ชอบคิดใช้เงินผู้อื่น มาบริหารมากกว่า ดีกว่าการใช้เงินตัวเอง (ชอบเก็บเงินให้อยู่ในองค์การให้นานที่สุด)
...ถามว่า การชักชวนชาวต่างชาติมาลงทุนในทรัพยากรในเมืองไทย ถือได้ว่าเป็นการบริหารประเทศภายใต้ระบบเศรษกิจพอเพียงหรือไม่...
..ถามว่า การตัดสินใจแต่ละแง่มุม ตั้งอยู่บนพื้นฐานของการพึ่งพาตนเองเป็นอันดับแรกก่อนหรือไม่ ...ถ้าไม่ สามารถจะสรุปได้เลยว่า ไม่ใช่ระบบเศรษฐกิจพอเพียงอย่างแน่นอน....
เป็นคำถามที่น่าชวนได้คิดกัน....สาเหตุที่แท้คืออะไร? กันแน่...
เราไม่ได้มีค่านิยมไทยในการยึดถือและปฏิบัติ ...ปล่อยสังคมให้ล่องลอยไปตามกระแสนิยมตะวันตก บ้านเมืองเราขาดการบริหารค่านิยมหลัก ( พูดกันตรงๆ..เอากันง่าย ....ไม่มีค่านิยมอะไร จะให้ยึดถือ )แล้ว ) ดังนั้นไม่ว่ากระแสนิยมตะวันตกเปลี่ยนแปลง อย่างไร? หรือความคิดตะวันตกเปลี่ยน ตัวเราเองก็จะพยายามเปลี่ยนแปลงตามเขาทำให้เหมือนเขามากที่สุด หรือ ต้องการเปลี่ยนให้ล้ำหน้าเขาโดยไม่มีการพิจารณาไตร่ตรอง ความเป็นตัวตนของเราว่าเหมาะสมหรือไม่ประการใด...ผลกระทบไม่พึงประสงค์ย่อมเกิดขึ้นในสังคม
การที่จะบริหารให้นักการเมืองให้อยู่ในกรอบ ( เพราะนักการเมืองส่วนใหญ่มัก จะอ้างเสียงประชาชน อยู่แล้ว จะจริงหรือเท็จ... ก็ไม่สามารถทัดทานกระแสที่เกิดจากประชาชนได้...) จะต้องสร้าง ค่านิยม ใผ่ดี ผู้บริหารประเทศจะต้องรู้จักการบริหารค่านิยม ลงในภาคประชาชนให้มากขึ้นกว่าเดิม จนกระทั่งเป็นกระแสนิยมหลักที่นักการเมืองไม่สามารถปฏิเสธได้ ...
ปัญหาคือใครจะเป็น ผู้นำในการสร้างกระแส อย่างได้ผล ....
ผมเล่ามาพอสมควร ..... ตั้งแต่ นโยบายการเปลี่ยนแปลงการบริหาร แนวความคิดที่ถูกนำมาใช้ ผลกระทบที่ถูกระบบทุนนิยมครอบงำ สิ่งเหล่านี้เป็นเพียงตัวอย่างที่แสดงถึงความอ่อนแอ ทางความคิดของคนไทย มีมากจนกระทั่งเราจะสูญเสียความพอเพียง สูญเสียความเป็นตัวตนไป
ดังนั้น นโยบายหนึ่ง ที่นักการเมืองและพรรคการเมือง เลือดใหม่ควรจะตระหนักคือ การบริหารค่านิยมหลักของคนไทย
หมายเหตุ การบริหารค่านิยมหลัก เป็นแนวทางหนึ่งของการแก้ไขปัญหาโดยที่เราไม่จำเป็นจะต้องสร้างกฎระเบียบขึ้นมาบังคับใช้ เพราะกฎบังคับใช้ไม่สามารถเข้าไปถึงจิตใจที่ดีของทุกคนได้ พยายามสร้างให้เกิดกระแสขึ้นมาก่อน แล้วสิ่งที่ดีงามต่างๆ จะสามารถบรรเทาเบาบางลงโดยที่ไม่ต้องใช้เงินตรา แล้วความพอเพียงก็จะเกิดขึ้นในประเทศ .....ตัวอย่าง ปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงก็เป็นหนึ่งของการบริหารค่านิยมหลัก ที่สามารถสร้างกระแสในสังคมปัจจุบัน แต่ยังมีค่านิยมอื่น ๆ ที่จะสามารถเสริมสร้างได้อีก ..... ทำไมไม่สานเจตนา..เดินตามรอยพระราชดำริ?
สงสารประเทศไทย... หรือว่าเราจะนั่งมอง เพื่อนบ้านเราเจริญรุดหน้า ในขณะที่เรากำลังนั่งอยู่เฉยๆ ......เอาเพียงแค่เริ่มต้นการบริหารค่านิยม เราก็สามารถเอาชนะอุปสรรคทั้งปวงได้ .... และมีความสุขถ้วนหน้าได้...
...การสร้างค่านิยมที่ดี จะทำให้คนไทยทั้งประเทศ สามารถเกิดความคิดที่จะพึ่งพาตนเองมากกว่าพึ่งผู้อื่น คุณว่าทำได้หรือไม่?
....จากการแปรรูป...อยู่ดีๆ ทำไมจึงกลายมาเป็นค่านิยมไปได้ ....เพราะมันเชื่อมโยงกันครับ เพราะปัญหามักจะเกิดจากความคิดที่ไม่ถูกต้อง เหมาะสม แก้ไขไม่ตรงกับสาเหตุ การแก้ไขปัญหาหนึ่งจึงทำให้เกิดปัญหาใหม่ขึ้นมา และมากเกินจนกระทั่ง สติปัญญาเดิมที่มีอยู่ปัจจุบันไม่สามารถคิดค้นขึ้นมาได้ คนไทยส่วนใหญ่จึงมองหาวิถีการคิดแบบตะวันตกแทน... แต่ว่าปัจจุบันแนวความคิดการบริหารของตะวันตกได้ลอกเลียนแบบแนวความคิดของตะวันออกเดิม นั้นคือ การบริหารค่านิยม เพราะนักคิดตะวันตกเห็นว่า เป็นการบริหารในระดับสูงสุดสำหรับองค์การที่ปรารถนาความมั่นคงที่เสถียรภาพ โดยสร้างวัฒนธรรมการบริหารให้เกิดขึ้น ภายในองค์การ และปัจจุบันเรากำลังจะลอกเลียนแบบเขาอีก...ฮ่า ๆ
ไม่มีความเห็น