๑๕๐. คนสอนหนังสือ คนทำงานความรู้ นักเรียนนักศึกษา ต้องเขียนบล๊อกและเรียนรู้การใช้ด้วยตนเอง
หลายคนเกรงเสียเวลากับการเขียนบล๊อก บางส่วนอยากเขียนแต่เขียนไม่ค่อยได้ บางส่วนกลัว เพื่อนร่วมงานผม รวมไปจนถึงน้องๆและภรรยา ก็มักบอกว่าเสียเวลา ผมเลยบอกว่า นอกจากไม่ควรคิดว่าเสียเวลาแล้ว กลับเป็นเรื่องหนึ่งที่จะต้องอดทนทำอีกด้วย เพราะบล๊อก เป็นรูปแบบหนึ่งของเครื่องมือทำงานสื่อสารความรู้และสร้างปฏิสัมพันธ์กับโลกรอบข้างด้วยเครื่องมือสื่อสารและจัดการข้อมูลผ่านเครือข่ายอินเทอร์เน็ต สร้างปรากฏการณ์ทางสังคมและส่งผลจริงต่อชีวิตประจำวันของผู้คน รวมทั้งก่อเกิดวงจรเศรษฐกิจและระบบสังคม โยงใยทั่วทุกขอบเขต จึงเป็นความเป็นจริงอย่างหนึ่งของสังคมไทยและสังคมโลก ที่คนทำงานความรู้และคนสอนหนังสือ ซึ่งใช้ความรู้สร้างสังคม ต้องสู้ทำให้มาก เพื่อได้รู้จักและเรียนรู้ก่อนให้กับสังคม คนมีโอกาสเข้าถึงนั้นเป็นคนส่วนน้อยของสังคม มีกำลังทางความรู้มากกว่าคนส่วนใหญ่ จึงต้องมุ่งทำหน้าที่เรียนรู้และเลือกสรรการเปลี่ยนแปลง ได้ความรู้ไปสอนคนอื่นจากการได้ทำจริง
อยากให้ดอกไม้และกด like 100 ครั้งครับ 555
ผมจะกด Like มากกว่าอาจารย์ขจิตครับ 555
ขอบพระคุณครับอาจารย์ขจิตครับ อาจารย์เห็นความสำคัญในแง่มุมนี้ด้วยใช่มั๊ย ใครที่เขียนและสร้างปฏิสัมพันธ์กับบล๊อกเกอร์อื่นๆ รวมทั้งใส่ใจที่จะสนองตอบต่อผู้อ่านอย่างดี ระหว่างทำงานและใช้ชีวิต ก็หมั่นเสาะหาเรื่องราว มาทำหน้าที่บันทึกและถ่ายทอด ซึ่งเหมือนกับช่วยกันเป็นเครือข่ายสื่อสารและเคลื่อนไหวชีวิตสังคม ภายในหน่วยส่งคมย่อยๆต่างๆ เหล่านี้ จะตระหนักและรับรู้เป็นอย่างดีว่าเป็นเรื่องที่เหนื่อย ต้องฝึกหัดตนเอง ต้องฝืนความสะดวกสบายของชีวิต ต้องเสียสละโอกาสตนเองที่จะเลือกทำแต่สิ่งที่มุ่งได้ความสุขและเกิดพอใจแต่เพียงลำพัง เรื่องราวในบล๊อกต่างๆนี่ ไม่ว่าจะเขียนอย่างไร อ่านและสัมผันปร๊าดก็รู้สึกได้ครับว่าเขียนด้วยมความสำนึกร่วมกับคนอื่นอยู่ตลอดเวลา เป็นการเดินออกมานอกตัวเอง เขียนเพื่อติดต่อและสร้างโยงใยทางสังคม จะดีไม่ดีอย่างไรนี่เป็นเรื่องที่ต้องสั่งสมการเรียนรู้และเป็นทักษะชีวิตในสิ่งแวดล้อมใหม่ๆที่ฝึกฝนบ่มเพาะกันได้ต่อไปอีก
พอจะร่วมสร้างเสริมกำลังใจเล็กๆน้อยๆและชวนได้วิธีคิดในบางแง่แก่บล๊อกเกอร์ทุกท่านได้บ้างนะครับ มันเป็นสื่อความรู้อย่างใหม่ที่เข้าไปอยู่ในมือทุกคนได้อย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน จึงเปิดโอกาสให้ทุกคนเรียนรู้ที่จะค้นพบความหมายและสร้างคุณค่าใหม่ๆ ทั้งต่อสังคมและต่อตนเองได้เป็นอย่างดี ชุมชนบล๊อกเกอร์ใน gotoknow นี้ ผมว่าเป็นกลุ่มหนึ่ง ที่เหมือนกับเป็นคลื่นความเคลื่อนไหวเปลี่ยนแปลงระลอกแรกๆในวัฒนธรรมความรู้และในวิถีสังคมวัฒนธรรมที่สืบเนื่องอยู่กับพัฒนาการของวิทยาการและเทคโนโลยีอย่างนี้ อีกทั้งเป็นกำลังสำหรับการเรียนรู้ที่จะสร้างบทบาทให้กับสื่อการเรียนรู้ของสังคมอย่างนี้น่ะครับ
แน่นอนว่า ความที่เป็นคลื่นหัวเดิ่ง หรือระลอกคลื่นระลอกแรกๆนั้น ก็อาจจะดูยังไม่เข้าที่เข้าทาง เป็นคลื่นที่ไม่สวย บางทีก็สะพัดไปอย่างสะเปะสะปะ ปนสวะหยากไย่ กระทบสิ่งที่มีอยู่แต่เดิม ขุ่นมัวบ้าง ดีบ้าง เพื่อคลื่นที่เป็นสายธารหลากหลั่งตามมาทีหลัง จะสดใสและเป็นริ้วที่สวยงาม และได้ต่อเติม สั่งสมภูมิปัญญาปฏิบัติ เพิ่มพูนความงอกงามขึ้นจากความเป็นตัวของตัวเองในวิธีจัดการตนเองอย่างนี้ของสังคม
สวัสดีครับอาจารย์ Wasawat Deemarn ครับ ขอบพระคุณมากเช่นกันครับผม
เวลาเขียน-ทำงานหน้าจอไป ก็มักตาเบลอๆ เจ็บข้อมือ เจ็บหลัง เลยอยากบันทึกคุณูปการต่างๆของเรื่องราวที่คนเขาพากันสร้างไว้ใน gotoknow และแหล่งต่างๆ ในห้วงทุกขเวทนาอย่างนี้ไว้น่ะสิครับ มันเป็นเรื่องที่ทำได้ลำบากมากนะครับนี่
บางที เวลาผมเห็นรายงานและทรรศนะที่กังวลว่าเด็กๆจะให้เวลากับการเข้าอินเทอร์เน็ตมากไป หรือคนทั่วไปเมื่อใช้เวลามากกับการเขียนบล๊อก โดยเทียบกับสถานการณ์ปรกติทั่วๆไป ก็รู้สึกว่าจะเสียความสมดุลในชีวิต บางทีก็ไปไกลถึงกับตีตราและให้ความหมายเป็นไปในทางลบว่าเป็นโรคติดอินเทอร์เน็ต ซึ่งในมุมมองผมนั้น วิธีคิดอย่างนี้ และต่อกระบวนการเรียนรู้ของสังคมอย่างนี้นี่ ไม่น่าจะเอื้อต่อการทำให้สังคมพัฒนาตนเองไปสู่วัฒนธรรมความรู้และไม่ส่งเสริมให้มุ่งคิดมุ่งสร้างสังคมแห่งการเรียนรู้ในบริบทใหม่ๆได้
หากนึกถึงยุคอนาล็อค ที่อยากเห็นเด็กๆและพลเมืองทุ่มเทกับการศึกษาค้นคว้าและการศึกษาหาความรู้ รักการอ่านเขียน มีคุณธรรมของความเป็นผู้คงแก่เรียนในการน้อมตนไปหาครูอาจารย์ สำนักคิดสำนักประสบการณ์ต่างๆ และการใช้ชีวิตเที่ยวท่องหาประสบการณ์ต่อโลกกว้าง เหล่านี้ เราก็มักจะยอมรับกันว่าเป็นความเหนื่อยยากที่ต้องพากเพียรฝึกฝน ซึ่งก็คนส่วนน้อยเท่านั้นที่ก็จะสามารถทำจนเป็นวิถีชีวิตของตนเองได้ ในยุคนี้ก็คงจะต้องมองให้เห็นโอกาสอย่างนั้นเหมือนกัน
การเห็นเด็กๆและผู้คนที่มีพื้นที่จะรักการพัฒนาตนเองไปกับการเข้าถึงประสบการณ์ชีวิตและเพิ่มพูนการเรียนรู้ผ่านการใช้บล๊อกหรืออินเทรอ์เน็ตนี่ ยิ่งมากจนเป็นวิถีชีวิต เราก็ควรจะยิ่งต้องชื่นชมว่ามีความพากเพียร ทุ่มเท เพียงแต่ต้องค่อยๆแนะนำ พัฒนาวิธีคิดและวิธีใช้ ให้ไปในทางที่ส่งเสริมต่อชีวิตทางการเรียนรู้มากยิ่งๆขึ้น เพราะจะว่าไปแล้ว โดยนัยอย่างนี้ blogging literacy นี้ ก็คือ ๑ ใน Learning Literacy อย่างที่สังคมต้องการในอดีตนั่นเอง เพียงแต่สภาพความจำเป็นและสิ่งแวดล้อมทางเทคโนโลยีความรู้มันเปลี่ยนไปแล้วเท่านั้น
การเขียนสิ่งดีๆที่เราได้เรียนรู้ ได้คิด ได้รับประสบการณ์ด้วยตัวเองลงไว้ในบล็อกอย่างสม่ำเสมอเป็นการสะสมสิ่งดีๆในโลกอินเตอร์เน็ตเอาไว้ให้คนรุ่นต่อๆไป ที่ท่าทางจะสนทนากับคอมพิวเตอร์และโลกอินเตอร์เน็ตมากกว่าคนรอบๆตัวด้วยนะคะ วันนี้เขาอาจจะยังไม่มีเวลาอ่าน เวลาคิด แต่สักวันสิ่งที่เราเขียน สิ่งที่เราตั้งใจสื่อสารเก็บไว้ก็จะส่งผ่านไปถึงคนรุ่นหลังได้แน่นอนค่ะ และในยามที่เราไม่ได้เขียน การได้อ่าน ได้ท่องเที่ยวในอินเตอร์เน็ตก็จะพาเรามาหา GotoKnow ได้เสมอๆเพราะระบบการใส่คำสำคัญ ซึ่งเป็นเครื่องมือที่ดีมากๆในการสะสมสิ่งต่างๆอย่างเป็นระบบค่ะ
ขอบคุณอาจารย์วิรัตน์อย่างมาก ที่มักจะส่งผ่านความคิดที่ช่วยให้คนอ่านเกิดประกายความคิดต่อไปอีกได้เสมอๆ ซึ่งตัวเองคิดว่าคนที่ทำแบบนี้ได้ยิ่งสมควรเขียนเป็นอย่างยิ่ง และรู้สึกขอบคุณอาจารย์เสมอที่อาจารย์มีเรื่องดีๆมาบันทึกจุดประกายกันอยู่ตลอดเวลาค่ะ ขอบคุณในใจนานๆก็ส่งคำขอบคุณมาเป็นตัวอักษรสักที ขอบคุณจริงๆค่ะ
สวัสดีครับท่านดร.อโณทัยครับ นี่ทำให้ผมคิดถึงบรรยากกาศของการพบปะและได้เสวนาแบ่งปันประสบการณ์การกันที่บ้านของอาจารย์หมอเต็มศักดิ์เลยนะครับเนี่ย
ชอบแนวคิดของดร.โอ๋นี้มากอย่างยิ่งเลยครับ ตรงใจและได้อาสาทำในมุมนี้ไปด้วยอยู่เสมอเลยละครับ หลายอย่างนี่ทำเหมือนเดินหาบน้ำใส่ตุ่มเลยละครับ เอาไว้ให้คนที่มาทีหลัง ซึ่งเขาอาจจะทำหลายอย่างได้ดีกว่าที่เราทำด้วยตัวเขาเอง แต่สิ่งที่เขาจะไม่ได้จากสิ่งที่เขาทำ แม้จะให้ดีแค่ไหนก็คือ ความต่อเนื่องและการสั่งสมประสบการณ์ทางสังคม ที่เราได้ค่อยๆช่วยกันบันทึกมุมผ่านทางของเราและสร้างไว้ ขอบพระคุณมากเช่นกันครับ
ขอบพระคุณคุณครูกาญจนาที่แวะมาเยือนให้กำลังใจกันครับ
เห็นหมวกกับความอารมณ์ดีกลางเปลวแดดแล้ว ให้รู้สึกได้ถึงความสบายๆในชีวิตไปด้วยเลยละครับ ได้บรรยากาศเหมือนพบปะเพื่อนฝูงและคนคุ้นเคย
อ.วิรัตน์คะ
แนวคิดของอาจารย์ที่ได้ถ่ายทอดผ่านตัวหนังสือลงในอนุทินนี้สร้างแรงบันดาลใจได้ดีจังเลยค่ะ
หนูมองว่าการเขียนทำให้เราสร้างตัวตนตัวเองได้ชัดเจนขึ้น แต่ก็ยังทิ้งการอ่านไม่ได้ เพราะนี่คือสิ่งที่ไปคู่กัน และทำให้การเกิดตัวตนของเราชัดเจนมากขึ้นด้วยค่ะ
นั่นคือ เมื่ออ่านก็จะได้คิด เมื่อคิดแล้วเขียนก็เกิดการขัดเกลาตัวตนออกมาให้ชัดขึ้นค่ะ
^____^
ทำไมบางคนชอบวาดรูป
แต่บางคนชอบถ่ายรูป
ทำไมบางคนชอบเล่นเครื่องดนตรีเป็นเพลง
แต่บางคนชอบฟังเพลง
.....
ความชอบ ความสนใจ ความถนัด ความอยาก และแรงบันดาลใจมีส่วนสำคัญขั้นพื้นฐานในการให้คนทำสิ่งนั้นๆ
พี่เทพศิริ สุขโสภา ท่านวาดรูปมานาน แต่ไม่ถนัดใช้ drawing ด้วยดินสอ แต่เมื่อเกิดลูกฮึด ใครแวะเวียนไปเยี่ยมท่านที่เชียงใหม่ ต้องจับมานั่งให้ท่านวาดลายเส้นครบทุกคน แล้วเอาติดมือกลับบ้าน
ลายดินสอของท่านนั้น ท่านพยายามตวัดครั้งเดียวให้ได้รูปหน้า เส้นหนักเส้นเบาเป็นไปเองโดยธรรมชาติ แม้แต่พี่เทพจะวาดรูปมานานเท่าอายุท่าน แต่ทุกวันนี้ท่านก็ยังตวัดปลายดินสออยู่เพื่อหาความลงตัวของฝีมือ
แม้มีความชอบหากไม่ฝึกฝน ก็ไม่พัฒนา
จะฝึกฝนได้อย่างไร
บางคนมีความชอบก็ฝึกไปเรื่อยๆ
บางคนจำเป็นต้องทำ แล้วเกิดชอบ ก็ฝึกไปเรื่อยๆ
บางคนมีแรงบันดาลใจ ก็ฮึดขึ้นมา
ผมถามพี่เทพว่า ทำไมเกิดจะตวัดปลายดินสอล่ะครับ
ท่านชี้ไปที่รูปอาจารย์เฟื้อ หริพิทักษ์(หากเขียนนามสกุลท่านผิดกราบขออภัยด้วย)
แล้วบอกว่า นั่นคือแรงบันดาลใจของพี่......
สนับสนุนความเห็นน้องมะปรางครับ...
เห็นด้วยกับพี่โอ๋คะ ว่า ความเห็นที่ได้รับจากอาจารย์ได้ทั้งกำลังใจและประกายความคิดต่อยอด
การเขียนบล็อก และอ่านบล็อก เป็นการเรียนรู้ปฏิสัมพันธ์กับสังคมไปในตัว..
สวัสดีครับมะปรางเปรี้ยวครับ
เห็นด้วยอย่างยิ่งครับ เป็นบทบาทหนึ่งที่เด่นชัดและมีความหมายต่อสังคมมาก ในแง่ของการสื่อสารและการพัฒนาเรียนรู้ของสังคม ก็ต้องนับว่านี่เป็นการพัฒนาบทบาทของ New media ที่ส่งเสริมวัฒนธรรมความรู้ซึ่งเป็นพื้นฐานของสังคมแห่งการเรียนรู้ สังคมแห่งการอ่าน เขียน บันทึก ศึกษาค้นคว้า และพัฒนาทักษะการเรียนรู้ตลอดชีวิตให้กับพลเมือง
การที่คนมีความแตกฉานขึ้นด้วยตนเองในระดับหนึ่ง ผ่านการได้ทำกับตนเองโดยตรงจนเหมือนกับเป็นชีวิตประจำวัน ทางด้านแบ่งปัน สื่อสาร และเข้าถึงข้อมูลข่าวสาร ได้มากขึ้นทั้งในเชิงปริมาณและคุณภาพ ก็เป็นทุนมนุษย์ที่ดีๆสำหรับอีกหลายเรื่องแน่นอนครับ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องพัฒนาสุขภาพและคุณภาพชีวิต การพัฒนาสังคม เศรษฐกิจฐานราก การศึกษา
สวัสดีครับท่านพี่บางทรายครับ
สวัสดีครับอาจารย์หมอ CMUpal ครับ
บันทึกและงานเขียนของอาจารย์นี่ช่างให้พลังความคิดดีมากเลยนะครับ เป็นคนเขียนหนังสือที่สื่อสะท้อนออกจากมุมมองข้างในที่ให้ความคิดสร้างสรรค์ได้ดีจริงๆ ต้องขอชมสักหน่อย