1. ความเป็นมาของตาราง 9 ช่อง พัฒนาสมองกับการเรียนรู้
7 |
8 |
9
|
6 |
5 |
4
|
1 |
2 |
3
|
การเคลื่อนไหวร่างกายตามตาราง 9 ช่อง เป็นพื้นฐานให้เด็กเกิดความจำ มีความคล่องแคล่วว่องไว ซึ่งทำให้ทุกส่วนไม่ว่าจะเป็น ร่างกาย จิตใจ ระบบประสาท และสามารถช่วยพัฒนาทักษะรอบด้าน ตลอดจนพฤติกรรมการแสดงออกของเด็กปฐมวัย ซึ่งเป็นสิ่งที่สะท้อนให้เห็นถึงพัฒนาการในการเรียนรู้ของสมอง ที่ถูกถ่ายโยงไปสู่ความรู้สึกนึกคิดและบ่งบอกถึงระดับความเข้าใจ โดยแปลความหมายออกมาเป็นพฤติกรรมหรืออากับกิริยาการเคลื่อนไหวต่างๆของร่างกาย ดังนั้นการพยายามกระตุ้นให้ร่างกายได้มีโอกาสปฏิบัติกิจกรรมเคลื่อนไหวรูปแบบใดรูปแบบหนึ่ง หรือหลากหลายรูปแบบอย่างเป็นระบบตามลำดับขั้นตอน จะช่วยนำไปสู่การปรับตัวและการพัฒนาการเรียนรู้ รับรู้ของระบบกลไกการเคลื่อนไหวซึ่งจะมีผลต่อการเจริญเติบโตและการพัฒนาของสมอง
การทำงานของสมองสัมพันธ์กับการเคลื่อนไหวของร่างกาย นักเรียนที่มีความบกพร่องทางการเรียนรู้ มักมีปัญหาเรื่องการทำงานประสานกันของร่างกาย การแก้ไขปัญหาสมองถูกทำลาย ต้องอาศัยการเคลื่อนไหวที่ออกแบบมาเพื่อแก้ไขการสกัดกั้นและเสริมสร้างทางเดินเส้นประสาทที่ใช้ในการคิด เมื่อร่างกายทั้งสองซีกทำงานประสานกันได้ดี การสื่อสารระหว่างสมองทั้งสองซีกก็จะดีตามไปด้วย การเพิ่มความสมดุลของร่างกายและสมอง และการทำงานที่สัมพันธ์กันเป็นปัจจัยที่สำคัญของการจัดชั้นเรียนที่เอื้อต่อการเรียนรู้ ยิ่งนักเรียนสร้างสมดุลของร่างกายและสมองได้มากเท่าไร ก็จะมีสมาธิในการทำงาน ตลอดจนการคิด การตัดสินใจ และการแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้า รูปแบบของการฝึกจะเน้นการกระตุ้นการทำงานของสมองหรือระบบประสาทที่ทำหน้าที่ในการรับรู้ข้อมูล (Sensory Neuron) เพื่อส่งไปยังสมองส่วนกลาง (Central Nervous System) ซึ่งสมองส่วนนี้จะทำหน้าที่วิเคราะห์และแปลความหมายข้อมูลก่อนจะส่งไปยังเซลล์ประสาทที่ทำหน้าที่สั่งงานและควบคุมการเคลื่อนไหวให้เป็นไปตามข้อมูลที่ส่งมา (Motor Neuron) การทำงานของระบบประสาทดังกล่าวนี้จะใช้เวลาเพียงสั้นๆ โดยเน้นความถูกต้องแม่นยำและความรวดเร็วในการเคลื่อนไหวเป็นสำคัญ ตาราง 9 ช่อง จึงถูกนำมาใช้เป็นเครื่องมือในการฝึกพัฒนาปฏิกิริยาความเร็วในการเคลื่อนไหวของมือและเท้า รวมทั้งพัฒนาทักษะความสัมพันธ์ ตลอดจนการทรงตัวในการเคลื่อนไหวร่างกายให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น
2. กระบวนการได้มาซึ่ง ตาราง 9 ช่อง
คณะครูศึกษาดูงานการนำตาราง 9 ช่อง มาใช้พัฒนาการจัดกระบวนการเรียนรู้ให้กับนักเรียน
ตาราง 9 ช่อง คืออะไร ทำให้ผู้บริหารโรงเรียนแม่คำมีตำหนักธรรม ซึ่งนำโดยนายนเรศ แสนมูล
และคณะครูในโรงเรียนแม่คำมีตำหนักธรรม ได้ร่วมกันศึกษาเพื่อที่จะนำไปพัฒนาเด็กในการจัดกิจกรรมการเรียนการสอนและแก้ไขปัญหาเด็กที่เรียนรู้ช้า จึงได้ไปศึกษาดูงานการจัดกิจกรรมตาราง 9 ช่อง ของโรงเรียนต้นแบบ 1 อำเภอ 1 โรงเรียนในฝัน โรงเรียนอนุบาลพิบูลเวศม์ สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษากรุงเทพมหานคร เขต 1 ซึ่งได้ใช้ตาราง 9 ช่อง เป็นสื่อในการฝึกทักษะให้กับนักเรียนในสาระการเรียนรู้ภาษาไทยช่วยในการพัฒนาเซลล์สมองและสติปัญญาของนักเรียน ซึ่งสามารถดึงดูดความสนใจของผู้เรียนได้เป็นอย่างดี ทำให้เด็กมีความกระตือรือร้น ตื่นตัว และสนุกกับการเรียน รู้เนื้อหาสาระที่เรียน นอกจากนั้นยังช่วยพัฒนาทักษะการใช้มือปฏิบัติกิจกรรมและเขียนหนังสือได้สวยงามเป็นระเบียบ อีกด้วย
โรงเรียนแม่คำมีตำหนักธรรมจึงนำตาราง 9 ช่อง สู่แผนปฏิบัติงานของโรงเรียนอย่างต่อเนื่อง
และเป็นนวัตกรรมที่ส่งเสริมการพัฒนาสมองของนักเรียนเกี่ยวกับสมองกับการเรียนรู้กับนักเรียนทุกชั้นเรียนและใช้บูรณาการกับกลุ่มสาระทั้ง 8 กลุ่มสาระการเรียนรู้ โดยให้คณะครูนำตาราง 9 ช่องมาเป็นนวัตกรรมในการพัฒนาการเรียนการสอนให้กับเด็ก
การนำตาราง 9 ช่องทดลองใช้กับนักเรียนชั้นอนุบาลปีที่ 2
ด้วยการเริ่มเรียนรู้ที่มือ
โดยเริ่มการฝึกใช้กับเด็กปฐมวัยปีที่ 2 และมีการสังเกตพัฒนาการของเด็กปฐมวัยทั้ง 4 ด้าน คือ ด้านร่างกาย อารมณ์ จิตใจ สังคม และสติปัญญา ซึ่งจากการสังเกตเห็นได้ว่าการพัฒนาการรับรู้ของสมองเกี่ยวกับมิติ ระดับ ทิศทาง การประสานสัมพันธ์โดยการสั่งการของสมองของนักเรียนยังไม่พัฒนาครบทุกด้าน จึงได้จัดกิจกรรมเคลื่อนไหวในชั้นเรียน เพื่อส่งเสริมการเคลื่อนไหวที่เอื้ออาทรต่อสมอง และช่วยให้เด็กมีสมาธิในการปฏิบัติกิจกรม ซึ่งใช้ดนตรีเป็นสื่อในการตอบสนองความต้องการด้านร่างกายอารมณ์ จิตใจ สังคม และสติปัญญา ของเด็กอย่างเป็นธรรมชาติ และยังช่วยส่งเสริมพัฒนาการด้านต่างๆและทักษะที่จำเป็นแก่เด็กได้ หลังจากปฏิบัติกิจกรรมแล้วจะผ่อนคลายความเครียดด้วยการทำสมาธิ
1. เพื่อสลายสารความเครียดที่เป็นอุปสรรคต่อการเรียนรู้
2. ปลดปล่อยความเครียดของร่างกายเพื่อสร้างความพร้อมของสมอง
3. ใช้ท่าเคลื่อนไหวร่างกายที่ประสานสัมพันธ์กันทำให้ร่างกายผ่อนคลายกล้ามเนื้อด้วยการออกกำลังกายประกอบดนตรี
4. เชื่อมโยงข้อมูลด้วยการเคลื่อนไหวเพื่อสร้างความจำที่แม่นยำ
5. ใช้ดนตรีบรรเลงที่มีจังหวะเพื่อปรับสภาวะร่างกาย จิตใจ ให้ผ่อนคลาย
6. ทำสมาธิในการผ่อนคลายเพื่อส่งเสริมการเรียนรู้
7. ให้เด็กคิดท่าทางประกอบเสียงดนตรีและบทเพลงตามจินตนาการเพื่อพัฒนา
ความคิดริเริ่มสร้างสรรค์และกระตุ้นให้สมองกระปรี้กระเปร่า
เมื่อมีความชัดเจนถูกต้องแล้วมาเรียนรู้การใช้ตาราง 9 ช่อง
ด้วยการเดินเท้าตามตารางและใช้การพูดเพื่อประสานสัมพันธ์ของตาและเท้า
การฝึกตาราง 9 ช่อง ตามจังหวะดนตรีและการจินตนาการท่าทางตามเพลง
โดยกำหนดวัตถุประสงค์ และเป้าหมายในการปฏิบัติกิจกรรมเพื่อศึกษาการใช้ตาราง 9 ช่อง ในการพัฒนาเซลล์สมองซีกซ้าย – ขวา ในกิจกรรมเคลื่อนไหวและจังหวะของเด็กปฐมวัยปีที่ 2 โรงเรียนแม่คำมีตำหนักธรรม(ตำหนักธรรมวิทยาคาร)
ในการปฏิบัติกิจกรรม ได้ใช้เครื่องมือโดยใช้แบบสังเกตการเคลื่อนไหวตามจังหวะของเด็ก แล้วจดบันทึกระดับคุณภาพและนำมาจัดกลุ่มเพื่อพัฒนาและหาแนวทางในการแก้ไขต่อไป
3. การออกแบบตาราง 9 ช่องพัฒนาสมองกับการเรียนรู้
ความสำคัญของสมองกับการเรียนรู้ (Brain – Based Learning) เป็นการเรียนรู้ที่สอดคล้องกับ
วิธีการเรียนรู้หรือการทำงานของสมองทางธรรมชาติ เพื่อให้นักเรียนมีระดับสติปัญญาและวุฒิภาวะทางอารมณ์สูงขึ้น สามารถปรับตัวเข้ากับสิ่งแวดล้อมได้อย่างมีประสิทธิภาพ กิจกรรมตาราง 9 ช่อง จึงเป็นนวัตกรรมทางการศึกษาในการส่งเสริมการออกกำลังกายและเพิ่มสมรรถภาพทางกาย ในการกระตุ้นสมองซีกซ้ายและสมองซีกขวาให้ทำงานไปพร้อมๆกัน จะทำให้การเชื่อมโยงความคิดของสมองดีขึ้น ดังนั้น เราจึงสามารถใช้จินตนาการ ดนตรี ศิลปะ และมิติสัมพันธ์ มาส่งเสริมการเรียนรู้เรื่องการใช้ การจำ ความสามารถในการคิดวิเคราะห์ เหตุผล ภาษา จากเพลงพัฒนา IQ การมีมนุษยสัมพันธ์ที่ดี ปรับตัวเข้ากับสังคม มองโลกในแง่ดี มีอารมณ์ที่สุนทรีย์ พัฒนา EQ มีสมาธิและมีจิตใจสงบเยือกเย็น มีความเมตตากรุณา มีน้ำใจเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ความฉลาดด้านจริยธรรมและคุณธรรม พัฒนา MQ
พัฒนาการของเด็กปฐมวัย ครูเป็นบุคคลสำคัญในการส่งเสริมพัฒนาการตามขีดศักยภาพของแต่ละบุคคล เพราะฉะนั้นครูผู้สอนระดับปฐมวัยจะต้องมีความรู้เกี่ยวกับพัฒนาการและต้องยึดพัฒนาการของเด็กเป็นหลัก โดยคำนึงถึงวัย ความสามารถ และความแตกต่างระหว่างบุคคล ตามเป้าหมายที่พึงประสงค์ของพัฒนาการของเด็กทุกด้านก่อนที่จะจัดสภาพแวดล้อม ประสบการณ์และกิจกรรมต่างๆ
4. การนำตาราง 9 ช่อง สู่การปฏิบัติ
ในการปฏิบัติกิจกรรมมีการออกแบบกิจกรรมและขั้นตอนการปฏิบัติ โรงเรียนแม่คำมีตำหนักธรรมได้เริ่มนำมาทดลองใช้กับนักเรียนชั้นอนุบาล แล้วนำมาปรับปรุงเพิ่มเติมแบบฝึกให้เด็กได้จินตนาการท่าทาง ความคิดสร้างสรรค์และคิดวิเคราะห์จังหวะท่าทางตามแบบฝึกร่วมกันในแต่ละชั้นเรียนตามขั้นตอนทั้งหมด 9 แบบฝึก ประกอบเพลงทั้งในจังหวะช้าและจังหวะเร็ว เพื่อเปิดโอกาสให้เด็กได้แสดงอารมณ์ ปลดปล่อยความรู้สึกต่างๆออกมา จะช่วยให้เด็กใจเย็น สงบ ไม่โมโหง่าย หลังจากการฝึกแล้วจะมีการปฏิบัติกิจกรรมสมาธิเพื่อผ่อนคลายอารมณ์และจิตใจ พร้อมที่จะปฏิบัติกิจกรรมในช่วงต่อไป
รูปแบบการฝึกตาราง 9 ช่อง
แบบฝึกที่ 1 การทำความคุ้นเคยกับตาราง 9 ช่อง
แบบฝึกที่ 2 การก้าวขึ้น – ลง ในตาราง ช่องที่ 1 , 2, 4 และ 5
แบบฝึกที่ 3 การก้าวในรูปตัว
ไม่มีความเห็น