การศึกษาแก้ปัญหาความยากจน
ในสภาวะปัจจุบันนี้ ประเทศไทยได้ประสบปัญหาเศรษฐกิจมาตั้งแต่ปี 2540 หรือในช่วงที่ เรียกว่ายุคฟองสบู่แตก ซึ่งเกิดจากวิกฤตการณ์นั้นส่งผลกระทบต่อความเป็นอยู่ของคนไทยเป็นจำนวนมาก นักธุรกิจหลาย ๆ คน ต้องประสบปัญหาความล้มเหลวของระบบเศรษฐกิจของประเทศ คนวัยทำงานอีกจำนวนมากต้องตกงาน ทำให้กำลังซื้อของคนในประเทศลดลง ธุรกิจอื่น ๆ อีกหลายประเภทต้องล้มเหลวจาเหตุการณ์ต่าง ๆ ทำให้ภาวะความยากจนเกิดขึ้นกับคนไทยเป็นส่วนใหญ่ ถึงแม้รัฐบาลจะพยายามหาทางแก้ปัญหาเศรษฐกิจนี้ ทั้งการกระจายรายได้ให้แก่ประชาชน การกู้เงินจากต่างประเทศ ฯลฯ ดังนั้นจะเห็นได้ว่าในปัจจุบันนี้ ปัญหาความยากจนจึงเป็นปัญหาใหญ่ที่รัฐบาลต้องเร่งแก้ไขเราจึงควรนิยามความยากจน
การศึกษา หมายถึง กระบวนการเรียนรู้เพื่อความเจริญงอกงามของบุคคลและสังคม โดยการถ่ายทอดความรู้ การฝึก การสืบสานทางวัฒนธรรม เมื่อความยากจนขัดสนทั้งในด้านเศรษฐกิจ สังคม และในทางการเมืองประชาชนในประเทศของไทยส่วนใหญ่ยังความรู้ความเข้าใจและความสำนึกรับผิดชอบในทางการเมือง ในเรื่องของวัฒนธรรมประชาชนในประเทศไทยนั้นได้รับอิทธิพลต่างชาติโดยเฉพาะกลุ่มประเทศตะวันตกที่เข้ามาตั้งแต่ในช่วงของพัฒนาตั้งปี พ.ศ. 2504 ที่เราเริ่มได้นำแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติฉบับแรก ซึ่งได้ก่อปัญหาเก่าไว้มากมาย เราจึงจะมองเห็นภาพความยากจนซึ่งเป็นปัญหาเชิงโครงสร้างทางเศรษฐกิจสังคมอย่างเป็นองค์รวม และสามารถวิเคราะห์สาเหตุของความยากจน ซึ่งมีที่มาทั้งจากปัจจัยภายนอกส่งผลกระทบของปัญหาความยากจนต่อการพัฒนาสังคมโดยรวม และแนวทางแก้ไขปัญหาความยากจนได้อย่างถูกต้องหรือใกล้เคียงความเป็นจริงได้มากขึ้น การทำให้เกิดความเจริญรุ่งเรืองในเมือง ให้ระบบเศรษฐกิจนั้นดีขึ้น ให้ทำมาหากินดีขึ้นนั้น คนที่จะทำมาหากินก็จะต้องมีพื้นฐานที่ดีมากพออยู่แล้วถึงจะทำได้ เรียกว่าต้องมีเครดิต จะมีวิชาเป็นเครดิต หรือจะเงินเป็นเครดิตก็ตาม แต่คนที่ขาดทั้งวิชาความรู้ ขาดทั้งทรัพย์สินเงินทองหรือที่ดินหรือขาดอะไรทั้งหมด ก็ยากที่จะทำให้เกิดความเจริญรุ่งเรือง หรือทำให้เศรษฐกิจดีขึ้น นั่นคือวิชาความรู้และเงินเป็นสิ่งที่จะช่วยในการทำให้เศรษฐกิจดีขึ้น อันจะส่งผลต่อการแก้ปัญหาความยากจน
การศึกษากับการแก้ปัญหา
รัฐบาลควรดำเนินการ เช่น การกระจายรายได้ให้แก่ชาวชนบทตามโครงการกองทุนหมู่บ้าน การสร้างอาชีพให้แก่ประชาชนตามโครงการหนึ่งตำบลหนึ่งผลิตภัณฑ์หรือช่วยเหลือด้านสาธารณะสุขเช่นโครงการ 30 บาทรักษาทุกโรค
การให้การศึกษาในระบบโรงเรียน ก็จะทำให้เยาวชนรุ่นใหม่เป็นคนดี มีปัญญา มีความสุข มีศักยภาพตามเป้าหมายเยาวชนเหล่านี้ก็จะสามารถนำความรู้ไปประกอบอาชีพได้และหลุดพ้นจากความยากจน สามารถดูแลสุขภาพของตนเองได้ ส่วนการศึกษานอกระบบ ก็จะสามารถส่งเสริมให้คนทุกรุ่นทุกวัยได้รับการศึกษาและสามารถสืบค้นความรู้ด้วยตนเองอันจะนำไปสู่การพัฒนางานอาชีพของตน ก็จะขจัดความไม่รู้เท่าทันสังคมโลก รู้จักปรับเปลี่ยนแนวคิดในการทำงานและพัฒนางานของตนให้ดีขึ้น เมื่องานดีขึ้นก็ย่อมจะนำไปสู่การหลุดพ้นจากความยากจนได้เอง
บทสรุป
จากที่กล่าวมาแล้วจะเห็นได้ว่าการแก้ปัญหาความยากจนนั้นสามารถทำได้ ซึ่งหากนำการศึกษาไปใช้ในการสอนเยาวชนให้มีความรู้เพื่อให้อีก 10 – 20 ปี ข้างหน้าเยาวชนเหล่านี้จะมีงานทำและไม่ยากจน หรือการจัดอบรมอาชีพ แต่หากรัฐบาลจะให้การศึกษาเกิดประโยชน์สูงสุดในการแก้ปัญหาความยากจนแล้วก็ควรระดมนักวิชาการจากหน่วยงานของรัฐมาร่วมกันแก้ปัญหาและสามารถดำเนินการแก้ปัญหาไม่ใช่ดำเนินการจัดหางานให้ประชาชนเท่านั้นซึ่งอาจจะไม่เพียงพอต่อความต้องการของประชาชน
ที่สำคัญในฐานะที่เราเป็น ครูหรือเจ้าหน้าที่ เราสามารถช่วยเหลือให้บุคคลที่มีความรู้ สามาถนำความรู้ไปต่อสู้ในสภาพแวดล้อมได้ รวมทั้งหากเราสามารถเผื่อแผ่ให้ความรู้กับผู้ปกครองและชุมชนที่อยู่รอบข้างของสังคมและท้องถิ่น
หนังสืออ้างอิง
ชนิตา รักษ์พลเมือง , ผศ.ดร. “การศึกษาเพื่อพัฒนา” โครงการตำรา คณะครุศาสตร์ จุฬาลงกรณ์-มหาวิทยาลัย 2527 : 327.
ไม่มีความเห็น