วัฒนธรรมแห่งการยกเว้นโทษกับชนชั้นนำปกครองไทย: สัมภาษณ์กับพวงทอง ภวัครพันธุ์ ตอนจบ
บทเรียนที่ต้องเรียนรู้ก่อนที่จะสายเกินไป
6 ตุลาเป็นบาดแผล แต่ก็ควรเป็นบทเรียนด้วย ในความเป็นจริง เหตุการณ์ก็ควรเป็นสิ่งแรกมากกว่าสิ่งท้ายๆ สิ่งท้ายยังไม่เกิดขึ้นเลย อย่างน้อยยังไม่เกิดแม้แต่วันเดียว การสร้างความเกลียดชังกับทัศนะที่แตกต่างไปจากกระแสหลักก็ไม่ต่างอะไรกับการโฆษณาของยานเกราะ และการออกข่าวของหนังสือพิมพ์ดาวดิน ความแตกต่างในปัจจุบันจะอยู่ที่การสร้างความเกลียดชังสามารถทำได้โดยใช้สื่อสังคม
“ในกรณีเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อปี 2553 คนกรุงเทพฯไม่ได้คร่ำครวญถึงการสูญเสียชีวิตเกือบ 100 ศพ พวกเขาเสียใจเพราะการเผาโรงหนังสยาม สแควร์มากกว่า ในปัจจุบัน เราถึงเห็นการใช้วาทะแบบเกลียดชัง (hate speech) อย่างกว้างขวางและร้าวลึก คนที่ใช้คำพูดพวกนี้จะไม่ฟังคำเตือน แล้วมีโอกาสในการเกิดความรุนแรงในอนาคตหรือไม่? ความรุนแรงเกิดขึ้นเมื่อปี 2553 ความรุนแรงสามารถเกิดขึ้นอีกครั้งหรือไม่? ย่อมเกิดแน่นอน
“ในปัจจุบัน คนที่มีอำนาจเลือกที่จะปิดตา หรือไม่สังเกตว่าคนจำนวนมาก ซึ่งฉันจะเรียกว่าคนส่วนใหญ่ก็ได้ในประเทศรู้สึกขุ่นเคืองใจ (resentment) คนส่วนใหญ่รู้สึกไม่พอใจ หากเสียงทางการเมืองของพวกเขาถูกทำให้เงียบลง โดยการใช้วิธีการต่างๆ”
พวงทองยังเสริมอีกว่าการลงประชามติรัฐธรรมนูญที่ผ่านมา มีนักวิเคราะห์กล่าวว่าอาจเกิดความรุนแรงในอนาคต เพราะมีกลไกบางประการในการทำให้เสียงทางการเมืองของคนส่วนใหญ่เงียบเสียงลง ความต้องการทางการเมืองที่แสดออกโดยการโหวตอาจถูกกวาดล้างไป รัฐบาลที่เลือกตั้งอาจไม่สามารถทำให้นโยบายของตนไปถึงจุดสุดยอดได้ เมื่อเครื่องมือทางการเมืองไม่สามารถทำงานได้ ประชาชนก็ไม่สามารถแก้ไขปัญหาด้วยวิธีการประชาธิปไตยได้ สุดท้ายอาจผลักให้พวกเขากลับมาประท้วงบนถนนก็ได้
ไม่มีชื่อผู้แต่ง. Culture of impunity and the Thai ruling class: Interview with Puangthong Pawakapan https://prachatai.org/english/node/6612
มาทักทายยามเช้าจ้ะ
ระลึกถึงเสมอจ้ะท่านอาจารย์ต้น
คิดถึงเสมอครับคุณมะเดื่อ
ผมเห็นด้วยครับ.อนาคตการเปลี่ยนแปลง.จะมีมากขึ้นกับกลุ่มคนชั้นกลางและรากหญ้าเมื่อได้รับการบีบคั่นมากขึ้น.และการศึกษาที่ไม่เท่าเทียม
ขอบคุณมากครับอาจารย์ prayat