เกิดอาการเบื๊อก ๆ กำเริบขึ้นมาอีกแล้ว...วนิดา
ระหว่างฟังการแสดงความคิดเห็นต่าง ๆ เกี่ยวกับการไปปฏิบัติธรรม ณ วัดเขาแก้วเสด็จ อ.กบินทร์บุรี จ.ปราจีนบุรี ตามโครงการของ สพฐ.จัดอบรมธรรมะให้กับคุณครู โรงเรียนในฝันทุกโรงเรียนทั่วประเทศเข้ารับการอบรมเป็นรุ่น ๆ ซึ่งอบรมวันพุธที่ ๒๑ - ๒๕ สิงหาคม ๒๕๕๖
จึงได้ระลึกถึงเหตุหนหลัง ที่ทั้งไม่อยากทำและอยากทำ ท่ามกลางกระแสความเห็นต่าง ๆ หลาย ๆ มุม
วนิดาปฏิบัติราชการอยู่ในโรงเรียนในฝันกะเขาด้วย ไม่เคยภูมิใจเท่ากับการเป็นโรงเรียนวัด ๆ เดินไปลูบหัวน้องหมา น้องแมว ไปคุยกับหลวงลุง หลวงตา นั่งกินขนม น้ำ กินข้าว สารพัดอย่างที่หลวงลุง หลวงตา คุณแม่ชี อนุญาตให้กินได้ แล้วยังนำมาโปรยไก่ทำทานลูกศิษย์ได้อีกด้วย บรรยากาศแบบนี้มีที่ไหนอีก (ใจและความคิดแบบเบื๊อก ๆ ของวนิดา..เกิดขบถไปแล้วตั้งแต่ นโยบายส่วนกลางกำหนดให้โรงเรียนเป็นโรงเรียนในฝัน...ทั้ง ๆ ที่ไม่อยากเป็นนนนนนนนน...น) แต่ก็ต้องปฏิบัติตามคำสั่งผู้บังคับบัญชาซึ่งผู้บังคับบัญชาก็ไม่อยากทำ เพราะเล็งเห็นแล้วว่าผลได้ ผลเสียเป็นอย่างไร แต่ก็ต้องปฏิบัติตามคำสั่งผู้บังคับบัญชาและให้ความร่วมมือกับผู้ร่วมงาน เพราะเราลงเรือลำเดียวกันแล้ว แต่ใจและความคิด รวมไปถึงเจ้าลูกศิษย์ตัวแสบ ๆ ทั้งหลาย เกิดขบถทางความคิดเช่นเดียวกันกับครู จึงทำให้รู้สึกว่า....ประเทศยังฝากความหวังไว้กับไอ้แสบทั้งหลายได้ ด้วยคำถามแบบเบื๊อก ๆ เหมือนกัน....ละเราเป็นโรงเรียนในฝันแล้วมันต่างกันตรงไหนกันครับครู ? เออ ! จริง บางวันไม่อยากมาโรงเรียน เพราะมีกิจกรรมซ้อมทั้งวี่ทั้งวัน อยากเรียนก็ต้องได้เรียนดิครู ? เออ ! ใช่ ละงี้พวกเราก็ต้องมาลุยเรียนกันเพลินเลยดิครู ? คงง้านนนนนน ละตอนสอบโอเน็ตก็ต้องมานั่งเรียนตั้งแต่เช้ายันห้าโมงเนี่ย...นะครู....ไม่ยุติธรรมสำหรับชีวิตวัยรุ่นอย่างพวกผมเลย...."จารย์ ? ยังไงไม่ยุติธรรมยังไง... ก็ถึงเวลาเรียนพวกผมก็เรียนเต็มที่ เวลาเล่นก็ต้องมีบ้างไรบ้าง ชีวิตเราไม่ใช่...โอเน็ต ทั้งหมดนะ.... "จารย์ เออ ! เข้าท่าว่ะ...
ครั้งนี้ก็เช่นเดียวกันใจหนึ่งไม่อยากไป เพราะว่าโรงเรียนต้องปิดเรียนไปถึง ๓ วัน ลูกศิษย์คงสุขใจที่ได้พักยาว หากเราเป็นเด็ก ๆ เราก็คงดีใจเช่นนี้ แต่นึกถึงกิจกรรมอะไรต่ออะไรที่เป็นปฏิทินกิจกรรมเดือนสิงหาคมนี้ของโรงเรียน ก็ปาเข้าไปแล้วถึง ๓ กิจกรรม คือ วันแม่ วันอาเซียนแค่วันอาเซียนก็กลายเป็นสัปดาห์นรกทั้งครูและลูกศิษย์ได้แล้ว ใช้เวลากว่าสองอาทิตย์จะเสร็จ ละให้โรงเรียนเป็นศูนย์อาเซียนเข้าไปอี๊ก อลังการ....งานเยอะจุงเบย.... ครูก็ได้สอนตามอัตภาพ ลูกศิษย์ก็กิจกรรมเพิ่มตามอัตภาพ (อยากรู้ว่าในชาติอาเซียนด้วยกัน...เขาเป็นอย่างเรามะ ?) แต่โดยภาพรวมยังปลื้มใจได้บ้างว่า...ลูกศิษย์ได้คิด ลงมือทำและแสดงฝีมือด้วยตนเอง พอให้ยิ้มและหัวเราะกันได้บ้าง ดีที่ไม่จัดวันวิทยาศาสตร์ สิ้นเดือนสิงหาคมก็มีกิจกรรมเข้าค่ายสิ่งแวดล้อมของพี่ ป.๕ เข้าค่ายลูกเสือของพี่ ป.๖ และ พี่ ม.๓ เหลือเดือนกันยายนที่ดูจะเต็มเดือน แต่ก็คงเข้าบรรยากาศเดิมคือ ...มาเร่งสอน ตะลุย และตะลุย สอบปลายภาค ชีวิต....นรกทั้งครูและลูกศิษย์ นี่ยังไม่รวมกิจกรรมติวโอเน็ตในภาคเรียนที่ ๒ โดยเริ่มคาบเช้า เวลา ๐๗.๓๐ - ๐๘.๓๐ น. เรียนตามปกติไปจนถึง ๑๕.๓๐ และเพิ่มคาบตอนเย็นตั้งแต่ ๑๕.๐๐ - ๑๗.๐๐ น. เฮ้อ ! ลูกศิษย์บ่นกันทุกรุ่น ขอแค่คาบเช้าพอค่ะอาจารย์ ตอนเย็นไม่ไหว มันล้า ครูวนิดาสบตาลูกศิษย์ ครูก็เช่นเดียวกันกับเธอน่ะแหละ อย่าไปนับงานพัสดุที่รับผิดชอบ อย่าไปรวมงานอื่น ๆ ที่ทยอยตามมานอกเหนือจากงานสอน อย่าไปนับว่ามีคาบพักไหม เพราะบางวันสอนเต็มหกคาบ ได้พักรับประทานอาหารกลางวัน ๑ ชั่วโมง ถือว่าโชคดีมากแล้ว และก็อย่าไปนับ...ครูลา ครูไปราชการ สอนแทนกัน...หนุกหนาน อย่าไปนับ.....
จะดีกว่าไหม.....หากเราไปจัดอบรมตอนที่ครูปิดเทอม ก็อบรมได้เหมือนกันนี่นา..... ในคาบปกติพอเจอกิจกรรมแต่ละกิจกรรมเข้าไป อย่าว่าแต่ตะลุยสอนเลย สอน ๆ ไป ต้องตะลุยกะอิลูกศิษย์ที่เรื่อยเปื่อย เฉื่อยแฉะด้วย จะให้ทิ้งไปได้ยังไง มองสบตาไปก็ตาดำ ๆ ทั้งนั้น เห็นแก่ประเทศชาติและเยาวชนของชาติจะดีกว่ามะ ?
หากในคาบที่สอน....ได้สอนเต็มที่ ได้มีเวลาเตรียมสอน ถึงสอนแทนก็ไม่กลัว รวมไปถึงเก็บก๊วนเฉื่อยและไม่เฉื่อยได้หมด ไม่ตกหล่นสักคน ถามว่าจะต้องไปเปิดคาบนรก ๆ สอนกันแต่เช้ามะ บางคนสภาพน่าสงสารมาก ยิ่งกว่าวัลลีอี๊ก...ลูกศิษย์บางคนอยากมาเรียนคาบเช้า แต่ต้องช่วยแม่ขายของตอนเช้าก่อนมาโรงเรียน ตอนเย็นก็ต้องรีบกลับไปเก็บล้างช่วยแม่ ความแตกต่างรายบุคคลมีอีกมากมาย แม่ทำงานคนเดียว ยิ่งหนักเข้าไปใหญ่ ยังมีลูกศิษย์อีกประมาณ ๑๐ กว่าคน ที่เป็นแบบนี้ แล้วทำยังไง ครูอย่างฉันเองได้แต่เพิ่มเติมในคาบปกติสุดกำลังเท่าที่ทำได้ (หากลำไส้อักเสบไม่กำเริบซะก่อน) ฉันเองคงมองสบตาลูกศิษย์ได้ไม่เต็มตานัก เพราะสิ่งที่ลูกศิษย์ทำ...เป็นสิ่งที่ฉันภูมิใจมากกว่า สพฐ.พอจะเข้าใจ...อะไรบ้างไหม..วะเนี่ย
เรื่องต่อไปก็คือความขัดแย้งทางความคิดของตัวเอง......ที่ต้องไปปฏิบัติธรรม ทำให้เกิดคำถามคิดถามตัวเองต่าง ๆ มากมาย ว่าเราไป..ปฏิบัติธรรมที่นี่ จะทำให้เราเกิดความสงบจริง ๆ ไหม ?
คำตอบที่ได้ที่คิดไปทวนมา เราต้องวางใจ เราไปปฏิบัติธรรม ไม่ว่าจะที่ใด ๆ บุญเกิดจากการกระทำของเรา เรามีความคิด ความคิดที่พระพุทธเจ้าสอนตามหลักกาลามสูตรนี่หว่า....
http://guru.google.co.th/guru/thread?tid=2471d57b9fc11e3a
เพราะง้านนนนน.......เราจะไปปฏิบัติธรรมด้วยจิตที่ผ่องแผ้ว เมื่อคิดทบแล้ว....ทวนอีก...ทำให้การไปปฏิบัติธรรมครั้งนี้มีข้อไม่ชอบใจอยู่บ้าง แต่มีใจแน่วแน่ซะอย่างว่าเรา....จะต้องระงับเหตุทั้งหลายด้วย ศีล สมาธิ และปัญญา และพิจารณาไตรลักษณ์
สรรพสิ่งที่ สพฐ.กำหนดอาจมีสิ่งที่ท้าทายใจเรา...รออยู่ข้างหน้าอีกไม่กี่ชั่วโมงนับจากนี้
เอาวะ....วนิดา ถือข้อดีอีกอย่าง...ได้ลดน้ำหนักไปด้วยนะวุ๊ย ๕ วัน ก็คงจะได้สักวันละขีด..สองขีด นี่ถือเป็นข้อดีอีกข้อ....นา
(@^_____________^@)
คุณครูเขียนเป็นบันทึกได้เลยนะครับ ;)…
แฮ่ะ ๆ ตั้งใจว่าจะเขียนในบันทึกค่ะ แต่ด้วยที่ไม่ทันดูตาม้าตาเรือ ไปกดเอาอนุทินเข้า ก็เลย...ต้องเลย...ตาม...เลย เพราะปาไปจนใกล้จบแล้ว ไม่รู้จะทำอย่างไร เลยเป็นอย่างที่อาจารย์เห็นนี่ล่ะค่ะ
แสดงว่าใจไว...กว่ามือ เขียนไม่ทันความคิด...ตัวเอง อาจารย์...เคยเป็นไหมคะ ? อิ อิ
(n___n) !