2 เมษายน 2556
หลังจากรับประทานมื้อเช้าแล้วเสร็จ คณะของนักเรียนและกลุ่มวิทยากรจากกองทัพเรือพร้อมกับสองครูผู้ร่วมสมทบในการทำกิจกรรมนี้ต่างพร้อมออกเดินทางไปยังแก่งหนานมดแดง.....ซึ่งสองครูก็ขับรถตามคณะนักเรียนไปเรื่อยๆ
เราต่างพบว่ามันคือเส้นทางผ่านหมู่บ้านเกาะร้าว (ซึ่งเป็นสถานที่ๆ เราเคยออกเยี่ยมบ้านเด็กๆ เมื่อครั้งที่เราสอนอยู่ที่โรงเรียนเก่า) ผ่านลานข่อย และสุดท้ายคือห้วยน้ำใส (สถานที่ๆ เราเคยนำนักเรียนในรุ่นที่เราสอนไปเข้าค่ายพักแรมลุกเสือเนตรนารี....แต่ ครั้งนั้นยังไม่มีใครเปิดธุรกิจล่องแก่ง)
จากเส้นทางที่ผ่านเราพบว่ามีการล่องแก่งหลายจุดทีเดียว ทั้งแก่งลานข่อย แก่งทุ่งส้าน และหนานมดแดง
เมื่อไปถึง....การจัดนักเรียนลงทำกิจกรรมโดยมีทหารเรือเป็นผู้ช่วยเหลือดูแลและร่วมรับผิดชอบในกิจกรรมต่างๆ เรียบร้อยลง การเดินทางอีกรุปแบบที่สนุกสนานไม่แพ้กันก็เริ่มต้นขึ้น
ระหว่างเส้นทางท่านวิทยากรจะสอนและบรรยายเกี่ยวกับพืชพรรณไม้ต่างๆ ที่ขึ้นอยู่ริมคลอง เพื่อส่งเสริมให้นักเรียนรักธรรมชาติและซึมซับความรู้สึกหวงแหนไม่คิดทำลายธรรมชาติ ในเชิงของการร่วมอนุรักษ์ธรรมชาติตลอดระยะทาง 6 กิโลเมตร
สิ่งที่พบนอกจากความสนุกสนานที่นักเรียนจะได้รับแล้ว นักเรียนยังได้รับองค์ความรู้อันเกิดจากการทัศนศึกษาจากสถานที่จริง เป็นการเรียนรู้ที่สนกและสามารถสอดแทรกความรู้, ความรู้สกของการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติ
นี่เองกระมัง....ที่เค้าเรียกว่า สิบปากว่าไม่เท่าตาเห็น.....สองครูเลยพลอยพ่วงอานิสงส์จากเด็กนักเรียนไปด้วยแท้ๆ
เมื่อกิจกรรมแล้วเสร็จ.......คณะนักเรียนก็กลับมายังที่พักที่เรือนไทยเพื่อออกเดินทางกลับภูมิลำเนาซึ่งมีคณะนักเรียนมาจากหลายโรงเรียน ล้วนแล้วแต่มีโรงเรียนอยู่ในละแวกที่เป็นที่ตั้งของแหล่งต้นน้ำสำคัญๆ ในท้องที่นั้นๆ
แต่......สองครูยังไม่กลับ
สองครูจึงขอทำหน้าที่ทดสอบความอร่อยจากร้านกาแฟ กม. 52 ของหลานๆ ลูกของท่านหัวหน้าหมวดเก่าของเราก่อน และจึงร่ำลากันเพื่อเดินทางกลับไปพักค้างคืนที่บ้านครูพี่สาวที่ไปรับในตอนต้นของการเดินทางในครั้งนี้ตามคำร้องขอของพี่เค้าในตอนเย็น....นั่นเอง
หลังจากมื้อค่ำอันโอชะผ่านไป และความเงียบสงัดของยามค่ำคืนเข้ามาเยือน
เราจึงเริ่มสลบไสลอย่างหมดแรงด้วยความอ่อนแรงจากกิจกรรมเมื่อกลางวันที่เล่นเอาเราเมื่อยไหล่และกล้ามเนื้อแขนกันไปตามๆ กัน
เราเอ่ยลาราตรีสวัสดิ์....กับยามค่ำคืนในบ้านกลางทุ่งนา ใต้เงาจันทร์ที่สาดส่องเข้ามาถึงห้องนอนของพี่เค้า
โอ...มันน่าอิจฉาพี่เค้าชะมัดกับการดื่มด่ำกับบรรยากาศสะอาดๆ ที่ช่างยวนใจแถมได้แนบชิดธรรมชาติกระไรเช่นนี้..........อิอิอิ
พี่แอน ตาร้อนๆๆ
มันเป็นการเดินทางที่ไม่เร่งรีบ เราเลยได้สัมผัสธรรมชาติแบบเต็มๆ ไปกอดธรรมชาติจนอิ่มแปล้ทีเดียว
แรกสุดก็ไม่ได้คิดว่าจะออกมารูปนี้ แค่หวลกลับหลังไปพบพานคนเก่าแก่ที่เคยรู้จัก
แค่ได้ไปเยี่ยมลุงน้อย-ป้าอ้อย และพี่ๆ อีกหลายคน
พอไปถึง เมื่อได้พบหน้า เลยสัมผัสได้ว่าอ้อมกอดอบอุ่นของคนเคยรู้จักยังอ้าแขนรับเราอยู่เสมอ
หลายคนบอกน้องแอนยังเหมือนเดิม ลุกแอนนี่กี่ปีๆๆ ก็ไม่เคยเปลี่ยน เสียงจากลุงเชียรนักการภารโรงที่คอยสอนวิธีการโรเนียวข้อสอบกับเครื่องที่ต้องหมุนๆๆ และก็หมุน ในสมัยก่อนโน้นที่ยืนอยู่ข้างๆ เมียแก-ป้ารวย บอกเช่นนั้น
เจอะ เจอชาวบ้านที่เคยรู้จัก เขายัยิ้มทักได้สนิทใจเช่นเคย
ท้ายสุด....ทุกครั้งของการไปไม้เสียบ
จะต้องขับรถไปเวียนรอบโรงเรียนเกาะขันธ์ประชาภิบาล แค่ให้ได้ไป ให้ได้เห็นโรงเรียน เห็นบ้านพักที่เคยอยู่ เห็นอาคารเรียน เห็นถนนภายในโรงเรียนที่เคยมาปูเสื่อนอนดูฝนดาวตกกับพี่ๆ
แค่นี้ก็สุข....สราญแล้ว ขจิตเอ๋ย
แต่ทั้งหมดนี้จักต้องไปเส้นทางรถยนต์ผ่านถนนเอเซีย....ซึ่งขจิตมิเคยได้ผ่านไปไงจ๊ะ....เพราะต้องอาศัยเครื่องตลอดนี่เนาะ