วันที่ 6 - 7 เมษายน 2556 ในการไปค่ายครั้งนี้เป็นการเข้าค่ายพักแรมที่สนุกมาค่ะ
เราได้ไปตั้งหลายที่ ทำกิจกรรมกันเพียบเลย
แล้วขาไปเราได้ไปขึ้นเรือหลวงจักรีนฤเบศร ชมภายในเรือ
ฟังบรรยายเกี่ยวกับประวัติความเป็นมา และเก็บภาพบรรยากาศบนเรือด้วย
ประวัติเรือรบหลวงจักรีนฤเบศร
เรือรบหลวงจักรีนฤเบศร
จอดเทียบท่าเรือจุกเสม็ด ฐานทัพเรือสัตหีบ
เป็นเรือบรรทุกเครื่องบินขึ้นลงทางดิ่งและ เฮลิคอปเตอร์ ของราชนาวีไทย.
เป็นเรือรบที่มีขนาดใหญ่ที่สุดที่มีมาในกองทัพเรือไทย. เรือลำนี้ได้ต่อขึ้น ณ
อู่ต่อเรือบาซาน เมืองโรตา ในประเทศสเปน และได้เดินทางถึงประเทศไทยเมื่อวันที่ ๙
สิงหาคม พ.ศ. ๒๕๔๐ ในยามปรกติ เรือจักรีนฤเบศร์จะเป็นฐานปฏิบัติ การคุ้มครอง
ประโยชน์ของชาติทางทะเล ช่วยเหลือผู้ประสบภัย และรักษาสิ่งแวดล้อมในทะเล.
ในยามสงคราม เรือจักรีนฤเบศร์ จะเป็นเรือธง คือ
เรือที่ทำหน้าที่ควบคุมและบังคับบัญชากองเรือในทะเล
เพื่อควบคุมการปฏิบัติงานป้องกันภัยทางอากาศ, การต่อสู้ทางน้ำ
และปราบเรือดำน้ำของผู้ที่เข้ามารุกรานประเทศ
เรือรบหลวงจักรีนฤเบศร ได้รับพระราชทานชื่อจากพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวว่า "จักรีนฤเบศร์" หมายถึง ผู้ยิ่งใหญ่แห่ง ราชวงศ์จักรี เป็นเรือที่ต่อในประเทศสเปน เมื่อปี 2537 เรือลำนี้มีทั้งหมด 11 ชั้น มีความยาว 182 เมตร กว้าง 30.5 เมตร เป็นเรือที่ มียุทโธปกรณ์ที่ทันสมัย มีระบบเรด้าห์ตรวจการณ์ระยะไกล ภารกิจที่สำคัญในยามสงคราม ทำหน้าที่เป็นเรือธง ควบคุมและ บังคับบัญชา กองเรือในทะเลทั้งหมด และยังเป็นเรือบรรทุกเครื่องบิน ควบคุมการปฏิบัติการป้องกันภัยทางอากาศอีกด้วย
จากประวัติที่เราทราบมาก็ทำพวกเราอึ้งกันเลย และบนเรือก็สวยมากจริงๆค่ะสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา ฯ สยามบรมราชกุมารี ได้ทรงมีพระราชกระแสแนะนำแนวทางการสร้างความรู้ความเข้าใจและจิตสำนึก ในเรื่องเกี่ยวกับการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติให้แก่เยาวชนไว้หลายครั้งหลายครา ครั้งหนึ่งเมื่อวันที่ 8 กุมภาพันธ์พ.ศ. 2536 ได้มีพระราชกระแสว่า
"การสอนให้เด็กมีจิตสำนึกในการอนุรักษ์พืชพรรณนั้น ควรใช้วิธีการปลูกฝังให้เด็กเห็นความงดงามความสนใจ และก่อให้เกิดความปิติที่จะทำการศึกษาและอนุรักษ์พืชพรรณต่อไป การใช้วิธีการสอน การอบรมให้เกิดความรู้สึกกลัวว่าหากไม่อนุรักษ์แล้วจะเกิดผลเสีย เกิดอันตรายแก่ตนเอง จะทำให้เด็กเกิดความเครียด ซึ่งจะเป็นผลเสียต่อประเทศในระยะยาว"
ในโอกาสเดียวกันนี้ ยังได้ทรงมีพระราชกระแสเพิ่มเติมด้วยว่า " ตามเกาะต่าง ๆ มีพืชพรรณอยู่มาก แต่ยังไม่มีผู้สนใจเท่าไร จึงน่าจะมีการสำรวจพืชพรรณตามเกาะด้วย"
ต่อมาในปี พ.ศ.2541ได้พระราชทานแนวทางการปฏิบัติแก่กองทัพเรือในการดำเนินงานกิจกรรมสร้างจิตสำนึกของโครงการอนุรักษ์พันธุกรรมพืช อันเนื่องมาจากพระราชดำริ ฯ ที่เกาะแสมสารว่า ควรพิจารณาปฏิบัติตามรูปแบบของอุทยานแห่งชาติเกาะปอร์กอรอลส์ และเกาะโคร์ส ที่ฝรั่งเศส ซึ่งได้เสด็จพระราชดำเนินเยี่ยมเยียนมาในปี พ.ศ. 2538 และทรงมีความประทับใจในวิธีการให้ความรู้ความเข้าใจในด้านพันธุ์ไม้และระบบนิเวศต่อเยาวชน ในลักษณะที่เป็นพิพิธภัณฑ์มีชีวิต อันก่อให้เกิดความรู้สึกผูกพันกับธรรมชาติ
นอกจากนี้ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ยังได้ฝากงานอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติทางทะเลนี้
ไว้ต่อกองทัพเรือด้วย
โดยมีพระราชกระแสต่อผู้บัญชาการทหารเรือ เมื่อ 31 พฤษภาคม พ.ศ. 2544
ว่า “ให้กองทัพเรือทำงานนี้เพื่อความมั่นคงของประเทศ”
อันเนื่องมาจากพระราชกระแสและพระราชดำริหลายครั้งหลายครานี้เองกองทัพเรือจึงมุ่งหน้าดำเนินงานโครงการอนุรักษ์พันธุกรรมพืชอันเนื่องมาจากพระราชดำริฯ
ที่เกาะแสมสาร และในส่วนของกิจกรรมสร้างจิตสำนึกแก่เยาวชน
กองทัพเรือได้พิจารณาจัดตั้ง "พิพิธภัณฑ์ธรรมชาติวิทยาเกาะและทะเลไทย" ขึ้นบนฝั่งสัตหีบตรงข้ามเกาะแสมสาร
รวมทั้งจัดสร้างสวนพฤกษศาสตร์และเส้นทางศึกษาธรรมชาติบนเกาะแสมสารเพื่อเป็นสื่อในการสร้างความรู้ความเข้าใจและจิตสำนึกแก่เยาวชนตามแนวทางพระราชดำริในการนี้ได้ทรงมีพระราชวินิจฉัยเห็นชอบและยังพระราชทานแนวทางการดำเนินงานเพิ่มเติมด้วยว่า
-
"ควรให้คนเข้าชมพิพิธภัณฑ์ที่ตั้งอยู่บนฝั่งมากกว่าที่จะไปรบกวนบนเกาะ"
- "ที่เกาะแสมสาร
จะทำแบบเกาะปอร์กอรอลส์ไม่ได้ เพราะเกาะของเราเล็ก ฉะนั้นควรให้คนมาดูแล้วกลับไป
ไม่มีที่ให้ค้าง"
-
"เนื้อหาที่จะจัดแสดง(ในพิพิธภัณฑ์) จะต้องให้เป็นการสอนและปรับปรุงให้ใหม่อยู่เสมอ
และควรมีงานวิจัยอย่างต่อเนื่อง"
กองทัพเรือได้น้อมเกล้าฯ รับพระราชดำริ มาประมวลเป็นรูปแบบการก่อสร้างและหลักการการจัดการพิพิธภัณฑ์ฯจนกระทั่งบัดนี้การก่อสร้างพิพิธภัณฑ์ธรรมชาติวิทยาเกาะและทะเลไทยบนฝั่งแสมสาร รวมทั้งสวนพฤกษศาสตร์ และเส้นทางศึกษาธรรมชาติบนเกาะแสมสารมีความคืบหน้าไปบ้างแล้ว และคาดว่าจะแล้วเสร็จสมบูรณ์ได้ตามเป้าหมายในปี พ.ศ. 2550
พิพิธภัณฑ์ธรรมชาติวิทยาเกาะและทะเลไทย
ตั้งอยู่ริมทะเลบริเวณเขาหมาจอ ตำบลแสมสาร อำเภอสัตหีบ
จังหวัดชลบุรี
ในจุดที่อยู่ตรงข้ามเกาะแสมสาร มีอาณาบริเวณประมาณ 16 ไร่
สิ่งก่อสร้างมีลักษณะเป็นอาคาร
ไต่ระดับเขา ถึงยอดเขา
เพื่อให้มองเห็นทัศนียภาพมุมกว้าง ไกล
และความลึกของทะเลโดยมุ่งที่จะให้ผู้ชม
เห็นความงดงามของท้องทะเลแล้วเกิดจินตนาการและความปิติที่จะรักษาทรัพยากรธรรมชาติไว้ตามแนวพระราชดำริ
ในหลักวิชาว่าด้วยการพิพิธภัณฑ์
ถือได้ว่าพิพิธภัณฑ์ธรรมชาติวิทยาเกาะและทะเลไทยเป็นพิพิธภัณฑ์ที่สากลเรียกว่า
NATURAL HISTORY MUSEUM อันเป็นสถานที่รวบรวมและจัดแสดงวัตถุธรรมชาติ
ทั้งในด้านธรณีวิทยา
พฤกษศาสตร์ สัตวศาสตร์
ทางทะเลเป็นแห่งแรกในประเทศไทย
สำหรับเนื้อหาการจัดแสดงในพิพิธภัณฑ์
รวมทั้งสวนพฤกษศาสตร์และเส้นทางศึกษาธรรมชาติบนเกาะแสมสาร
จะประมวลมาจากผลการสำรวจเกาะต่าง
ๆ ของไทยในโครงการอนุรักษ์พันธุกรรมพืชอันเนื่องมาจากพระราชดำริฯ
กองทัพเรือ
ตามแนวทางพระราชทานที่ว่า "ให้สำรวจตั้งแต่ยอดเขาถึงใต้ทะเล" โดยคณะปฏิบัติงานวิทยาการ
หรือคณะนักวิชาการหลายสาขาจากหลายสถาบัน
ที่อุทิศตนอาสาสมัครเข้ามาปฏิบัติงานร่วมในโครงการฯ
ได้นำตัวอย่างและงานวิจัยในเรื่อง
พันธุ์พืช พันธุ์สัตว์ ดิน หิน แร่
มาจัดแสดงและต่อไปจะมีการปรับเปลี่ยน
เพิ่มเติมในโอกาสที่เหมาะสมด้วย
ส่วนการศึกษาทรัพยากรชีวภาพและกายภาพในธรรมชาติจริง
นอกเหนือจากการชมตัวอย่างในพิพิธภัณฑ์ธรรมชาติ
วิทยาเกาะและทะเลไทยแล้ว
ก็จะต้องลงเรือข้ามไปยังเกาะแสมสารซึ่งได้จัดไว้เป็นเส้นทางศึกษาธรรมชาติ (NATURE TRAIL) สวนพฤกษศาสตร์
ป่าชายเลน และบ่อแสดงพันธุ์สัตว์น้ำ ทั้งนี้ การเข้าชมในส่วนนี้จะเป็นไปอย่างจำกัด
เฉพาะนักวิจัย เยาวชนผู้ด้อยโอกาส
และบุคคลที่มีเหตุผลสมควรในด้านการศึกษาตามพระราชดำริ
คุณครูมาให้ดอกไม้กันก่อนเลยนะครับ ครู Was และ ครูขจิต
นำมาครับ อาจารย์ ;)...