กิจกรรม CSR กติกาของเกมบริหารที่เปลี่ยนไป
อาจารย์จิรพร สุเมธีประสิทธิ์
ความคาดหวังของผู้ที่เกี่ยวข้องภายนอกและภายในกิจการต่อการทำกิจกรรม CSR ของกิจการมีแนวโน้มที่จะเปลี่ยนแปลงไปในอนาคต ซึ่งกิจการจะต้องศึกษากติกาใหม่ของเกมการบริหารเกมนี้ เพื่อไม่ให้เกิดความสูญเปล่าของการดำเนินงาน
ความเปลี่ยนแปลงของกติกาในการเล่นเกม “กิจกรรม CSR” ของกิจการคาดว่าจะส่งผลกระทบต่อการดำเนินงานของกิจการอย่างน้อย 3 ประเด็น คือ
(1) การเพิ่มความชัดเจนเกี่ยวกับปรัชญาทางธุรกิจเกี่ยวกับความรับผิดชอบต่อสังคม
(2) การจัดเตรียมเครื่องมือและเทคนิคใหม่ที่ทำให้การดำเนินกิจกรรม CSR เกิดประสิทธิภาพและได้ประสิทธิผล
(3) การเพิ่มศักยภาพ ความพร้อมความสามารถและสมรรถนะในการบริหารกิจกรรม CSR ให้เหมาะสมกับกติกาใหม่ของโลก
ประโยชน์ที่จะได้รับจากการปรับตัวของกิจการต่อความเปลี่ยนแปลงของกติกาการทำกิจกรรม CSR ได้แก่
(1) ความสามารถในการเตรียมความพร้อมล่วงหน้าในการจัดการและตอบโต้กับความเสี่ยงทางสังคม (Social Risk)
(2) การบริหารความสัมพันธ์กับกลุ่มผู้มีส่วนได้ส่วนเสียจะดีขึ้น
(3) ความไว้เนื้อเชื่อใจ ชื่อเสียงและภาพลักษณ์ของกิจการในระยะยาวจะดีขึ้น
(4) เกิดแรงจูงใจในการสร้างนวัตกรรมที่ช่วยดูแลสังคมและสิ่งแวดล้อม
สิ่งที่กิจการอาจจะนำไปใช้พิจารณาประกอบการดำเนินกระบวนการปรับตัวด้านกิจกรรม CSR ตามกฎกติกาที่เปลี่ยนแปลงไป ได้แก่
ประการที่ 1
การดำเนินกิจกรรม CSR ตามกฎและกติกาใหม่ อาจจะไม่จำเป็นต้องใช้เงินงบประมาณทรัพยากรเพิ่มขึ้นเสมอไป
แต่กิจการอาจจะมีต้นทุนของความเสี่ยง (Cost of Risk) ในช่วงที่ทำการปรับตัวหรือความเปลี่ยนแปลงในระยะแรกที่เป็นช่วงบุกเบิกหรือนำร่อง
ประการที่ 2
การปรับตัวเพื่อให้กิจกรรม CSR สามารถรองรับกฎและกติกาใหม่ เป็นเรื่องที่ทำได้ก็ต่อเมื่อกิจการมีศักยภาพและความพร้อมในการสร้างนวัตกรรม ซึ่งหากกิจการยังไม่พร้อมในส่วนนี้ ก็คงไม่อาจขับเคลื่อนการปรับตัวได้
และต้องมั่นใจว่าจะไม่ก่อให้เกิดความพร้อมในส่วนนี้ ก็คงไม่อาจขับเคลื่อนการปรับตัวได้ และต้องมั่นใจว่าจะไม่ก่อให้เกิดความเสี่ยงเกิดใหม่จากการใช้นวัตกรรมใหม่
ประการที่ 3
บางครั้งการบุกเดี่ยวในฐานะของกิจการที่บุกเบิกการปรับตัวในการทำกิจกรรม CSR อาจจะเป็นไปไม่ได้
หลายกิจการเช่นอุตสาหกรรมสิ่งทอจึงใช้การหารือ ชักชวนกิจการอื่นๆในอุตสาหกรรมเดี่ยวกัน เพื่อชักชวนให้หลายกิจการดำเนินกิจกรรม CSR บนแนวทางเดียวกันและโดยพร้อมเพียงกัน เมื่อการดำเนินงานตามแนวทางใหม่สามารถขับเคลื่อนไปได้ระยะหนึ่งแล้ว จึงค่อยต่างคนต่างทำ
ประการที่ 4
หากจะทำการปรับเปลี่ยนกิจกรรม CSR ให้เป็นไปตามกฎและกติกาใหม่ หากมีความพร้อมและพลังเพียงพอ
กิจการควรตั้งเป้าหมายที่จะเป็นผู้นำในการเปลี่ยนแปลงดีกว่าคอยเป็นผู้ตาม ที่รอคอยให้กิจการทำก่อนจึงค่อยทำตาม เพราะมูลค่า (Value) ของการเป็นผู้นำจะอยู่ที่กิจการด้วย นอกเหนือจากการได้ทำตามกฎและกติกาใหม่
และจะถูกกล่าวขวัญถึงโดยนักเคลื่อนไหวและสื่อมวลชนด้วย
ประการที่ 5
ในบางกิจการการวิเคราะห์และประเมินผลได้-ผลเสียจากการปรับกิจกรรม CSR ตามกฎและกติกาใหม่ ต้องทำด้วยความรอบคอบ หากเป็นกิจกรรมที่มีความซับซ้อน มีผลกระทบและผลลัพธ์ในวงกว้าง เพราะอาจจะมีบางประเด็นที่สำคัญและหลงลืมที่จะพิจารณาและคำนึงถึงไม่ได้ และอาจจะต้องชั่งน้ำหนักให้ดีก่อนการตัดสินใจ
กิจการควรให้เวลากับเรื่องนี้อย่างเพียงพอ และหากมีความจำเป็นอาจจะต้องดึงเอาผู้มีส่วนได้ส่วนเสียเข้ามามีส่วนร่วมตั้งแต่ต้นอย่างเพียงพอ เพื่อให้สามารถเก็บรวบรวมข้อมูลและความคิดเห็นที่ครบถ้วน
ประการที่ 6
การคิดค้นและแสวงหานวัตกรรมในการส่งมอบและนำเสนอผลิตภัณฑ์ที่คำนึงถึงความยั่งยืนของสังคมและสิ่งแวดล้อม ย่อมเป็นที่ปรารถนาและพึงประสงค์ของประชาคม แต่จะถือว่าประสบความสำเร็จได้ก็ต่อเมื่อส่งผลดีและสร้างมูลค่าเพิ่มแก่กิจการด้วย
ซึ่งจะเป็นอย่างนั้นได้เมื่อนวัตกรรมของผลิตภัณฑ์นั้นสามารถเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมของผู้บริโภคได้ และตอบโจทย์ที่เป็นความคาดหวังของสังคม สินค้าและบริการที่มีนวัตกรรมทางด้านกรีนมากมายทีไม่ได้รับการตอบรับจากผู้บริโภคและไม่อาจจะทำให้กิจการอยู่รอดได้
ประการที่ 7
บุคลากรยังคงเป็นสินทรัพย์หลักที่กิจการไม่ควรมองข้ามในการปรับเปลี่ยนกิจกรรม CSR ตามกฎและกติกาใหม่
กิจการจะประสบความสำเร็จในการปรับกิจกรรม CSR ได้จะต้องประสบความสำเร็จในการบริหารความสัมพันธ์กับบุคลากรภายในกิจการ บุคลากรของ Outsourcing บุคลากรของซับพลายเออร์ได้อย่างเพียงพอ
การขับเคลื่อนกิจกรรม CSR ด้วยพลังของบุคลากรมักจะทำให้กิจการสามารถรับผลประโยชน์ของการทำกิจกรรม
CSR ได้อย่างมั่นใจมากขึ้น กิจการจึงควรปรับแผนการทำกิจกรรม CSR ให้ใช้บุคลากรดังกล่าวมาแล้วเป็นศูนย์กลางของการดำเนินงานอย่างเพียงพอ เพราะคุณค่าของกิจการย่อมมาจากคุณค่าของบุคลากรด้วยส่วนหนึ่ง
ประการที่ 8
บางกรณีการทำกิจกรรม CSR ตามลำพังในแต่ละกิจการอาจจะไม่มีพลังขับเคลื่อนอย่างเพียงพอที่จะทำให้เกิดผลลัพธ์ในเชิงประจักษ์
กิจการอาจจะต้องปรับแผนงานกิจกรรม CSR เป็นแผนบริหารเครือข่ายความร่วมมือเพื่อให้เกิดพลังที่เพียงพอในการขับเคลื่อนความสำเร็จของกิจกรรม CSR
ประการที่ 9
การวัดผลและประเมินผลสำเร็จของการทำกิจกรรม CSR จะต้องใช้หลักการเดียวกันกับการวัดและประเมินผลดำเนินงานอื่นๆของกิจการคือ ใช้ Performance-driven เน้นให้เกิดการดำเนินกิจกรรม CSR ที่เน้นผลผลิตและผลลัพธ์ เกิดการใช้ประโยชน์ที่ชัดเจนด้วย
ในกรณีที่มีความจำเป็น อาจจะต้องพัฒนาตัวชี้วัดผลผลิต (Output KPIs)และตัวชี้วัดผลลัพธ์ในระยะยาวที่ควบคู่กัน (Outcomes or Impact KPIs)
น่าจะเขียนเป็นบันทึกดีกว่านะคะ เพราะสืบค้นและเผยแพร่ได้ง่ายกว่าค่ะ