เมื่อไม่นานมานี้ ครอบครัวผมทำกิจกรรม "สะสาง" บ้านกัน ด้วยการตัดใจ “ทิ้ง" (บริจาค) เสื้อผ้า รองเท้า ข้าวของเครื่องใช้ ที่แต่ละคนมีอยู่คนละเป็นร้อยชุด อยู่กัน ๕ คน ตู้เสื้อผ้าใหญ่ๆ ๕ ตู้ยัดจนเต็มไม่พอใส่ รองเท้านับรวมกันได้มากกว่า ๕๐คู่ รวมทั้งเฟอร์นิเจอร์ข้าวของเครื่องใช้ในบ้าน <p>เราต้องการจัดบ้านกันใหม่เป็นสไตล์โปร่งๆ โล่งๆ เบาๆ สบายๆ แบบที่เราไปเห็นกันมาตามโรงแรมและรีสอร์ทต่างๆ ซึ่งล้วนดูดีเพราะความโปร่งความโล่ง ไม่มีข้าวของมาก นอกจากนี้ยังจะเป็นการประยุกต์แนวคิดเศรษฐกิจพอเพียงไปในตัวด้วย เพื่อที่จะให้เรา “พอประมาณ" (ไม่เกินพอดี) และ "มีเหตุมีผล" (ไม่รู้จะมีมากไปทำไม ทั้งที่ใส่ที่ชอบอยู่ไม่กี่ตัว ไม่กี่คู่) เราช่วยกันคัดช่วยกันขนหนังสือออกมาบริจาคให้ห้องสมุดกันเป็นพันเล่ม </p><p></p><p>ผมสงสัยว่าทำไมลูกชายผมเขาจึงมี Collection การ์ตูนญี่ปุ่นอยู่ตู้หนึ่งที่เขาจัดอย่างเป็นระเบียบเป็นของรักของหวงมาก การ์ตูนนับร้อยเล่มในตู้นี้ห้ามทิ้งเด็ดขาด ทั้งๆ ที่อ่านหมดแล้ว แสดงว่ามันต้องมีคุณค่ามีความหมายกับชีวิตเขามาก คำอธิบายของเขาทำให้ผมทึ่งจริงๆ ”โลกของการ์ตูนสมัยป่าป๊าไม่เหมือนสมัยนี้แล้ว" </p><p>ทำให้ผมนึกถึงการ์ตูนแต็งแต็ง และการ์ตูนพีนัท ที่ผมเคยชื่นชอบสมัยเด็ก "การ์ตูนที่ซิงอ่านนี้มันเล่มที่ xxx แล้ว" เขาหยิบเล่มแรกๆ มาชี้ให้ดูปี ค.ศ. ที่แต่ง แล้วหยิบเล่มล่าสุดมาให้ดูว่ามันห่างกันเป็นสิบๆ ปี เขาเริ่มอ่านการ์ตูนนี้ตั้งแต่เล่มแรกออกมาหลังจากที่เขาเริ่มอ่านหนังสือเป็นเมื่อยี่สิบปีก่อน คนเขียนเขาก็ยืนหยัดเขียนเรื่องนี้เรื่องเดียวมาตลอดชีวิต เหมือนเขียนบันทึกประจำวัน (แบบที่เราเขียน g2k เลย) ประมาณสับดาห์หนึ่งจบตอนหนึ่ง ก็พิมพ์เป็นเล่มครั้งหนึ่ง และแฟนการ์ตูนเขาก็มีอยู่ทั่วโลก(อย่างเช่นลูกชายผมคนหนึ่งล่ะ) ก็พร้อมที่จะอ่านไปจนคนเขียนจากโลกนี้ไปโน่นแหละ ถึงตอนนั้นอาจจะเป็นตอนที่ 2000 ก็ได้ และไม่ใช่มีนักเขียนการ์ตูนแบบนี้อยู่คนเดียว มีเป็นกะตั๊กเลย แต่ละคนก็มีแฟนของตัวเอง!!! </p><p>นักเขียนการ์ตูนเหล่านี้เขาบันทึกและบอกเล่าเรื่องราว ทั้งความจริง จินตนาการ ความทุกข์ความสุขของชีวิตผู้คน สิ่งแวดล้อม จากสายตาและความคิดของเขาผ่านตัวการ์ตูนตลอดชีวิตทั้งชีวิตของเขาแต่ละคน!!!</p><p>เป็นเรื่องราวของวรรณกรรมอีกแบบหนึ่งที่ผู้ใหญ่อย่างผม "ตกสมัย"เขาบอกผมว่า การ์ตูนญี่ปุ่นชุด Evangelian คือแรงบันดาลใจให้เขาเข้าเรียนวิทยาลัยดุริยางคศิลป์ ม.มหิดล ในสาขาแจ็ส จนเขาจบออกมาเป็นนักเปียโนแจ็สอาชีพในขณะนี้ </p><p>เขาบอกว่า "ทาง" ดนตรีเขามีเอกลักษณ์ของตัวเอง ไม่ใช่ “แจ็สดิบๆ" แบบอัฟริกันอเมริกัน หรือ "ซอฟท์แจ็ส" แบบยุโรป หรือ "ลาตินแจ็ส" แบบอเมริกาใต้ แต่เป็น "แจ็สการ์ตูน"!!!</p><p>นอกจากเล่นประจำกับวงแจ็สที่โรงแรมพลาซ่าแอททินี่สัปดาห์ละ ๖ คืนแล้ว เขายังเป็นครูสอนเปียโนแจ็สทั้งที่บ้านและที่โรงเรียนสอนดนตรีของวิทยาลัยดุริยางคศิลป์ที่สยามพารากอนทุกวันเสาร์ด้วย</p><p>ผมไม่แปลกใจเรื่องนี้เพราะเคยนั่งดูการ์ตูนชุดเรื่องนี้ทางโทรทัศน์ตั้งแต่เขายังตัวเล็กๆ ทั้งดนตรีและเพลงประกอบทั้งเรื่องล้วนเป็นดนตรีแจ็ส ซึ่งบางเพลงผมก็รู้จัก เช่น Fly Me to the Moon ร้องสไตล์แจ็สโดยนักร้องญี่ปุ่นและก็ทำให้เข้าใจถึงอิทธิพลในทางบวกของการ์ตูน ทำให้พวกเราทั้งบ้านไม่มีใครกล้าทำอะไรกับ "ตู้หนังสือการ์ตูน" ของเขา</p>
ผมติดตามอ่านโคนันอยู่ ป่านนี้ยังไม่จบซะที แต่ก็สนุกดี
มีการ์ตูนญี่ปุ่นหลายเล่มครับ ที่ยาวเหมือนไม่มีวันจบ
อย่างเช่น ก้าวแรกสู่สังเวียน , วันพีช (One Piece), นารูโตะ (นินจาคาถา) เป็นต้น
ถ้าการ์ตูนฝรั่งก็ บรรดาฮีโร่ ทั้งหลาย
การ์ตูนไม่มีวันตายจริงๆ ครับ
สวัสดีค่ะ คุณสุรเชษฐ
โอ้ แจ๊สการ์ตูน น่ารักจังค่ะ ฟังดูมีเอกลักษณ์เฉพาะดี เป็นแบบไหนคะ ---อยากทราบอย่างจริงจังค่ะ
แอนเคยทำโครงการหนึ่งกับเพื่อนนักดนตรีแจ๊สชาวอังกฤษชื่อ Mr. Sean Khan โครงการชื่อ Creating Stage and Screen Performance from the Inspiration of Sound and Music โดยทำ workshop สองวัน วันแรกเป็นการบรรยายเกี่ยวกับการออกแบบ sound สำหรับการแสดงต่างๆ วันที่สองเป็น workshop กับนิสิตเอกบัลเลต์ นาฏยศิลป์ไทย และนาฏยศิลป์พื้นบ้าน Mr. Sean เป่าแซ็กโซโฟน แต่เริ่มimprovise ทำนองด้วยเปียนโนก่อน จากนั้นก็เริ่ม improvise กับอาจารย์และนิสิตกลุ่มหนึ่งจากสาขาดุริยางคศิลป์ นิสิตในส่วน dance ก็จะเริ่มใช้ทำนองที่กำลัง improvise นี้ improvise การแสดงส่วนของตน
ในขณะนั้น Mr.Sean บอกว่าดนตรีแจ๊สที่ออกมาเป็นแนวแอฟริกัน แอนก็เลยพยามนึกตามที่คุณสุรเชษฐเล่าให้ฟังว่าแจ๊สการ์ตูนน่าจะเป็นแบบไหน จะแบบสนุกสนานสไตล์ Disney หรือเปล่า ไม่ได้แปลว่าเด็กๆนะคะ หมายถึงสดชื่น แจ่มใส มีเมโลดี้สไตล์แบบนั้นหรือเปล่า
ส่วนการ์ตูนนั้น แอนก็อ่าน Tin Tin ค่ะ มีอยู่ไม่กี่เล่มอ่านแล้วอ่านอีก ตอนนี้ก็ยังจำภาพได้อยู่เลยค่ะ เพราะจะชอบเก็บการ์ตูนสีเป็นพิเศษ แล้วก็โดเรมอนฉบับที่ออกมาต่อๆกันเยอะ โคนัน เจ้าหนูซูชิ ไม่ทิ้งเหมือนกันค่ะ แต่ยกเป็นมรดกแก่ชนรุ่นหลัง ให้น้องซึ่งเกิดทีหลังไป :)
การ์ตูน เป็นรากฐานของชีวิต (ตั้งชื่อให้เป็นวิชาการ)
เคยดู อิ๊กคิวซัง เป็นการ์ตูนแก๊งค์เด็กแนว ที่ทุกคนโกนหัวหมด อาศัยด้วยกันอย่างเศณษฐกิจพอเพียง แต่โดนโชกุนกับพ่อค้าหน้าเลือดคอยหาเรื่องเป็นประจำ
ผมประยุกต์ใช้ประโยชน์ทุกวันนี้ นั่นคือ ทุกครั้งที่มีปัญหา ต้องใช้ปัญญาแก้ บางทีก่อนแก้ปัญหา ต้องทำใจให้สงบนิ่ง จดจ่อ(แต่ไม่จับเจ่า)ก่อน นั่นคือ ทำสมาธิ หลักมีแค่นี้ แต่ใช้ประยุกต์ได้ไม่รู้จบ
แต่เพื่อนๆ ผมนี่สิ มีปัญหาทีไร ใช้สุรากับยาคลายเครียดแก้ ผมว่าไม่ดี แต่ก็ปล่อยๆ ไป ห้ามคงยาก คำว่า ลด-ละ-เลิก อาจต้องใช้เวลานานหลายสิบปี ก่อนนะผ่านกระโหลกเข้าไปในสมองได้
สวัสดีค่ะ อ.สุรเชษฐ
แจ๊สการ์ตูน ! เท่ห์มากเลยค่ะ
เบิร์ดก็อ่านการ์ตูนคนหนึ่งเหมือนกัน..แต่เป็นพวกไม่เป็นโล้เป็นพายค่ะ อ่านได้ทุกเรื่องที่อยากอ่านแต่ไม่ต่อเนื่องก็เลยไม่สามารถเอาดีทางด้านนี้ได้
ขอบคุณค่ะที่ทำให้รู้จักแจ๊สการ์ตูน..ชอบจริงๆ
คุณแอน |
คุณ |
bunpot
เมื่อ ส. 28 เม.ย. 2550 @ 02:02 ครับ
|
คลิกตามลิงก์ก้าวแรกสู่สังเวียน ของคุณ bunpot เข้าไปดูแล้วครับ
"แม้เส้นทางสู่การเป็นนักมวยของ มาคุโนอุจิ อิปโป จะไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบ แต่อย่างน้อยอิปโปก็รู้แล้วว่าสิ่งที่ตนเองรักและต้องการที่จะทำที่สุดนั้น ไม่มีอย่างอื่นอีกแล้วนอกจาก มวย"
ประทับใจครับ เป็นเรื่องของคนที่ "ค้นพบฝันของตัวเอง" และมีมานะพยายามเพื่อบรรลุความฝัน
เมื่อเช้านี้ผมอ่านหนังสือพิมพ์มติชน มีบทความของบัณฑิต อึ๊งรังษี (คนไทยที่ประสบความสำเร็จ เป็น Conductor ของวงซิมโฟนีออเคสตราระดับโลก) ชื่อ Dare to Dream ความกล้าที่จะฝัน ยกคำพูดของเกอเธ่ (กวีที่ยิ่งใหญ่ของเยอรมัน แบบเดียวกับสุนทรภู่ของบ้านเรา) มาโปรยนำว่า "Whenever you do, or dream you can, begin it." ในบทความมีข้อความหลายอันที่ผมอดจดไว้ไม่ได้ เช่น
คนอื่นพูดคำเหล่านี้อาจไม่น่าเชื่อถือเท่าคุณบัณฑิตที่เขียนจากประสบการณ์ความสำเร็จของตัวเอง
เขาเป็นคนไทยไม่กี่คนที่ไปยืนอยู่ในเวทีอินเตอร์ได้ขนาดนั้น เท่าที่ผมนึกออกมีคนเอเชียไม่กี่คนที่ได้รับการยอมรับให้กำกับการแสดงดนตรีของวงออเคสตราระดับโลก มีเกาหลีคนหนึ่ง ญี่ปุ่นคนหนึ่ง และอินเดียอีกคนหนึ่ง ตอนนี้มีคนไทยแจ้งเกิดแล้ว คือ คุณบัณฑิต
ยินดีที่ได้รู้จักครับ คุณ bunpot
คุณ pra.cha ครับ
คุณ |
เบิร์ด
ครับ
|
การ์ตูนที่ลูกชายอาจารย์อ่านชื่อเรื่องว่าอะไรครับ
เดี๋ยวว่างๆ ผมจะไปลองหามาอ่านบ้าง
bunpot เมื่อ อ. 29 เม.ย. 2550 @ 23:30 |
สวัสดีค่ะ อ.สุรเชษฐ
คำถามนี้เป็นคำถามแจ็คพอตได้เลยนะคะ
" ถ้าการ์ตูนดีๆ มีอิทธิพลต่อความฝันและความกล้าของเด็กและเยาวชนแล้ว ทำไมประเทศนี้จึงมีคนน้อยมากที่สนใจสร้างสรรค์งานประเภทนี้? "
เอาทีละเรื่องเลยนะคะ ...
ในแง่การลงทุน ถ้าเป็นหนังเบิร์ดมองว่าตลาดไม่กว้างพอ..เจ้าของค่ายหนังจึงไม่ค่อยยอมลงทุนให้..หนังการ์ตูนในไทยเท่าที่จำได้ก็มีไม่กี่เรื่องและที่ประสบความสำเร็จรู้สึกจะมีก้านกล้วย..กับหนุมานล่ะมั้งคะ สุดสาครก็หายไปเค้าอาจดูว่ามันไม่คุ้มทุน..สู้พวกหอแต๋วแตกไม่ได้ !
ในแง่ความคิดสร้างสรรค์หรือจินตนาการ...
ด้านการผลิต...เรามักทำการ์ตูนในแนวเดิมๆ เช่นขายหัวเราะ จี้เส้น มีน้อยที่จะคิดรายละเอียดของเรื่องแบบ Lion King ...Beauty and the beast..คือเค้าเอานิทานมาทำจริงแต่รายละเอียดที่ใส่เข้าไปทำให้ภาพมีชีวิต มีมุมที่มีชีวิตดูน่ารัก น่าสนใจ ( แต่ก้านกล้วยของเราก็ทำได้ดีค่ะ..นี่อาจเป็นข้อพิสูจน์หนึ่งว่าคนไทยถ้าจะทำให้ดีก็ทำได้ )..หรือแฝงแง่คิดแบบโดเรมอน..เณรน้อยเจ้าปัญญา..โคนัน..ก้าวแรกสู่สังเวียน.. รินตินติน ฯลฯ ที่แฝงแง่คิด กระตุ้นให้เกิดพลังฝัน..เป็นตัวอย่างที่ดี..ถ้าเราก้าวออกจากบล็อกเดิมๆที่เราเคยผลิตได้ก็น่าจะดีค่ะ ( มีการ์ตูนธรรมะน่ารักๆอยู่ทางช่อง 3 ช่อง 7 เหมือนกันค่ะแต่น้อย )
ด้านวัตถุดิบ..คนไทยส่วนมากไม่ค่อยกล้าฝัน กล้าจินตนาการน่ะค่ะ..เราเป็นประเภทยอมตาม ไม่กล้าเสี่ยง ชอบที่เป็นสำเร็จรูปมากกว่าก็เลยเดินตามทางเดิมๆ ที่คุ้นเคยหรือมีคนเดินก่อนหน้าแล้ว เค้าถึงว่าเราเป็น C & D...Copy & Develop ซึ่งคุณธรรมาวุธบอกว่าเป็น C & P ...Copy & Paste มากกว่า ( หนักกว่าเดิมอีก ^ ^ )
ในด้านการส่งเสริมสนับสนุนจากรัฐ
เราปากว่าตาขยิบค่ะ..บอกว่าจะส่งเสริมเรื่องดีๆให้เด็กๆดู แต่เวลาไพร์มไทม์กลายเป็นละคร..การ์ตูนดีๆมีน้อยถ้าเทียบเป็นเปอร์เซนต์รู้สึกว่าจะน้อยกว่าหนึ่งอีกนะคะ..
เราไม่เชื่อในคนไทยด้วยกัน..มักเห็นว่าของที่อื่นดีกว่า ( ซึ่งจริงๆคนผลิตก็ไม่ค่อยเชื่อในตัวเองเหมือนกัน )
จริงๆคนไทยเก่งค่ะ..ทำได้และทำได้ดีด้วยถ้าจะทำและได้รับการสนับสนุนอย่างจริงจัง..แต่รู้สึกว่าเป็นเงื่อนไขที่เหมือนติดปลักยังไงก็ไม่ทราบค่ะอาจารย์
การ์ตูน หนัง เป็นโมเดลที่ดีให้เด็กๆได้เดินตาม และสร้างความเป็นชาตินิยมได้เป็นอย่างดี..อเมริกาปลูกความเชื่อให้คนในชาติและคนทั้งโลกเชื่อว่าอเมริกาคือฮีโร่ก็ผ่านหนังฮอลลีวู้ด..รัฐบาลเค้าส่งเสริมมากนะคะในอุตสาหกรรมภาพยนตร์..แต่เราล่ะคะ..ดูแล้ววังเวงจัง
แล้วอาจารย์ล่ะคะมีความเห็นอย่างไรบ้างคะกับประเด็นนี้..
ขอบพระคุณมากค่ะสำหรับคำถามที่ทำให้เบิร์ดได้มาบ่นงึมงำให้อาจารย์ฟัง
คุณ pinkyannie ครับ
วันนี้ได้ถามลูกชายให้แล้วครับ ข้อความในเครื่องหมายคำพูดข้างล่างนี้เป็นคำอธิบายของเขาครับ
"การ์ตูนอนิเมชั่นของญี่ปุ่นจำนวนมากใช้เสียงแบบแจ็สประกอบในเรื่อง แต่จะเป็นลักษณะเฉพาะแบบญี่ปุ่น ประมาณเสียง "กาโม่" ที่จะมีเสียงสูงๆ สอดขึ้นมาเป็นระยะ ถ้าเคยดูการ์ตูนญี่ปุ่นเรื่องนี้จะนึกออก แนะนำให้ฟัง Original SoundTrack ภาพยนตร์การ์ตูนญี่ปุ่น เช่น Chobit, R.O.D, Rahxephone, Evangelian ฟังแล้วจะสัมผัสได้ทันทีว่าสำเนียงเป็นเอเชีย มีกลิ่นไอความเป็นญี่ปุ่นสูงมาก โดยเฉพาะการออเคสเตรชั่นของเครื่องสาย ซึ่งเด่นมากๆ เรียกว่าลอยออกมาเลย ในดนตรีญี่ปุ่นดั้งเดิมก็ใช้เครื่องสายมาก เสียงของเครืองสายจะไหลขึ้นไหลลงสอดประสานอยู่ตลอดเวลา ความเด่นของออเคสเตรชั่นแบบนี้ฟังแล้วจะรู้ทันทีว่าไม่ใช่ดนตรีที่ทำโดยนักดนตรีตะวันตก ลายของเครื่องสายจะพริ้วไหว ต่อเนื่อง และสวยงามมาก"
ผมขอให้เขาช่วยเลือกเพลงจากซีดีซาวน์แทร็กสักแผ่นมา rip เป็นท่อนสั้นๆ ประมาณสักครึ่งนาที (เอาทั้งเพลงไม่ได้เพราะจะมีปัญหาลิขสิทธิ์ เจตนาเพื่อเป็นตัวอย่างเพื่อการศึกษา) เพราะบางทีฟังแล้วไม่ต้องอธิบายอะไรเลยก็ได้ เขาเลือกเพลงบรรเลงเพลงหนึ่งจากออริจินัล ซาวน์แทร็กของการ์ตูนเรื่อง R.O.D และอีกเพลงที่มีคำร้องด้วยจากการ์ตูน Evangelian คือ Fly Me to the Moon แต่ผม upload ขึ้นเฉพาะอันแรกเพราะมีขนาดเล็กดี ถ้าคุณแอนอยากลองฟังอันหลัง ผมจะ attach file ไปกับอีเมล์ ลองคลิกฟังดูนะครับ http://gotoknow.org/file/surachetv/OrchestrationCartoonJazz.mp3
วันนี้ได้นั่งคุยยาวๆ กับเขาหน้าเปียโน ก่อนเขาออกไปทำงาน ได้ความรู้เรื่องดนตรีแจ็สเพิ่มขึ้นอีกเยอะ เล่าไปก็เล่นเป็นท่อนสั้นๆ เปรียบเทียบการเล่นแบบดิบๆ แบบป็อป แบบการ์ตูน ประกอบการเล่าไปด้วย
ในทัศนะของเขา ก็ยังเห็นว่าดนตรีคลาสสิกของตะวันตกยังเป็นตนตรีที่ยิ่งใหญ่ไร้เทียมทาน นักศึกษาดนตรีจะเรียนสาขาอะไรก็แล้วแต่ต้องมีพื้นฐานคลาสสิกจึงจะไปได้ไกล ส่วนแจ็สเป็นเพียงอะไรเล็กๆ แต่สวยงาม เขาบอกว่านักดนตรีแจ็สคือคนที่เล่นให้เสียงดนตรีมี "surprise" สร้างความประหลาดใจให้คนฟัง บ้านเรายังมีนักเปียโนแจ็สอาชีพที่เป็นคนไทยอยู่เพียงไม่กี่คน และก็รู้จักกันเกือบหมด มันขาดแคลนขนาดเขาต้องทำงานตั้งแต่เข้าเรียนปี ๑ รุ่นเขามีเขาคนเดียวที่เรียนเปียโนแจ็ส รุ่นพี่ก็ปีละคน พอจบปุ๊บมหาวิทยาลัยก็จะเชิญเป็นอาจารย์สอนรุ่นน้องต่อ แต่รุ่นหลังๆ เริ่มมากขึ้น และก็เก่งขึ้นด้วย เขาเองอยากไปทำงานหาประสบการณ์และเรียนต่อในสาขานี้ที่อเมริกา อันเป็นแหล่งกำเนิดของแจ็ส
ที่สาขาดุริยางคศิลป์ของอาจารย์มีเอกอะไรบ้างครับ?
เบิร์ด เมื่อ จ. 30 เม.ย. 2550 @ 21:22 |
สวัสดีครับคุณเบิร์ด
เขียนถึงตรงนี้อยากเขียน short note เชิงวิชาการที่นึกขึ้นมาได้ตอนนี้หน่อยหนึ่ง คุณเบิร์ดไม่ต้องอ่านได้นะครับ อยากโน๊ตความคิดที่เกิดขึ้นไว้อ่านเองเท่านั้นครับ (ขอใช้พื้นที่ - อ้าว จริงๆ แล้วก็ยังอยู่ในบล็อกผมนี่ครับ ผมจะบันทึกอะไรไว้ตรงไหน ก็น่าจะได้)
Note :
สวัสดีค่ะ อาจารย์สุรเชษฐ
ตามเข้าไปฟังใน file ที่อาจารย์กรุณา upload ไว้ให้ ขอบคุณมากนะคะ ได้ฟังแล้วเข้าใจขึ้นมากเลยค่ะ แอนจะขอนำความรู้เรื่องนี้ไปแชร์นี้กับนิสิต และอาจารย์ที่คณะฯนะคะ เพราะน่าสนใจมาก
อย่างแอนเอง โดยส่วนตัวเวลาเรียน Costume Design อาจารย์ผู้สอน(อาจารย์ฤทธิรงค์ จิวากานนท์)มักจะ comment ว่า สี รูปแบบ และลักษณะงานของแอนจะคล้ายการ์ตูน Disney ซึ่งก็เป็นไปได้มากทีเดียวว่าแอนอาจจะได้รับอิทธิพลจากความชื่นชอบ Character ของตัวการ์ตูน Disney
คณะศิลปกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหาสารคาม สาขาดุริยางคศิลป์ แบ่งออกเป็น ดุริยางคศิลป์ไทย ดุริยางคศิลป์พื้นบ้าน ดุริยางคศิลป์ตะวันออก และดุริยางคศิลป์ตะวันตก ค่ะ http://www.music.msu.ac.th/web
นิสิตของสาขาวิชานี้ ใช้ได้เลยทีเดียวค่ะ แอนเคยชมการแสดง เห็นการสอนและฝึกซ้อมของอาจารย์และนิสิตสาขานี้ คิดว่าเป็นสาขาพัฒนา ขยายตัวได้อย่างรวดเร็วเลยค่ะ มีโรงเรียนสอนดนตรีสำหรับนักเรียนมัธยมที่สนใจจะเข้าศึกษาต่อ อยากทดลองเรียนก่อนล่วงหน้าเพื่อจะได้ค้นหาความถนัด หรือ เพื่อเสริมทักษะด้านดนตรี
นิสิตที่นี่มักมีโอกาสได้ร่วมแสดงในงานต่างๆ ทั้งในลักษณะการแสดงเพื่อสอบ การแสดงภายใน-ภายนอกมหาวิทยาลัยในลักษณะการบริการทางวิชาการและการทะนุบำรุงศิลปวัฒนธรรม รวมทั้งการรับงานแสดงในเชิงธุรกิจ ซึ่งเป็นการหารายได้พิเศษนอกเวลาเรียนค่ะ ซึ่งก็จะได้ทดลองทำงานแสดงฝีมือกันตั้งแต่ยังเรียนไม่จบเลย
ในขณะที่แอนทำโครงการก็ได้ความร่วมมือจากสาขาดุริยางคศิลป์ มาทำ workshop ด้วยกัน ซึ่งสนุกมากค่ะ เพราะทั้งนักแสดงและนักดนตรีก็เริ่มจากศูนย์ พัฒนางานไปพร้อมๆกัน จนออกมาเป็นชุดการแสดง
แอนลองใช้เทคนิค improvisation กับนิสิตที่เอกนาฏยศิลป์ค่ะ เป็นส่วนหนึ่งของการสอน basic acting ให้นิสิต dance โดยแอนพยามจะนำดนตรีซึ่งเป็นสื่อที่นิสิตคุ้นเคยมากกว่าบทละคร เอามาเชื่อมโยงให้นิสิตได้ทดลองหาความหมายของการ improvise ด้วยตัวเอง เป็นการลองเล่นกับสถานการณ์เฉพาะหน้า ปล่อยให้ร่างกายเกิด reaction กับเสียงที่ได้ยิน เริ่มจากคนเดียว จนกลายเป็นคู่ เป็นกลุ่ม อาจจะไม่มีเรื่องราวชัดเจน เน้นการถ่ายทอด เคลื่อนไหวร่างกาย ตามความรู้สึกจากดนตรีที่ได้ยิน
จริงๆแล้วก็มาจาก exercise ตอนแอนเรียนบัลเลต์ แอนลองคิด เพื่อมาประยุกต์ใช้สอนเทคนิค acting ให้นิสิต dance ซึ่งก็ได้ผลน่าพอใจทีเดียวค่ะ ดนตรีจึงเป็นทั้งสื่อ ทั้งแรงบันดาลในขณะเดียวกัน
สำหรับเรื่อง DVD ของโครงการ ขอบคุณอาจารย์มากนะคะ ที่เสนอจะกรุณาสนับสนุนเรื่องการทำแผ่นเผยแพร่ในโรงเรียนในเขตพื้นที่ เพื่อเป็นจุดเริ่มต้นให้ประสบการณ์และแรงบันดาลใจเด็กๆ เกี่ยวกับดนตรี
แอนได้คิดเรื่องนี้เช่นกันค่ะ แค่ได้ไอเดียและแรงสนับสนุนก็เป็นความกรุณามากแล้วค่ะ ส่วนทุนนั้นแอนคิดว่าไม่เหลือบ่ากว่าแรง สามารถค่ะ
การเรียนดนตรีคลาสสิคเพื่อเป็นพื้นฐาน คงจะคล้ายกับการเรียนบทละครกรีกและshakespeare นะคะ ผู้ที่ศึกษาบทละครเหล่านี้ก็จะสามารถนำองค์ความรู้ไปเลือกใช้ ประยุกต์ใช้ กับการเขียน การแสดง การกำกับละครสมัยใหม่ ตอนที่แอนเรียนแรกๆ บางทีก็รู้สึกว่ายากจังเลย อะไรไม่รู้มากมายเต็มไปหมด แต่ต่อมา ก็ตระหนักได้ว่า ไม่ว่าจะไปทำละครแนวทดลอง ร่วมสมัย หรือ โมเดิร์นแค่ไหน ก็ต้องอาศัยความรู้พื้นฐานจากการศึกษาบทละครคลาสสิคเหล่านี้ทั้งนั้น หนีกันไม่พ้นค่ะ ดังนั้นถ้าพื้นคลาสสิคแน่น ไปต่อยอดแนวอื่นๆจะช่วยเสริมกันอย่างยิ่ง แอนทดลองแล้วก็เป็นเช่นนั้นค่ะ
ยินดีมากเลยนะคะ ที่ได้แลกเปลี่ยนเรียนรู้ใน blog นี้
หอแต๋วแตก เป็นภาพยนตร์ตลกค่ะ คงไม่ใช่ comedy หรือ สุขนาฏกรรม
แต่ออกเป็นประเภทที่เรียกว่า Farce หรือ ตลกโปกฮา เสียมากกว่า ค่ะ
ลักษณะละคร และภาพยตร์ไทยก็สะท้อนและเอาใจผู้บริโภคคนไทย กลุ่มผู้ชมที่ยอมซื้อตั๋วเข้าไปดูภาพยนตร์ไทย หรือ ยอมซื้อ vcd และ dvd มาเก็บไว้ดู
การสร้างภาพยนตร์ หรือ ละคร ใประเทศไทย ผู้สร้างต้องอาศัยมากกว่าสมองและประสบการณ์ เพราะไม่มีทุนก็สร้างไม่ได้ ผู้ให้ทุนก็หวังว่าหากลงทุนแล้วก็ต้องคุ้ม หรือ ได้กำไร หากเห็นอยู่แล้วว่า มีประโยชน์แต่ขาดทุนในแง่ธุรกิจ ก็ไม่มีใครเอาด้วย
ถ้าภาพยนตร์ไทย สะท้อนรสนิยมของผู้บริโภคซึ่งเป็นคนไทย ก็น่าสังเกตุว่าเพราะอะไรเราจึง "นิยม" เสพย์งานลักษณะนี้ --หนังผี หนังตลก หนังรักกุ๊กกิ๊กวัยใสฯ
แต่ก็มีภาพยนตร์บางเรื่องที่แสดงพัฒนาการ และความพยามที่จะสร้างความแตกต่างให้กับผู้บริโภค เช่น มนต์รักทรานซิสเตอร์ โหมโรง ฯ และเรื่องอื่นๆที่เป็นภาพยนตร์ได้กล่องแต่ไม่ได้เงิน ขาดทุนเละเทะหรือ แม้แต่ห้ามฉายในเมืองไทย แต่ไปได้รางวัลในเมืองนอก
หากผู้สร้างต้องการคนดู การพึ่งระบบ star system ก็คล้ายกับรับประกันความปลอดภัย คือ ดารานำเป็นที่รู้จัก อยู่ในกระแส ก็รับประกันจำนวนคนอยากเข้ามาชมได้ในระดับหนึ่ง
นางแบบโน๊ะเน๊ะน่าใหม่ หรือ เซ็กซี่ขาดใจ ก็จะมาดึงความสนใจ ทำให้ plot เรื่องพื้นๆ ธรรมดาๆ นักแสดงตลกเซ็ทเดิม ดูครึกครื้นขึ้น เพราะคนดูตีตั๋วมาดูดาราที่อยู่ในกระแสขณะนั้น แสดงในบทบาทที่ไม่เคยเห็นมาก่อน เช่น เรื่องหอแต๋วแตกที่ดาราสาวสวยเซ็กซี่มารับบทเป็นผีสาวประจำหอพัก
ไม่ได้แปลว่า แสดง ไม่ดีนะคะ ดาราอาจจะมีความสามารถ ใช้ได้ทีเดียว plot ก็อาจจะน่าสนุก แต่เมื่อตัดสินใจจะต้องจ่ายเงิน และบังคับตนเข้าไปอยู่ในโรงภาพยนตร์ ติดต่อกันเป็นชั่วโมง หากมีภาพยนตร์ต่างประเทศให้เลือกอีกหลายเรื่อง ซึ่งน่าจะให้ประสบการณ์กับคนดูในระดับที่ต่างออกไป ภาพยนตร์ไทยก็คงจะเจาะกลุ่มลูกค้าหน้าเดิม ที่ต้องใจกับดารา รู้สึกว่าตนเชื่อมโยงประสบการณ์ได้ และแฮปปี้ที่จะจ่ายค่าตั๋วเข้าไปดู
ข้อสังเกตประการหนึ่ง คือ ภาพยนตร์ไทยจะเล่าเรื่อง ด้วยการพูด พูด พูด และพูด หาก foward ภาพไปอย่างเร็ว จะเห็นว่า มีฉากที่ตัวละครอยู่กับที่นานมาก และแทบจะพูดกันตลอดเวลา dialogue ที่ใช้ในภาพยนตร์ตลกโปกฮาก็มักจะเต็มไปด้วยคำหยาบคาย สองแง่สองง่าม คำด่าผรุสวาท น่าสนใจที่สิ่งเหล่านี้กลายเป็นมุขตลก เรียกเสียงหัวเราะ--ซึ่งถ้าทำสำเร็จก็เป็นจุดขายของภาพยนตร์เรื่องนั้น
ในส่วนของละครโทรทัศน์ ปัจจุบันมีพัฒนาการไปมาก ในแง่ของการตีความตัวละคร ที่เริ่มเป็นสีเทามากกว่าขาวดำ คือ แม้จะแบ่งพระเอก นางเอก ตัวร้าย อยู่เช่นเดิม แต่ในตัวพระเอก นางเอก ก็มีข้อผิดพลาดบกพร่อง เช่นกัน ไม่ได้สมบูรณ์แบบไปเสียหมด ในขณะที่ตัวร้าย ก็มีเหตุผลในการกระทำของตนมากขึ้น ไม่ได้กรี๊ดไร้เหตุผลไปเสียทีเดียว
แม้ plot เรื่อง หรือ ความขัดแย้งจะเกิดแบบ pattern --อาทิ แม่ผัวลูกสะใภ้ เมียหลวง-เมียน้อย อาการตบจูบระหว่างคู่พระ-นาง แต่การหาเหตุผล แรงจูงใจให้ตัวละครก็ทำให้เรื่องมีมิติขึ้น คนดูก็จะคิดเปรียบเทียบประสบการณ์ในชีวิตตนได้มากขึ้น เพราะมนุษย์ จริงๆแล้วก็ไม่ได้มีนิสัยสุดขั้วแบบ ดีเลว ขาวดำ คนดีก็ทำสิ่งที่เลวได้เมื่อสถานการณ์เปลี่ยนแปลงไป เช่น เรื่องบัวปริ่มน้ำ รังนกบนปลายไม้ ฯลฯ
อาจต้องอาศัยเวลาในการนำพา หรือ สร้างรสนิยม ในการเสพย์งานให้กับผู้ชม อย่างไรก็ดี คงจะต้องมีจุดเริ่มต้น ซึ่งละครโทรทัศน์ก็น่าจะอยู่ที่จุดเริ่มต้นนั้นค่ะ หากพัฒนาต่อเนื่องในเรื่องบท plot เรื่อง การตีความบท ความสามารถทางการแสดงของนักแสดง และรสนิยมของผู้ชมได้ ละครโทรทัศน์ไทยก็มีแนวโน้มจะเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีค่ะ
สวัสดีครับคุณแอน
ความทรงจำ ความประทับใจ เป็นส่วนสำคัญของแรงบันดาลใจ แอนเชื่อว่าหากแอนมีโอกาสได้ เล่น ดนตรี duo กับที่บ้าน ก็คงจะเป็นประสบการณ์ที่ติดอยู่ในใจตลอดไปค่ะ
คุณพ่อแอนเดินทางบ่อยและมักจะมีของฝากเป็นชิ้นงานศิลปะ เช่น ภาพวาด งานแกะสลัก งานช่างทองเหลือง รูปปั้น พรมทอมือฯ จากประเทศที่เดินทางไปอยู่เสมอ แม้เราจะไม่ค่อยมีโอกาสได้ไปเที่ยวด้วยกันบ่อยนัก แต่เรื่องเล่าจากชิ้นงานเหล่านี้ก็เป็นส่วนที่สร้างความชอบ ความนิยม และความสนใจด้านศิลปะ
หรือ เวลาที่คุณแม่ไปเฝ้าแอนเรียนบัลเลต์ เปียโน เราไม่มีโอกาสได้เต้น หรือ เล่นดนตรี duo กัน:) แต่ก็เป็นความรู้สึกอุ่นใจที่เสริมให้ยิ่งรู้สึกว่า เราสามารถทำได้ มีผู้ที่เชื่อในตัวเราอยู่เสมอ
หากนักศึกษาในโครงการของอาจารย์มีวัยวุฒิมาก การทำกิจกรรมการแสดงก็น่าจะยิ่งคึกคักนะคะ อาจจะเลือกถ่ายทอดเรื่องราวเป็นการแสดงสดชนิดใดชนิดหนึ่ง หรือ record แบบหนังสั้น มิวสิควีดีโอ ก็น่าสนใจนะคะ เป็นทางเลือกสำหรับคนที่อาจจะเขิน หากแสดงสด อยากจะได้ทดลอง เลือก ตัดต่อ ให้ได้อย่างใจก่อน การนำเสนอลักษณะนี้ก็ช่วยได้ค่ะ
โปรด ช่วย กรุณา วาน ขอ นำนิทานที่อ่าน7-10นาทีจบ ไม่ค่อยมีใครรู้จัก หายาก มีคำบรรยายเนื้อเรื่อง+ตัวละครมี4ตัว-10ตัว(รวมตัวประกอบฉาที่สำคัญด้วยน้า)+ทุกตัวละครหลักๆมีบทพูด มาแสดงที่เว็บนี้ด้วย
*0* T~T" ๓3๓
จากชาวTR+กษัตริย์เฮนรี่แห่งTR
ถึงProgramerของเว็บนี้จ้า
ปิเอโร่อุตส่าห์ให้เกียรติวานมาน๊ะจ๊ะ ขอให้คุณมีความสุขเถิด
ภาวนา
ให้เราภาวนา ขอให้ข้ามีความสุขเถิด โปรดสดัดฟังเถิดพระเจ้าข้า