ทุกคนมีเวลาที่สวยงามได้เสมอ ขอเพียงเรามีสติที่จะเห็นค่ะ เมื่อเรามองเห็นและให้ความสำคัญกับประตูบานที่เปิดรอเราอยู่ และสำหรับประตูบานที่ปิดไปแล้วนั้นให้เรายอมรับความเป็นจริงและเรียนรู้จากมัน
ตั้งใจเขียนเกี่ยวกับประสบการณ์ชีวิต ที่ได้พานพบน่ะค่ะ
และ มีบางสิ่งเมื่อพบแล้ว อยากมาแบ่งปันกับเพื่อนๆๆค่ะ
วันนี้สิ่งที่ได้พบ คือ ช่วงเวลาที่สวยงาม (Divine Timing)
ที่มาของเวลาที่สวยงามนี้ ได้มาจากนางฟ้าค่ะ
อะ อะ เพื่อนอาจจะเริ่ม งง งง งง มาจากนางฟ้าอย่างไรหรือ??
เป็นนางฟ้าจริงๆค่ะ
เป็นการ์ดนางฟ้าน่ะค่ะ (Angle card)
เริ่มจากมีเรื่องบางอย่างคาใจตัวเองอยู่น่ะค่ะ
จึงถาม(การ์ด)นางฟ้า นางฟ้าตอบว่า Divine timing
เมื่อแรกเห็น รู้สึก งง งง งง ว่า Divine timing หมายถึงอะไรล่ะเนี่ย???
นางฟ้าจึงอธิบายต่อว่า Divine timing หมายถึงอะไร
(อิอิอิ หมายถึงอ่านจากคู่มืออ่ะค่ะ )
ซึ่งข้อความที่สื่อมาโดนใจมากเลยค่ะ
เป็นข้อความที่เตือนสติได้ดีทีเดียวเชียว
ทำให้ได้พบช่วงเวลาที่สวยงามค่ะ
Divine timing ช่วงเวลาที่สวยงามนั้น ก็คือ
การเข้าใจว่า
อะไรในชีวิตของเราที่ประตูปิดไปแล้ว
และ อะไรที่ประตูยังเปิดรอเราอยู่
นางฟ้าแนะนำต่อว่า
เรื่องราวใดในชีวิตที่
ประตูปิดไปแล้ว
เราไม่ควรฝืน ไม่ควรพยายามเปิด พยายามง้างจะเปิดให้ได้ดั่งใจ
เพราะรังแต่จะ ทำให้เจ็บตัว เหนื่อยใจ ผิดหวัง
สิ่งที่ควรทำคือ
ให้เรียนรู้ เรื่องราวและตัวเองจากประตูบานที่ปิด
พูดง่ายๆคือ ให้เป็นบทเรียนหรืออุทาหรณ์สอนใจ ให้เราเข้าใจชีวิต และ รู้จักตัวเองมากขึ้น
ดีกว่าไปคอยเฝ้าหวังลมๆแล้งๆ อยากให้โอกาสมาอีกครั้ง
อยากให้ลมพัดหวน เป็นต้น เหนื่อยเปล่าๆ เจ็บเปล่าๆค่ะ
และ พร้อมกันนั้นให้เรามีสติที่จะเห็นว่าประตูบานไหนที่เปิดอยู่
ให้เราเดินไปหาประตูบานนั้น ด้วยใจเปิดรับและเห็นคุณค่า
เราจึงจะพบเวลาที่สวยงามค่ะ
เมื่ออ่านแล้วจึงได้คิดว่า
ช่วงเวลาที่สวยงามเกิดขึ้นได้ทุกขณะ
ขอเพียงแค่เรามีสติ จะเกิดดวงตาเห็นธรรม
เราจะเห็นได้ว่า มีประตูบานที่เปิดรอเราอยู่
เพราะ อันที่จริงชีวิตเรา เรายังมีสิ่งดีๆ ในชีวิตของเรามากมาย
เช่น เรายังมีดวงตาที่มองเห็นสิ่งต่างๆได้ เรายังมีขาที่เดินได้ เรายังมีหูที่ได้ยินเสียงได้ เป็นต้น
เห็นโอกาสที่ยังรอเราอยู่อีกหลายๆอย่าง
และนี่คือสิ่งดีๆๆที่เรามีอยู่แล้วมาตลอด
ถ้าเราเพียงแต่จะใส่ใจ สิ่งดีๆๆเหล่านี้จะปรากฎตัวออกมาค่ะ
ปัญหาคือคนเรามักจะ สนใจ ใส่ใจกับประตูบานที่ปิดไปแล้ว
และคอยๆๆๆ คาดหวัง คอยๆๆๆ ลุ้น
อยากให้ประตูกลับมาเปิด เปิด เปิดอีกครั้ง
ซึ่งหลายๆๆครั้งโอกาสก็น้อยเต็มที
แต่ก็ยังจะเฝ้าหวังไปเรื่อยๆๆ
ซึ่งความหวัง ความอยากอันนั้น ก็ตรงข้ามกับความเป็นจริง
(เพราะความจริงประตูปิดแล้ว แต่เราอยากให้เปิด)
จึงเป็นที่มาของความเจ็บปวดเพราะผิดหวังซ้ำๆๆๆ
อย่างที่มีคนบอกว่า เราผิดหวัง เพราะ เราหวังผิด
และ เมื่อใจมุ่งสนใจแต่ประตูบานที่ปิด
ทำให้มองข้าม ไม่ได้ใส่ใจ หรือ มองไม่เห็น
ประตูบานที่เปิดรอเราอยู่
ละเลยประตูที่เปิดบานนั้นไปเรื่อยๆๆๆ
จนกระทั่ง
ประตูบานที่เปิดรอเราอยู่ ก็ปิดลง
และเมื่อประตูที่เคยเปิดมาปิดลง
อีกนั้นแหละ
เราเพิ่งจะเริ่มเห็นค่า ตอนประตูปิดไปแล้ว
มาคร่ำครวญ ฟูมฟายเสียดาย เสียใจ
อยากให้ประตูบานนี้เปิดอีก เปิดอีก
มันจึงเป็นวงจรไม่มีที่สิ้นสุด
และ ทำให้เรารู้สึกเศร้าซ้ำๆๆ มองว่าชีวิตไม่เคยสมหวัง
ไม่เคยมีช่วงเวลาที่สวยงาม
ที่จริงเป็นเพราะเรามัวแต่มองประตูบานที่ปิดอยู่ต่างหาก
และ ละเลยประตูบานที่เปิดรอเราอยู่
ดังนั้น เวลาที่สวยงามมีได้เสมอ ขอเพียงเรามีสติที่จะเห็นค่ะ
เมื่อเรามองเห็นและให้ความสำคัญกับประตูบานที่เปิดรอเราอยู่
และสำหรับประตูบานที่ปิดไปแล้วนั้น
ให้เรายอมรับความเป็นจริงและเรียนรู้จากมัน
หลายครั้งประตูบานที่เปิดอยู่ เรามักมองไม่เห็นคุณค่า
เพราะสิ่งนั้นไม่ตรงกับใจเรา ไม่ใช่สิ่งที่เราอยากได้
ไม่ว่าเราจะอยากได้หรือไม่
สิ่งดีๆนี้เมื่อมีอยู่ หรือ เมื่อเกิดขึ้นแล้ว ก็คือสิ่งที่ดี
อาจจะดูไม่มีค่า ไร้ความหมาย(สำหรับเรา ณ ตอนนั้น)
เมื่อเพื่อนๆลองมองอย่างตั้งใจ จะพบเจอความสวยงามอยู่ค่ะ
และบางครั้ง ประตูที่ปิดลง ปิด เพราะ ความคาดหวังของเราเองค่ะ
เพราะ ความคาดหวังที่สูง(หลายครั้งสูงเกินจริงไปเยอะๆๆซะด้วยค่ะแบบตามฝันเลยง่ะ)
ทำให้เรารู้สึกว่าเราไม่ได้สิ่งนี้สักที
เรื่องนี้จึงกลายเสมือนเป็นประตูที่ปิดไปแล้วสำหรับเรา
แต่เมื่อเราลดความคาดหวังลง
ประตูบานนั้นที่เรารู้สึกว่าปิดตายกับเรามาตลอด ก็เปิดขึ้น
เช่น เราคบกับใครสักคนแบบแฟน
เราคาดหวังให้เขารักเราแบบแฟน
แล้วเขาก็ไม่รักเราแบบแฟน
เราก็ผิดหวัง เสียใจ เหมือนประตูปิดใส่เรา เราเจ็บปวด
แต่เมื่อลองวางความคาดหวังลงไปก่อน
มองดีๆจะพบเห็นว่า
แม้เขาไม่ได้รักเราแบบแฟนเหมือนที่เราคาดหวังไว้
แต่เขาก็มีมิตรภาพที่ดีกับเรา เขาเอ็นดูเรา ใส่ใจเรา
ซึ่งประตูความสัมพันธ์ระหว่างเขากับเรา(ที่เหมือนปิดใส่เราจนเราเจ็บตอนนั้น)
ที่จริงมันเปิดอยู่ และ เปิดอยู่ตลอดมา
ตอนแรกที่เราไม่เห็นว่าเปิด
เพราะไม่ตรงกับความคาดหวัง ความต้องการของเรา
เมื่อพิจารณาตามจริงแล้ว ประตูบานนั้นก็เปิดอยู่ตลอดในแบบที่มันจะเปิดได้
เมื่อเราวางความคาดหวังลง
จะเห็นประตูเปิดขึ้นมาอีกหลายๆๆๆๆบานค่ะ
กับตัวเราเองเหมือนกัน
ถ้าเราคาดหวังกับตัวเอง เช่นเราต้องเจ๋งกว่าใครๆๆ
พอเราไม่เจ๋งกว่าใครๆๆ
ก็รู้สึกว่าเราไม่เอาไหน
ประตูบานที่จะภาคภูมิใจในตัวเองก็ปิดลง
ความภูมิใจในตัวเองก็สูญสิ้นไป
แม้ไม่เจ๋งอย่างที่ใฝ่ฝันไว้
แต่เมื่อเราลดความคาดหวังกับตัวเองลง
เราจะเริ่มเห็นสิ่งดีๆในตัวเองอีกหลายๆ อย่างนะคะ
(อย่างที่อาจจะไม่เคยเห็นมาก่อน ทั้งๆที่มีอยู่ตลอดค่ะ)
ประตูความภาคภูมิใจในตัวเองของเราก็จะเปิดขึ้นมา
และอาจมีอีกหลายๆๆบานเปิดด้วยค่ะ
และเมื่อนั้น คุณจะพบช่วงเวลาที่สวยงาม ค่ะ
ขอฝากบทกวีที่เกี่ยวกับ ประตูและความสุขค่ะ
"When one door of happiness closes,another open;but often we look so long at the closed door that we do not see the one which has been opened for us"
"เมื่อประตูแห่งความสุขบานหนึ่งปิดลง อีกบานก็จะเปิดขึ้น แต่บ่อยครั้งเรากลับมองอยู่แต่ที่ประตูที่ปิดนั้นเนิ่นนาน จนไม่เห็นว่ามีประตูอีกบานเปิดรอเราอยู่"
Helen Keller
จากหนังสือความสุข แปลและเรียบเรียง โดย ธนา นิลชัยโกวิทย์และ พรศิริ นีลปัทมานนท์
ขอบคุณนางฟ้านะคะ สำหรับ ข้อความดีๆๆ ที่สื่อมา
"ช่วงเวลาที่สวยงาม Divine timing ความคาดหวัง กับประตูปิด-ประตูเปิด"
ช่วยเตือนสติ และได้ข้อคิดมากมายค่ะ ว่า
ความผิดหวังซ้ำๆๆ นั้น
เกิดจากการเลือกหมกมุ่นอยู่กับ
ความคาดหวังแบบฝันๆๆ และประตูบานที่ปิดไปแล้ว
และ ไม่ใยดีประตูบานที่เปิดอยู่(คือสิ่งดีๆที่มีอยู่)นี่เอง
เพื่อนๆ ลองสำรวจตัวเอง สิ่งต่างๆ และโอกาส รอบๆตัวนะคะ
เพื่อนๆจะพบประตูบานที่เปิดอยู่เต็มไปหมดเลยค่ะ
หวังว่าเพื่อนๆๆ จะมีความสุขกับประตูบานที่เปิดนะคะ