วันนี้ หลังจากจะไปลงคะแนนตามหน้าที่ของพลเมืองที่ดีแล้ว
ผมได้นัดกับผู้ใหญ่บ้านนาฝาย ตำบลหัวเรือ อำเภอวาปีปทุม มหาสารคาม ว่าจะไปหาคน และพื้นที่เลี้ยงวัวควาย เพิ่ม
และมีคนในหมู่บ้านนี้จะขายวัวให้ผม แต่จะรับเป็นผู้เลี้ยงดูต่อไปครับ และผมกะจะหาพื้นที่สำรองเลี้ยงวัวที่หมู่บ้านนี่ครับ
ขนาดครูบาสุทธินันท์มีที่เป็นพันไร่ ก็กำลังจะต้อนวัวไปเลี้ยงประจำที่นา อยู่บนสวนป่าไม่ไหว แห้งแล้ง หญ้าโทรมหมด ไม่พอให้วัวกิน
แล้วผมมีแค่ ๒๐ ไร่ ไม่ดิ้นจะอยู่ได้อย่างไรกับวัวแค่ ๑๑ ตัว ควาย ๖ ตัว ฟางในนาก็โดนขโมยใส่รถไปขาย เกือบหมด เหลือแต่ตอซัง
วัว ๑๑ ตัว ยังมีผู้เสนอให้ความอุปการะ แต่ควาย ๖ ตัว นะซิ มีแต่คนรังเกียจ เขาว่าไม่มีที่จะเลี้ยง
แล้วควายที่น่ารักของผมจะไปอยู่ที่ไหนได้ล่ะครับ
หรือ จะต้องเดินเข้าโรงงานลูกชิ้นก่อนวัยอันควรซะแล้ว
สำหรับเรื่องบ้านนาฝาย หลายท่านที่ติดตามอ่านบันทึกของผมคงทราบดีนะครับ ว่า
เป็นหมู่บ้านชนะเลิศการประกวด “เศรษฐกิจพอเพียงระดับชุมชน ปี ๒๕๔๙” ระดับภาคอีสาน
แต่ เมื่อผมลุยเข้ามาทำงานกับหมู่บ้านนี้แบบไปนั่ง ไปนอนอยู่ในระบบคิดของแต่ละคนในชุมชน
ผมจึงได้เริ่มตระหนักว่า ระบบมะเร็งร้ายของปัญหาหนี้สินระดับครัวเรือน ที่ได้รับการส่งเสริมอย่างขนานใหญ่ ในทุกรัฐบาลที่ผ่านมา ก็ยังคงระบาดเข้ามาที่หมู่บ้านนี้ แบบไม่มีข้อยกเว้น
การทำงานแบบคลุกวงในอย่างที่ผมทำอยู่จึงรู้อะไรลึกๆครับ
นี่พูดกันถึงระดับหมู่บ้านชนะที่หนึ่งระดับภาคอีสานนะครับ หมู่บ้านอื่นๆ หนักกว่านี้ครับ
และวันนี้ ผมจะไปดูว่า จะมีที่ให้วัว ควายผมอยู่ไหม จะเลี้ยงได้ไหม
จะเห็นกึ๋นกันจริงๆ ลึกๆ มากขึ้นไปอีกครับ
ครูบาบอกผมว่า
“เรื่องการปลูกข้าว ทำนาไม่ไถ ไม่ดำ ไม่หว่าน ของอาจารย์ทำให้ข้อมูลชัดขึ้นมากแล้ว เรื่องอาชีพอื่นนี่แหละน่าสนใจที่สุด เพื่อจะตอบคำถามว่า..คนอีสานยุคนี้ควรจะทำมาหากินอะไร หรือว่ามันหมดอาชีพ หรือว่าต้องปรับปรุงอาชีพ อย่างไร”
ผมจึงเรียนท่านว่า ผมจะเล่นเรื่อง วัว และ ควาย เสริมกำลังชนบท
เป็นการหาทางออกสารพัดเรื่อง เช่น
สามารถลดการพึ่งภายนอกให้เหลือน้อยที่สุด
แต่ ปัญหาที่พบโดยทั่วไปคือ
ทั้งๆที่เงินไม่เคยอยู่กับใคร ระดับมหาเศรษฐียังเอาไปฝากธนาคาร หรือไม่ก็ฝังดิน (ซื้อที่) ไว้เลยครับ
และวันนี้ ผมอยากทราบว่าในชุมชน ยังมีที่เหลือให้วัวควาย อยู่อาศัยแบบพึ่งพา กันอย่างแท้จริง บ้างไหมครับ
หรือถึงเวลาแห่งการสูญพันธุ์เสียแล้ว
เป็นเรื่องเศร้าๆ (พอๆกับการเลือกตั้ง) รับปีใหม่ ครับ
สวัสดีครับ อาจารย์
สวัสดีค่ะ
ดีใจที่อาจารย์ไปใช้สิทธิแต่เช้า
ตอนแรก ว่าจะไม่เขียนบันทึกอะไรที่เกี่ยวกับการเมือง กลัวตัวเองจะหลุด
แต่เรื่องนี้ เป็นเรื่อง การช่วยกันส่งเสริมประชาธิปไตย ซึ่งเป็นเรื่องสำคัญมาก ก้เลยอยากจะมีส่วนในการ ช่วยกันรณรงค์น่ะค่ะ ใครจะเลือกใครเป็นสิทธิ์ของเขา
กลับมา เรื่องควาย
เมื่อ 50 ปีที่ผ่านมา ชาวนาไทยไถนา คราดนาและนวดข้าวด้วยควาย แต่สมัยนี้พวกเขามีรถไถ หรือไม่ก็จ้างรถของคนอื่นเสียเป็นส่วนมาก ควายหายไปจากทุ่งนาเกือบหมดสิ้น ไม่ทิ้งอึไว้เพื่อใช้ทำปุ๋ยอีกแล้ว
ปุ๋ยเคมีเข้ามาแทนที่ปุ๋ยคอกพร้อมๆ กับสารเคมี
หมดหน้านา ชาวนาไม่เข้าป่าตัดไถหรือเสาะหาหวายและเครือมาขวั้นเชือกกันอีก แต่จะไปทำงานรับจ้าง บางคนก็เลี้ยงไก่ให้บริษัทใหญ่ๆ ส่วนพวกที่ไม่มีอะไรทำก็แสวงหาการบันเทิง เล่นการพนันและเตร็ดเตร่เพื่อฆ่าเวลาไปเรื่อยๆ
ควายจึงไม่ค่อยมีความสำคัญไปเรื่อยๆค่ะ
ขอสนับสนุนความคิดท่านอาจารย์เต็มที่ค่ะ
ขอบพระคุณนะคะ จะนำแนวความคิดนี้ไปปรับใช้
ที่เมืองสุขุมา ประเทศลาว องค์การทำโครงการรายได้ จาก วัว ควาย เลี้ยงโดยชาวบ้านยากจนคะ
เป็นกำลังใจให้ท่านอาจารย์ และรักษาสุขภาพนะคะ
ขอบคุณครับพันธมิตร
วันนี้ทำงานทั้งวันครับ หนัก แต่ยังไหวครับ
เรื่องควายนั้น ผมอยากเห็นว่ายังอยู่ในระบบครับ
ผมก็ยอมรับว่า กำลังฝืนกระแสแบบสุดๆ
หวังว่าสักวันลมจะพัดมาทางนี้ครับ
แล้วควายจะได้มีที่อยู่จริงๆเสียทีครับ
อย่ามองเห็นควายเป็นแค่วัตถุดิบทำลูกชิ้นเลยครับ
(นี่เป็นหน้าที่ของควายในสังคมไทยที่เหลือ)
และผมเก็บข้อมูลมาแล้วว่า ๙๐% กว่าของลูกชิ้นเนื้อวัวแท้ๆ นั้น ทำจากเนื้อควายครับ
ควายมีอะไรๆ ดีกว่ามากกว่านั้นมากมายครับ
สวัสดีค่ะ
ระบบเกษตรแผนใหม่ภายใต้กระบวนทัศน์ทุนนิยมและบริโภคนิยมที่มีรากมาจาก "กิเลสนิยม" ได้เปลี่ยนผ่านชีวิตของผู้คน... ทั้งวิธีคิดและวิถีชีวิต
ปรากฏการณ์อย่างที่อาจารย์เล่าเกิดขึ้นหลายสิบปีที่แล้วในพื้นที่เขตภาคกลางค่ะ ระบบชลประทานที่ทำให้เราทำนาได้หลายครั้ง การใช้ที่ดินในลักษณะเข้มข้นทำให้วัว/ความสูญหายไป มีแต่ "ควายเหล็ก"เข้ามาแทนที่ ...ทฤษฎีการเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตเป็นจริง หากแต่ได้ทำให้ระบบนิเวศน์เสื่อมสูญความสมดุลย์ เกิดการพึ่งพิงปัจจัยภายนอก ขาดอธิปไตย อีกทั้งภายใต้โครงสร้างทางสังคมที่เป็นอยู่ชาวนาภาคกลางที่ทำนาได้หลายครั้งต่อปีกลับมีตัวเลขรายรับรายจ่ายที่ทำใหเป็น "หนี้" มากกว่าทุกภาค
เมื่อสี่ห้าปีที่แล้ว ตุ้มลงพื้นที่ที่นครปฐม ตามดูควายฝูงสุดท้ายที่เหลือ... รอบ ๆ บ้านที่เลี้ยงควายฝูงสุดท้ายนี้ มีแต่บ้านจัดสรร...
พื้นที่ภาคกลางที่อุดมสมบูรณ์เพราะเป็นพื้นที่ตะกอนดินทับถมยาวนาน เป็น "อู่ข้าวอู่น้ำ"ของสังคมไทย...วันนี้ที่หมู่บ้าน เหลือแต่ผู้เฒ่านั่งเลี้ยงหลานตัวน้อย คนวัยทำงานมุ่งสู่การเป็น "มนุษย์เงินเดือน" ทิ้งถิ่นฐานเรือกสวนไร่นา ...รัฐคิดแต่โครงการพัฒนาเชิงอุตสาหกรรมและพาณิชย์ ภาคเกษตรตามแนวทางที่รัฐพัฒนาไม่เคยเห็นคุณค่าชีวิตคน
คงต้อง "เข้าใจ" และ "ทำใจ" นะคะ โลกก็เปลี่ยนแปลงตามเหตุปัจจัย...เราทำดีที่สุดเท่าที่จะทำได้ และมีความสุขกับทุกสิ่งที่ทำ... ใช่ไหมคะ
คนรักเงินมากกว่ารักควาย เพราะคนไม่รู้ว่าควายน่ารักและฉลาดกว่าคนบางคน
ถ้าอาจารย์ไม่มีที่เลี้ยงจริง ๆ ....เอามาฝากที่กำแพงแสนได้ค่ะ จะหาคนช่วยดูแลให้เจ้าควายน้อยอยู่อย่างมีความสุขค่ะ
เป็นกำลังใจให้อาจารย์ค่ะ
เมื่อวานผมไปยุให้กลุ่มเกษตรกรที่นาฝาย มหาสารคามฮึดสู้ อนุรักษ์วิถีของควายไว้ให้ได้
ช่วยเหลือประเทศไทย และควายหน่อย
ไม่ทราบจะได้ผลไหม
แต่ก็พยายามแล้วครับ
แล้วจะมารายงานให้ทราบ ในโอกาสต่อๆไปครับ
ขอบคุณครับ
พรใดๆที่ดี จงนำสู่ท่าน ตลอดปีใหม่เช่นกันครับ
สวัสดีครับท่าน ดร.แสวง (คนบ้านเอ๋ง)
ขอบคุณครับ
สวัสดีปีใหม่2551 ค่ะอาจารย์ ขอให้อาจารย์และครอบครัวมีสุขภาพที่แข็งแรง มีความสุขกาย สุขใจตลอดไป ทำอะไรก็ขอให้สมปรารถนาในทุกสิ่ง รักษาสุขภาพด้วยนะคะ
สวัสดีครับท่านอาจารย์ ดร.แสวง
สวัสดีปีใหม่ค่ะ
อาจารย์เป็นคนพยายามนำศักยภาพใน ตัวเอง ไปทุ่มเทในการทำความดีแล้ว ก็จะทำให้ไม่มีเวลาที่จะไปโน่นนี่ ที่ไม่ได้ประโยชน์อะไร
มีแต่เวลาสำหรับการคิดดี พูดดี ทำดี แล้วสิ่งที่จะได้ตามมาก็คือ อาจารย์จะได้ผลแห่งความดี นั้น หรือว่าได้ความเจริญรุ่งเรืองตอบแทนมา ไม่ทางใดก็ทางหนึ่งค่ะ
สวัสดีปีใหม่ครับ
สุข สดชื่น สมหวัง จงมีแด่ท่านตลอดปี ตลอดไป
สวัสดีปีใหม่นะครับ ดีใจด้วยนะครับวันนี้ที่ได้เห็นคลิปทีวี น่าชื่นชมและทำต่อไปนะครับ
เจอกันวันหน้าขอเมนูนี้นะครับ
ขอบคุณมากครับ
ลืมบอกไปว่า หนิงมาแอบขโมยรูปใน ไฟล์อัลบั้มของอาจารย์ด้วยหละค่ะ อิอิ