ผมไม่ได้เจอข่าวนี้เองหรอกครับ คุณ lew แห่ง blognone เขียนข่าวภาษาไทยไว้
ตามสไตล์ของตามใจฉัน ซึ่งชี้ไปที่ต้นทางและไม่แปล งานนี้ก็ไม่แปลเช่นกันครับ
เรื่องนี้เกิดในอังกฤษครับ VAT เขาบางอย่างเก็บ 17.5% บางอย่างไม่เก็บเหมือนบ้านเรา (คือบ้านเราเหมือนบ้านเขาแม้แต่ชื่อ VAT)
VAT ปกติของบ้านเราอยู่ที่ 10% นะครับ ตอนนี้เป็นช่วงโปรโมชั่น ลดเหลือ 7% แต่ทำมาหลายปีแล้ว จนเรามักจะไปคิดว่า 7% นี้คือระดับปกติ
แล้วทำไมเราไม่เก็บภาษีอาหารที่ทำลายสุขภาพ ก่อให้เกิดความเสี่ยงเกี่ยวกับ chronic diseases (ซึ่งจะเป็นภาระกับระบบประกันสุขภาพ และการดูแลในระยะยาว) ให้สูงขึ้นเพื่อเป็นการ discourage คนกิน แถมรัฐยังได้ภาษีมากขึ้นด้วย
อยู่กรุงเทพฯ อยากกินก็ได้กิน มีตัง 35 บาทก็พอ (เผื่อกินโค้กด้วย) อยู่ไกลปืนเที่ยงกินกล้วยกินมัน ประทังชีวิตไปวันๆ
ถ้าเราเก็บภาษีอาหารทำลายสุขภาพ ผมอาจจะกินบะหมี่ชาม 50 บาท? หมูแดงพอลงน้ำสีตกเห็นๆ กินแล้วหิวน้ำแสบปาก ท้องเสีย แต่ก็อร่อยดีนะครับ :-P
ถ้ามีบะหมี่เกี้ยวราคาถูกเพื่อสุขภาพและอร่อยด้วยคงดี. อาจจะเอาภาษีที่เก็บข้าวขาหมูมาอุดหนุน?
ความจริงผมไม่ได้คิดจะเสนอให้เก็บภาษีอาหารทำลายสุขภาพหรอกครับ ภาษีแบบนั้นน่าจะเป็นภาษีสรรพสามิต ซึ่งเหมาะสำหรับพวกโรงงานอุตสาหกรรมที่รัฐเรียกเก็บจากสิ่งที่รัฐเห็นว่าควรเก็บเพิ่มเพราะเป็นสิ่งที่ไม่จำเป็นสำหรับชีวิต (เช่นรถยนต์ น้ำอัดลม เครื่องดื่มมีแอลกอฮอล์เป็นต้น)
ผมคิดถึง VAT ครับ
อัตราภาษีมูลค่าเพิ่มในปัจจุบัน อยู่ที่ 6.3% แต่มีภาษีมูลค่าเพิ่มของราชการบริหารส่วนท้องถิ่นที่จัดเก็บเพิ่มอีก 0.7% (อัตรา 1 ใน 9 ของภาษีมูลค่าเพิ่ม) รวมเป็น 7%
ผู้ประกอบการรายเล็ก ที่มียอดขายไม่ถึง 1.8 ล้านบาท ต่อปี (ยอดขายเฉลี่ยไม่เกิดวันละ 4,931.50 บาท) ก็ไม่ต้องเสีย VAT
ผมไม่เห็นด้วยกับการเก็บภาษีจากที่หนึ่ง แล้วนำมาอุดหนุนอีกที่หนึ่งในลักษณะที่ใกล้เคียงกันครับ
สำนักงานกองทุนสร้างเสริมสุขภาพ (สสส) เก็บภาษีเหล้า-บุหรี่ แล้วเอามาทำเว็บ บางโครงการแรกก็แปลกดีเหมือนกัน แต่ช่วงหลังๆ มานี้ รัดกุมขึ้นมาก
เอาเป็นว่า ตอนนี้อยากกินก็รีบกิน ก่อนที่จะมี พรบ.ว่าด้วยความผิดของหมูแดง ออกมานะครับ
แวะอ่านบล๊อกของคุณหมอวัลลภบ้าง อ้าว เขียนเรื่องเดียวกันเลย แต่ผมเขียนก่อนนะ