แนะนำให้อ่านบันทึกอ.หมอวัลลภต่อค่ะท่านเขียนสรุปเรื่องการแปรงฟัน ใช้ไหมขัดฟันไว้ดีแล้ว
----------------------------------------
วันนี้มีโพยมาให้ค่ะ เผื่อเอาไว้เทียบ
พวกที่ 1: น้ำมันสะกัดจากพืช (essential oil) เช่น เมนทอล, thymol, menthyl salicylate, pepermint, clove, eucalyptol พวกนี้มีกลิ่นหอมและฆ่าเชื้อแบคทีเรียในช่องปากและบนคราบจุลินทรีย์ที่เกาะบนฟัน
พวกที่ 2: ยาฆ่าเชื้อแบคทีเรีย เช่น chlorhexidine gluconate, hexetidine, benzalkonium chloride, cetylpyridinium chloride, hydrogen peroxide, tricosan
พวกที่ 3: ฟลูโอไรด์ (Fluoride) ช่วยป้องกันฟันผุ หรือ รักษารอยผุเบื้องต้นที่ยังไม่เป็นรู แต่เป็นสีขาวขุ่นๆ
พวกที่ 4: มีสาร zinc ion, zinc chloride (ZnCl2) แก้ปัญหากลิ่นปาก ทำหน้าที่เปลี่ยนสภาพสารระเหยซัลเฟอร์ (volatile sulfur compound) ให้กลายรูปไปไม่ให้เป็นสารระเหยเหม็นๆอีกต่อไป
พวกที่ 5: มีตัวยาที่ไม่ได้ใช้กันในชีวิตประจำวันเช่น Povidone-iodine ทำหน้าที่ฆ่าเชื้อแบคทีเรีย เชื้อรา โปรโตซัว หรือ ยา Mycostatin, Nilstat ทำหน้าที่ฆ่าเชื้อรา (ตัวนี้อมแล้วกลืน ต่างจากตัวอื่นที่ให้บ้วนทิ้ง) หรือ allopurinol บรรเทาอาการแผลในปากจากการฉายรังสี/เคมีบำบัด
----------------------------------------
ยังมีอีกหลายตัวค่ะ โดยเฉพาะยาสมุนไพร ทั้งไทยทั้งเทศ วันนี้ขอละเอาไว้ก่อน เล่าให้ฟังเฉพาะชนิดที่มีงานวิจัยรับรองแล้วก่อนนะคะ
ผลวิพากษ์งานวิจัยสรุปไว้ว่า
----------------------------------------
โดยทั่วไปไม่ว่าเป็นชนิดไหน มักจะใช้วันละ 2 ครั้ง คู่ไปกับการแปรงฟันและใช้ไหมขัดฟัน ให้ใช้เป็นประจำ ยกเว้นยาพวกที่หมอสั่งเฉพาะ
เนื่องจากน้ำยาบ้วนปากมีหลายชนิดมาก ถ้าเขียนแล้วงงก็ถามได้ค่ะ กฎทองคือให้อ่านข้างขวดดีๆแล้วก็ ทำตามที่หมอและหมอฟันประจำตัวสั่งค่ะ
----------------------------------------
อ้างอิง:
Cochrane Database of Systematic Reviews
ขอบคุณมากครับคุณ มัทนา
ได้ความรู้และเป็นประโยชน์มากเลยครับ เพราะปกติเวลาซื้อก็ดูฉลากเปรียบเที่ยบ แต่แล้วก็ไม่ได้อะไร เพราะไม่รู้ว่าส่วนผสมต่างๆมันคืออะไร/เอาไว้ทำอะไร ....ทำให้ต้องพึ่งแต่โฆษณา (ขึ้นอยู่กับอทธิพลของหนังโฆษณา) อย่างเดียวครับ.....
สวัสดีค่ะอาจารย์มัทนา
mr. join_to_know, ajarncath phamui: ขอบคุณค่ะ ดีใจมากค่ะที่เห็นว่าบันทึกมีประโยชน์ : )
พี่หมอนนท์ (เพื่อนร่วมทาง): ได้รายชื่อกรมอนามัยมานี่ช่วยได้เยอะมากๆค่ะพี่ ไว้จะรออ่านเรื่อง logo แปรงติดดาวนะคะ : )
ขอบคุณมากค่ะ บันทึกนี้นอกจากจะมีประโยชน์ในด้านการแพทย์แล้ว ยังมีประโยชน์ด้านสิ่งแวดล้อมด้วยค่ะ ดิฉันทำงานด้านสิ่งแวดล้อมกำลังหาทางบำบัดน้ำเสียของน้ำยาบ้วนปากที่ไม่ได้ เสป็ค และหมดอายุพอดี (^_^)
น่าสนใจมากเลยค่ะคุณกัญญา ถ้ามาเวลารบกวนแวะมาแลกเปลี่ยนกันต่อนะคะ ว่าสารอะไรที่เป็นโทษกับสิ่งแวดล้อมบ้าง แล้งระบบบำบัดเป็นอย่างไร น่าสนใจมากค่ะ
ขอเพิ่มเติม เรื่องสารระงับกลิ่นปาก มีชื่อว่า Catechin พบในชาเขียว เป็นสารที่ไปทำปฏิกิริยากับ Mercaptan หรือสารประกอบพวก sulfur ที่มีอยู่ในปากและน้ำลายของเรา ทำให้ไม่มีกลิ่นปากได้
การใช้ยา chlorhexidine บ้วนปากนาน 2 สัปดาห์ ทำให้ช่องปากและฟันมีสีเปลี่ยนได้ เมื่อเลิกใช้สักระยะหนึ่งก็จะหายครับ
ยา Triclosan ปัจจุบันในอเมริกา ถูกห้ามใช้ผสมในน้ำยาล้างมือ เพราะจะทำให้เกิดมะเร็งผิวหนัง แต่ในน้ำยาบ้วนปากยังไม่ทราบว่าห้ามหรือเปล่าครับ
อยากเรียนถามอาจารย์ว่า ในทางวิชาการ การเปรียบเทียบว่าน้ำยาบ้วนปากยี่ห้อไหนมีประสิทธิภาพดีกว่ากัน เขานิยมใช้อะไรเป็นตัวบ่งชี้ครับ เช่น การเทียบปริมาณ Plaque การเทียบค่า MIC ในการฆ่าเชื้อ ...... ฯลฯ ขอบคุณครับ
ตัว outcome นั้น ยิ่งเป็น surrogate end point ยิ่งไม่น่าจะเป็นประโยชน์ค่ะ (เช่น Plaque หรือ จำนวนเชื้อ)
ถ้าเป็น outcome ไกลๆ เช่น การอักเสบของเหงือก รอยโรคฟันผุ หรือ การสูญเสียฟันไปเลยน่าจะดีกว่า
หรือการมีกลิ่นปากวัดสาร Volatile Sulphur Compounds ก็ยังดีกว่าวัดจำนวนเชื้อหรือ plaque ค่ะ
ก็เลือกใช้ index ที่มีความหมายทางคลินิกไปเลยจะดีกว่า [= direct practical importance]
แต่ก็ใช้ surrogate end point ก็เก็บข้อมูลง่ายและเร็วค่ะ ก็ขึ้นอยู่กับกรอบเวลาที่จะทำการศึกษาด้วยค่ะ
- มัทนา
ปล. tricosan ยังมีทั้งในยาสีฟันและน้ำยาบ้วนปากหลายยี่ห้อค่ะ
ขอบคุณมากๆค่ะ อาจารย์ที่รวบรวม และมาสรุปให้ได้อ่านกัน ได้ความรูมากค่ะ
เพราะตอนแรกไม่รู้จะเชื่อ references ไหนดี (เพราะไม่แน่ใจว่ามีเรื่องการตลาดมาเกี่ยวของรึเปล่าค่ะ) อิอิ
เบน
บันทึกนี้ไม่ update นะ เพราะพี่ไม่ได้เขียนถึง cetylpyridinium chloride (CPC) หรืออะไรที่มันไม่ได้อยู่ใน review ปีนั้้น ต้องคอยตาม study อีกที
เคยซื้อน้ำยาบ้วนปากหลังอาหาร มีส่วนประกอบ chloroxylenol อยากทราบว่ามีคุณสมบัติอย่างไร ซื้อจากแผนกเภสัชกรรม ศิริราช