ยิ้มอย่างเป็นมิตรบ้างก็ยังดี เผื่อโลกกว้างที่เดียวดายจะกลายมาเป็นโลกแคบที่อบอุ่นขึ้นมาบ้าง
(๑)
กรุงเทพฯ -
ผมมาถึงมหานครกรุงเทพฯ เมื่อก่อนรุ่งสางของวันนี้ (29 มิถุนายน) ผมใช้เวลาพักใหญ่ ๆ กับการนั่งดูผู้คนหลากหลายที่หมอชิต ผมไม่รู้ว่าใครกำลังเดินทางออกจากเมืองใหญ่, ใครกำลังพาชีวิตเข้ามาเสี่ยงโชค, หรือใครกำลังรอรับใครสักคน ?
ชีวิตของคนเรา ไฉนเลยเต็มไปด้วยการเดินทางอย่างมหาศาลเช่นนี้ จะทั้งในโลกความเป็นจริงหรือแม้แต่ในโลกของความฝัน เราต่างก็ยังต้องเดินทางไล่ล่าความฝันอย่างไม่รู้จบ
ผู้คนมากมายที่นั่งชิดกันแบบไหล่ชนไหล่บนม้านั่งที่กระจายตัวตามหมอชิต แต่เป็นที่น่าสังเกตว่าพวกเขากลับไม่ใคร่เอ่ยปากพูดคุยถามไถ่กันเท่าใดเลย หรือหากจะเรียกว่าไม่ถามไม่ทักกันเลยก็คงไม่ผิดนัก -
(๒)
ผมหวนย้อนกลับไปห้วงเวลาของการเดินทางในค่ำคืนที่คล้อยมา ผมนั่งชิดกับหญิงสาวท่านหนึ่ง เธอสวยและน่ารักอย่างที่ผู้หญิงคนหนึ่งพึงมีอย่างครบครัน ... ระยะทางร่วม 500 กว่ากิโลเมตรจากมหาสารคามมายังกรุงเทพฯ ต้องใช้เวลาการเดินทางกว่า 7 ชั่วโมง
ผมมีหนังสือติดตัวเล่มหนึ่ง, คือ "ม้าก้านกล้วย" อันเป็นกวีนิพนธ์ของพี่ไพวรินทร์ ขาวงาม หนังสือเล่มนี้สะท้อนภาพของคนหนุ่มจากชนบทที่ท่องทะยานสู่เมืองใหญ่ด้วยม้าก้านกล้วย ... (ผมชอบอ่าน เพราะเออออไปเองว่า ตนเองเป็นหนึ่งในตัวละครนั้น)
(๓)
ผมพยายามอยู่ไม่น้อยที่จะเอ่ยคำทักทายต่อหญิงสาวท่านนั้น แต่ก็ดูเหมือนว่าอะไรต่อมิอะไรจักไม่เป็นใจให้เสียเลย ขณะที่เธอเองก็คุยโทรศัพท์เง้างอนกับคนรักที่อยู่กรุงเทพฯ อย่างไม่ขาดห้วง บางห้วงดูเหมือนชื่นรัก หากแต่บางช่วงหม่นงอนกันอย่างน่าชัง !
ใยคนเราพร่ำเพ้อโลกส่วนตัวของตนเองต่อสาธารณชนได้เพียงนี้ ... ผมรำพึงรำพันกับตนเองราวกับคนชราขี้บ่น แต่เมื่อนึกขึ้นได้ว่าผมเองก็เถอะ ยังเปิด "เปลือยความสุข" ของตนเองในบล็อกอย่างโจ่งแจ้ง (แล้วใยจะต่างจากเธอเสียที่ไหนเล่า -)
นั่นนะสิ ... ผมหันกลับมาโขกสับตนเองอีกครั้ง
(๔)
ผมเตรียมคำถามไว้ในใจว่าจะถามอะไรเธอบ้าง .. เท่าที่เตรียมไว้ก็คือ "จะไปไหนครับ, เรียนที่ไหน, เป็นคนจังหวัดอะไร ?" เต็มที่ก็เท่านี้แหละครับ แต่ยืนยันได้ว่าไม่มีคำถามนี้แน่ "จะรังเกลียดมั๊ย ถ้าผมจะขอเบอร์โทรศัพท์ ?"
ผมอยากคุยกับเธอบ้าง อย่างน้อยก็คนที่นั่งข้าง ๆ กันก็ควรที่จะทักขานกันบ้างมิใช่เหรอ หรือไม่ก็ยิ้มอย่างเป็นมิตรบ้างก็ยังดี เผื่อโลกกว้างที่เดียวดายจะกลายมาเป็นโลกแคบที่อบอุ่นขึ้นมาบ้าง
ผมไม่มีโอกาสได้ขานทักเธอด้วยถ้อยคำใด ๆ แต่ก็ทำหน้าที่ของผู้ร่วมชะตากรรมการเดินทางเดียวกันกับเธออย่างไม่บกพร่อง ไม่ว่าจะเป็นการยื่นกล่องอาหารว่าง, น้ำขวด และผ้าเย็นให้กับเธออย่างสงบเงียบ อีกทั้งยังพยายามนอนไม่ให้ไถลไปซบไหล่ของเธอ จะมีก็แต่เธอนั่นแหละที่เป็นฝ่ายเอนมาซบไหล่ผมอยู่นับครั้งไม่ถ้วน และผมก็ทำได้แต่เฉยและเฉย เพราะเกรงว่าเธอจะผวาตื่นขึ้นมาอย่างตกใจ -
(๕)
การได้อยู่ใกล้ชิดกันถึงเพียงนี้ แต่กลับไม่ได้เอ่ยทักทำความรู้จักกันเลยนั้น ยิ่งดูเหมือนว่าโลกทั้งโลกช่างแคบและอึดอัดอย่างน่าหงุดหงิด แหละผมก็อดคิดไม่ได้ว่า "มนุษย์เราก็ช่างเป็นสัตว์โลกที่แปลกเปลี่ยวและน่าสงสารเสียเหลือเกิน"
ในวิถีที่สัญจรร่วมกันอย่างไม่รู้จบ เราเดินเบียดไหล่และชนไหล่กันนับครั้งไม่ถ้วน แต่ก็ดูเหมือนว่าเราต่างไม่มีเวลาพอที่รู้จักกันได้เลย หรือเพราะแต่ละคนเพียงพอแล้วต่อมิตรที่มีอยู่ หรือเพราะแต่ละคนหวาดระแวงต่อมิตรภาพอันแสนธรรมดาที่ไม่ธรรมดาของมนุษย์โลก -
เราต่างมีจุดหมายปลายทางที่อาจเหมือนและต่างกันได้ตามวิถีแห่งความฝัน, จุดหมายปลายฝันนั้นย่อมมีใครสักคนที่รอเราอยู่ที่นั่น แต่นั่นก็ไม่ได้หมายถึงว่าเราจะดุ่มเดิน หรือแม้แต่วิ่งและก้าวกระโดดไปสู่จุดหมายนั้นอย่างบ้าคลั่งและเย็นชาต่อเรื่องราวรายรอบตัว
ผมไม่ปฏิเสธว่า จุดหมายปลายทางนั้นสำคัญก็จริง, แต่ก็คงไม่มีความจำเป็นใด ๆ ที่เราจะต้องละทิ้งซึ่งเรื่องราวระหว่างทางเดินนั้น ๆ
ครับ, ผมเพียงแต่กำลังจินตนาการว่า หากจุดหมายเป็นเหมือนทุ่งดอกไม้อันรื่นรมย์ แต่ก็ต้องไม่ลืมว่า ระหว่างทางนั้นก็ย่อมมีดอกหญ้านานาชนิดเช่นกันที่เรียงรายชูใบล้อลมเล่นและทักทายเราอย่างอ่อนโยน และดอกหญ้าเหล่านี้นั่นแหละที่จะช่วยให้การเดินทางของเราดูไม่แห้งผากและแล้งไร้ซึ่งความเป็น "ชีวิต"
ครับ, เราอาจมีโลกส่วนตัวของตนเองอย่างลึกเร้น เราอาจจะรีบเร่งต่อวันและคืนอย่างบ้าคลั่ง เราอาจจะหวาดระแวงต่อมิตรภาพในโลกแห่งวัตถุเงินตรา หรือเราอาจจะหวาดระแวงว่าโลกส่วนตัวของเราจะทำร้ายผู้อื่นมากจนเกินไป จนต้องตัดสินใจลั่นกลอนประตู (ใจ) อย่างแน่นหนา ...... ก็เป็นได้
(๖)
อย่างไรก็เถอะ, ผมก็อดไม่ได้ที่จะขอบคุณเธอในใจอย่างเงียบ ๆ ถึงแม้การนิ่งเงียบบนรถแห่งการเดินทางครั้งนี้จะทำให้ผมรู้สึกอัดอัดอยู่บ้าง กระนั้นก็ยังช่วยให้ผมได้ฉุกคิดถามตนเองอย่างจริงจังว่า "ในแต่ละวันของการทำงาน ผมพบพาน และทักทายเพื่อนร่วมงานครบถ้วนกันบ้างหรือเปล่า .."
(๗)
ทันทีที่รถเข้าเทียบชานชลาหมอชิต ผมลุกออกจากที่นั่ง ก้าวออกมาเพื่อเป็นสัญญาณให้เธอรู้ว่า "เชิญครับ" ... และเธอก็ก้าวออกมาอย่างว่าง่าย จากนั้นก็ดุ่มเดินออกหน้าไปอย่างรีบเร่ง โดยไม่แยแสต่อรอยยิ้มที่มุมปากของชายที่ยิ้มยากอย่างผม !
กระนั้น, ผมก็ยังยิ้มให้กับเธอ ยิ้มให้กับความเป็นมนุษย์โลก ยิ้มให้กับความน่ารักที่โลกสู้อุตส่าห์สร้างมาประดับไว้ที่ตัวเธอ ยิ้มให้กับเธอผู้ซึ่งเป็นเพื่อนร่วมทางที่ย้ำให้ผมได้คิดถึงคนรอบข้างในเส้นทางของชีวิต
ผมหวังว่าเธอคงได้พบชายคนรัก (ที่รออยู่ปลายทางฝั่งฝันดังที่วาดหวัง)
สำหรับผมแล้วยังคงมีความสุขที่จะยิ้มให้เธออย่างเงียบ ๆ เพราะเธอคือผู้สร้างเรื่องราวระหว่างทางให้ผมได้ขบคิดอย่างน่าอัศจรรย์
นั่นนะสิ ... หรืออาจจะเป็นเพราะว่าผมขี้เหร่ และรูปหน้าออกไปในทาง "ผู้ร้าย" หรือไรเล่า เธอถึงได้ลั่นกลอนปิดประตูแห่งมิตรภาพเสียแน่นหนา -
(ช่างเถอะ , ผมอภัยให้เธอ, พอ ๆ กับอภัยให้ความขี้ริ้วขี้เหร่ของตนเอง )
......
ร้านเน็ต, สะพานควาย
ผู้คนพลุกพล่านแต่แปลกหน้า
กรุงเทพฯ
๒๙ มิถุนา ...