การเดินทางอันแปลกเปลี่ยว ... (บางห้วงตอนของชายหนุ่มผู้เป็นเสมือนชายชราที่ขี้บ่น)


ยิ้มอย่างเป็นมิตรบ้างก็ยังดี เผื่อโลกกว้างที่เดียวดายจะกลายมาเป็นโลกแคบที่อบอุ่นขึ้นมาบ้าง

(๑)

กรุงเทพฯ -

ผมมาถึงมหานครกรุงเทพฯ   เมื่อก่อนรุ่งสางของวันนี้  (29  มิถุนายน)   ผมใช้เวลาพักใหญ่ ๆ  กับการนั่งดูผู้คนหลากหลายที่หมอชิต   ผมไม่รู้ว่าใครกำลังเดินทางออกจากเมืองใหญ่,  ใครกำลังพาชีวิตเข้ามาเสี่ยงโชค,  หรือใครกำลังรอรับใครสักคน ?

 

ชีวิตของคนเรา  ไฉนเลยเต็มไปด้วยการเดินทางอย่างมหาศาลเช่นนี้   จะทั้งในโลกความเป็นจริงหรือแม้แต่ในโลกของความฝัน  เราต่างก็ยังต้องเดินทางไล่ล่าความฝันอย่างไม่รู้จบ

 

ผู้คนมากมายที่นั่งชิดกันแบบไหล่ชนไหล่บนม้านั่งที่กระจายตัวตามหมอชิต    แต่เป็นที่น่าสังเกตว่าพวกเขากลับไม่ใคร่เอ่ยปากพูดคุยถามไถ่กันเท่าใดเลย   หรือหากจะเรียกว่าไม่ถามไม่ทักกันเลยก็คงไม่ผิดนัก -

 

(๒)

 

ผมหวนย้อนกลับไปห้วงเวลาของการเดินทางในค่ำคืนที่คล้อยมา   ผมนั่งชิดกับหญิงสาวท่านหนึ่ง    เธอสวยและน่ารักอย่างที่ผู้หญิงคนหนึ่งพึงมีอย่างครบครัน  ...   ระยะทางร่วม 500  กว่ากิโลเมตรจากมหาสารคามมายังกรุงเทพฯ  ต้องใช้เวลาการเดินทางกว่า 7 ชั่วโมง

 

ผมมีหนังสือติดตัวเล่มหนึ่ง,  คือ  "ม้าก้านกล้วย"  อันเป็นกวีนิพนธ์ของพี่ไพวรินทร์  ขาวงาม   หนังสือเล่มนี้สะท้อนภาพของคนหนุ่มจากชนบทที่ท่องทะยานสู่เมืองใหญ่ด้วยม้าก้านกล้วย ...  (ผมชอบอ่าน  เพราะเออออไปเองว่า  ตนเองเป็นหนึ่งในตัวละครนั้น)

 

(๓)

 

ผมพยายามอยู่ไม่น้อยที่จะเอ่ยคำทักทายต่อหญิงสาวท่านนั้น   แต่ก็ดูเหมือนว่าอะไรต่อมิอะไรจักไม่เป็นใจให้เสียเลย   ขณะที่เธอเองก็คุยโทรศัพท์เง้างอนกับคนรักที่อยู่กรุงเทพฯ  อย่างไม่ขาดห้วง   บางห้วงดูเหมือนชื่นรัก  หากแต่บางช่วงหม่นงอนกันอย่างน่าชัง ! 

 

ใยคนเราพร่ำเพ้อโลกส่วนตัวของตนเองต่อสาธารณชนได้เพียงนี้ ...  ผมรำพึงรำพันกับตนเองราวกับคนชราขี้บ่น   แต่เมื่อนึกขึ้นได้ว่าผมเองก็เถอะ   ยังเปิด  "เปลือยความสุข"  ของตนเองในบล็อกอย่างโจ่งแจ้ง  (แล้วใยจะต่างจากเธอเสียที่ไหนเล่า  -)

 

นั่นนะสิ ...  ผมหันกลับมาโขกสับตนเองอีกครั้ง

 

(๔)

 

ผมเตรียมคำถามไว้ในใจว่าจะถามอะไรเธอบ้าง ..  เท่าที่เตรียมไว้ก็คือ  "จะไปไหนครับ,  เรียนที่ไหน,  เป็นคนจังหวัดอะไร ?"   เต็มที่ก็เท่านี้แหละครับ    แต่ยืนยันได้ว่าไม่มีคำถามนี้แน่  "จะรังเกลียดมั๊ย ถ้าผมจะขอเบอร์โทรศัพท์ ?"

 

ผมอยากคุยกับเธอบ้าง   อย่างน้อยก็คนที่นั่งข้าง ๆ กันก็ควรที่จะทักขานกันบ้างมิใช่เหรอ   หรือไม่ก็ยิ้มอย่างเป็นมิตรบ้างก็ยังดี  เผื่อโลกกว้างที่เดียวดายจะกลายมาเป็นโลกแคบที่อบอุ่นขึ้นมาบ้าง

 

ผมไม่มีโอกาสได้ขานทักเธอด้วยถ้อยคำใด ๆ    แต่ก็ทำหน้าที่ของผู้ร่วมชะตากรรมการเดินทางเดียวกันกับเธออย่างไม่บกพร่อง  ไม่ว่าจะเป็นการยื่นกล่องอาหารว่าง, น้ำขวด และผ้าเย็นให้กับเธออย่างสงบเงียบ  อีกทั้งยังพยายามนอนไม่ให้ไถลไปซบไหล่ของเธอ   จะมีก็แต่เธอนั่นแหละที่เป็นฝ่ายเอนมาซบไหล่ผมอยู่นับครั้งไม่ถ้วน  และผมก็ทำได้แต่เฉยและเฉย  เพราะเกรงว่าเธอจะผวาตื่นขึ้นมาอย่างตกใจ  -

 

(๕)

 

การได้อยู่ใกล้ชิดกันถึงเพียงนี้   แต่กลับไม่ได้เอ่ยทักทำความรู้จักกันเลยนั้น  ยิ่งดูเหมือนว่าโลกทั้งโลกช่างแคบและอึดอัดอย่างน่าหงุดหงิด   แหละผมก็อดคิดไม่ได้ว่า "มนุษย์เราก็ช่างเป็นสัตว์โลกที่แปลกเปลี่ยวและน่าสงสารเสียเหลือเกิน" 

 

ในวิถีที่สัญจรร่วมกันอย่างไม่รู้จบ   เราเดินเบียดไหล่และชนไหล่กันนับครั้งไม่ถ้วน  แต่ก็ดูเหมือนว่าเราต่างไม่มีเวลาพอที่รู้จักกันได้เลย  หรือเพราะแต่ละคนเพียงพอแล้วต่อมิตรที่มีอยู่   หรือเพราะแต่ละคนหวาดระแวงต่อมิตรภาพอันแสนธรรมดาที่ไม่ธรรมดาของมนุษย์โลก  -

 

เราต่างมีจุดหมายปลายทางที่อาจเหมือนและต่างกันได้ตามวิถีแห่งความฝัน,  จุดหมายปลายฝันนั้นย่อมมีใครสักคนที่รอเราอยู่ที่นั่น  แต่นั่นก็ไม่ได้หมายถึงว่าเราจะดุ่มเดิน  หรือแม้แต่วิ่งและก้าวกระโดดไปสู่จุดหมายนั้นอย่างบ้าคลั่งและเย็นชาต่อเรื่องราวรายรอบตัว

 

ผมไม่ปฏิเสธว่า  จุดหมายปลายทางนั้นสำคัญก็จริง,  แต่ก็คงไม่มีความจำเป็นใด ๆ ที่เราจะต้องละทิ้งซึ่งเรื่องราวระหว่างทางเดินนั้น ๆ  

 

ครับ,  ผมเพียงแต่กำลังจินตนาการว่า  หากจุดหมายเป็นเหมือนทุ่งดอกไม้อันรื่นรมย์   แต่ก็ต้องไม่ลืมว่า  ระหว่างทางนั้นก็ย่อมมีดอกหญ้านานาชนิดเช่นกันที่เรียงรายชูใบล้อลมเล่นและทักทายเราอย่างอ่อนโยน  และดอกหญ้าเหล่านี้นั่นแหละที่จะช่วยให้การเดินทางของเราดูไม่แห้งผากและแล้งไร้ซึ่งความเป็น "ชีวิต"  

 

ครับ,  เราอาจมีโลกส่วนตัวของตนเองอย่างลึกเร้น   เราอาจจะรีบเร่งต่อวันและคืนอย่างบ้าคลั่ง  เราอาจจะหวาดระแวงต่อมิตรภาพในโลกแห่งวัตถุเงินตรา  หรือเราอาจจะหวาดระแวงว่าโลกส่วนตัวของเราจะทำร้ายผู้อื่นมากจนเกินไป  จนต้องตัดสินใจลั่นกลอนประตู (ใจ) อย่างแน่นหนา ...... ก็เป็นได้

 

(๖)

 

อย่างไรก็เถอะ,  ผมก็อดไม่ได้ที่จะขอบคุณเธอในใจอย่างเงียบ ๆ  ถึงแม้การนิ่งเงียบบนรถแห่งการเดินทางครั้งนี้จะทำให้ผมรู้สึกอัดอัดอยู่บ้าง    กระนั้นก็ยังช่วยให้ผมได้ฉุกคิดถามตนเองอย่างจริงจังว่า   "ในแต่ละวันของการทำงาน  ผมพบพาน   และทักทายเพื่อนร่วมงานครบถ้วนกันบ้างหรือเปล่า .."

 

(๗)

 

ทันทีที่รถเข้าเทียบชานชลาหมอชิต   ผมลุกออกจากที่นั่ง   ก้าวออกมาเพื่อเป็นสัญญาณให้เธอรู้ว่า  "เชิญครับ"  ... และเธอก็ก้าวออกมาอย่างว่าง่าย  จากนั้นก็ดุ่มเดินออกหน้าไปอย่างรีบเร่ง  โดยไม่แยแสต่อรอยยิ้มที่มุมปากของชายที่ยิ้มยากอย่างผม !

 

กระนั้น, ผมก็ยังยิ้มให้กับเธอ   ยิ้มให้กับความเป็นมนุษย์โลก   ยิ้มให้กับความน่ารักที่โลกสู้อุตส่าห์สร้างมาประดับไว้ที่ตัวเธอ   ยิ้มให้กับเธอผู้ซึ่งเป็นเพื่อนร่วมทางที่ย้ำให้ผมได้คิดถึงคนรอบข้างในเส้นทางของชีวิต 

 

ผมหวังว่าเธอคงได้พบชายคนรัก  (ที่รออยู่ปลายทางฝั่งฝันดังที่วาดหวัง)   

 

สำหรับผมแล้วยังคงมีความสุขที่จะยิ้มให้เธออย่างเงียบ ๆ   เพราะเธอคือผู้สร้างเรื่องราวระหว่างทางให้ผมได้ขบคิดอย่างน่าอัศจรรย์

 

นั่นนะสิ ...   หรืออาจจะเป็นเพราะว่าผมขี้เหร่   และรูปหน้าออกไปในทาง "ผู้ร้าย"  หรือไรเล่า   เธอถึงได้ลั่นกลอนปิดประตูแห่งมิตรภาพเสียแน่นหนา -

 

(ช่างเถอะ ,  ผมอภัยให้เธอ,  พอ ๆ กับอภัยให้ความขี้ริ้วขี้เหร่ของตนเอง ) 

 

......

 

ร้านเน็ต, สะพานควาย

ผู้คนพลุกพล่านแต่แปลกหน้า

กรุงเทพฯ

๒๙  มิถุนา ...  

 

 

หมายเลขบันทึก: 107395เขียนเมื่อ 29 มิถุนายน 2007 23:38 น. ()แก้ไขเมื่อ 11 กุมภาพันธ์ 2012 19:15 น. ()สัญญาอนุญาต: จำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (17)

สวัสดีค่ะ อาจารย์

  • อ่านบันทึกของอาจารย์ ก็พลันคิดถึงเพื่อนครูที่โรงเรียน.....เขาเดินทางขากลับจาก กทม. พอถึงสระบุรี....เพื่อนร่วมเดินทางซึ่งเป็นหญิงสาวหน้าตาดี...เอ่ยถามว่า.....คุณตา..จะลงที่ไหนค่ะ.......กลับถึงบ้านด้วยความหงุดหงิด...ส่องกระจกเป็นอันดับแรก......"เราแก่ขนาดนั้นรึ.."..ปีนี้อายุ  43 ปี .ลูกสาวตัวเองเพิ่งจะ 8 ขวบ........เพื่อนครูคนนี้แกบอกว่า.....ไม่ถามกันดีกว่าเน๊าะ......(ไม่อยากแก่ )
  • อย่างน้อยๆ ก็มีเพื่อนร่วมเดินทางน่ะค่ะ.....

สวัสดีค่ะ

P

บอกแล้ว ให้รีบทำหนังสือขาย สำนวนนี้ ไม่มีใครหรอกในG2K

จริงๆนะคะ ไปโลดแน่ ตัวอักษรมีชีวิตแบบนี้

แต่แปลกนะครับ...

ผมก็เป็นคนหนึ่งที่ไม่ชอบคุยกับคนแปลกหน้า และไม่รู้สึกอึดอัดแม้จะต้องร่วมเดินทางในรถคันเดียวกันเป็นหลายชั่วโมงก็ตาม หรือผมจะเป็นหนึ่งในหลาย ๆ คนในโลกวัตถุนิยมไปแล้ว...

หรือว่าบางทีผมอาจต้องสำรวจตัวเองบ้างแล้วว่า ถูกกลืนกินไปกับสังคมเช่นนี้ไปแล้วมากน้อยแค่ไหน...

ขอบคุณมาก ๆ ครับ....

สวัสดีค่ะคุณแผ่นดิน

มาทักทายเพราะเห็นหายไปนึกว่าหายไปไหน ไปกทม.พร้อมค้นพบสัจธรรมจากการเดินทางอีกบทหนึ่งของชีวิตนี่เอง

" ผมก็ยังยิ้มให้กับเธอ   ยิ้มให้กับความเป็นมนุษย์โลก   ยิ้มให้กับความน่ารักที่โลกสู้อุตส่าห์สร้างมาประดับไว้ที่ตัวเธอ   ยิ้มให้กับเธอผู้ซึ่งเป็นเพื่อนร่วมทางที่ย้ำให้ผมได้คิดถึงคนรอบข้างในเส้นทางของชีวิต "

เบิร์ดอ่านแล้วยิ้ม  ยิ้ม  ยิ้ม กับคำเง้างอดนิดๆที่น่ารักเหลือใจของผู้ชายหน้าตาย ( อย่าเปลี่ยนเป็น.." น่า "...เชียวนะคะ ) อารมณ์ดีแต่แอบบ่นเล็กๆคนนี้

อันนี้อ่านแล้วนึกถึงตัวเองค่ะ

เราอาจมีโลกส่วนตัวของตนเองอย่างลึกเร้น   เราอาจจะรีบเร่งต่อวันและคืนอย่างบ้าคลั่ง  เราอาจจะหวาดระแวงต่อมิตรภาพในโลกแห่งวัตถุเงินตรา  หรือเราอาจจะหวาดระแวงว่าโลกส่วนตัวของเราจะทำร้ายผู้อื่นมากจนเกินไป  จนต้องตัดสินใจลั่นกลอนประตู (ใจ) อย่างแน่นหนา ...... ก็เป็นได้

เพราะรู้สึกว่าเข้าเค้า...ตัวข้าพเจ้าเลยล่ะค่ะ ^ ^

.............................................................................

หากจุดหมายเป็นเหมือนทุ่งดอกไม้อันรื่นรมย์   แต่ก็ต้องไม่ลืมว่า  ระหว่างทางนั้นก็ย่อมมีดอกหญ้านานาชนิดเช่นกันที่เรียงรายชูใบล้อลมเล่นและทักทายเราอย่างอ่อนโยน  และดอกหญ้าเหล่านี้นั่นแหละที่จะช่วยให้การเดินทางของเราดูไม่แห้งผากและแล้งไร้ซึ่งความเป็น "ชีวิต"  ...

ขอบคุณสำหรับการเดินทางที่งดงามบนเส้นทางของชีวิตนะคะ

 

สวัสดีจากสวนป่าค่ะ

ปฏิบัติภารกิจแทนแล้วนะคะหัวหน้าฯ  อิอิ 

จะว่าไปพี่เองก็เดินทางบ่อยมากคนนึง  ทั้งส่วนตัวและราชการอ่ะ

แต่พี่จะมีสูตรเพื่อสุขภาพคือ  ขึ้นรถปั๊บ  กินยาแก้แพ้ปุ๊บ  เพราะอากาศบนรถทัวร์และ กทม  สามารถทำให้พี่เป็นหวัดได้เสมอๆ  แต่ที่สำคัญ  ยา 2 เม้ดเล็กๆ  ช่วยให้พี่หลับสบาย (เพื่อสุขภาพและความงาม  อิอิ )

ฉะนั้นพี่เองก็ไม่เคยได้คุยกับคนนั่งข้างๆเลยอ่ะค่ะ  หลับแบบไม่มีฝันซะด้วย

สวัสดีค่ะคุณพนัส

  • อ่านแล้วโดน..เลยค่ะเพราะเมื่อการเดินทางกลับจากเชียงใหม่ครั้งก่อนของแหวว ก็เป็นแบบนี้ และแหวว ก็คิดในใจแบบนี้ เตรียมจะคุยกับเขาตั้งหลายครั้ง อยากจะส่งยิ้มหวานๆ ให้เป็นเพื่อนเดินทางเพียงแค่ไม่ถึงชั่วโมง..(แถมเขาก็เป็นผู้หญิงเหมือนเรา...ดูว่าไม่น่าจะปิดกั้นอะไร) ที่ใหนได้..แม้แต่ยิ้มเรายังไม่สามารถจะส่งไปให้เขาสัมผัสได้เลย..เกิดกำแพงกั้นใจ...สังคมที่เปลี่ยนไปก็ทำให้การสร้างสัมพันธภาพของคนเปลี่ยนแปลง...เสียดาย..การชื่นชมหมู่มวลดอกไม้ระหว่างทางเดิน..
  • มันเป็นอย่างนั้นและค่ะ..ดังบันทึกของคุณ..ครานั้นเลยปรับตัวเองด้วยการนั่งสมาธิช่วงการเดินทางซะเลย...ก็ดีเหมือนกันค่ะ หาเวลานั่งสมาธิได้น้อยอยู่แล้ว...ในชีวิตประจำวัน

เพิ่งเดินทางกลับจากเพชรบูรณ์มาได้อ่านบันทึกนี้แล้ว สะท้อนใจ เพราะเส้นทางที่ตัวเองเดินไปพบแตกต่างกับคุณแผ่นดินมาก เพราะ ได้พบรอยยิ้มของผู้คน และรู้ว่าในเมืองสยาม ถึงผู้คนจะมีความทุกข์ เค้าก็ยังยิ้มแย้มค่ะ

  • ยิ้มก่อน ได้เปรียบค่ะคุณ

สวัสดีค่ะ คุณแผ่นดิน

  • อย่าคาดหวังอะไรจากคนที่เราไม่รู้จักเลยค่ะ   อะไรอยู่เบื้องหลังของความคิดหญิงสาวคนนั้นก็ไม่ทราบ...อาจจะกำลังอกหัก...อาจจะกำลังมีทุกข์...อาจจะมีประสบการณืที่ทำให้ไม่ไว้ใจใครๆอีก...ให้อภัยเธอและขอให้เธอโชคดี..ดีกว่าค่ะ...
  • ขอบคุณสำหรับบันทึกค่ะ
สวัสดีครับ
P
...
น่าเห็นใจเพื่อนอาจารย์มากครับ,  อย่างนี้ไม่ทักซะเลยดีกว่ากระมัง ยิ้ม ๆ ...
.....
ผมเขียนบันทึกนี้ด้วยอารมณ์ยิ้ม ๆ  ในแบบฉบับตัวเอง  และอันที่จริงก็มิได้คาดหวังอันใดต่อปรากฏการณ์ชีวิตบนรถนั้น  หากแต่ต้องการสะท้อนภาพชีวิตเล็ก ๆ ที่เกิดขึ้นกับตัวเองผ่านมายังมิ่งมิตร  และเชื่อว่า  ภาพเช่นนั้น   โยงร้อยไปถึงปรากฏการณ์ทางสังคมอยู่บ้างเหมือนกัน ...
บนเส้นทางในแต่ละวัน   เราต่างใช้เส้นทางเดียวกันและเราก็ไม่รู้จักกัน
นั่นคือบางสิ่งเล็ก ๆ  ที่ผมอยากบอกกล่าว.. หรือแม้แต่พร่ำบ่นออกมา ...
....
ขอบคุณครับ -
สวัสดีครับ
P

บอกแล้ว ให้รีบทำหนังสือขาย สำนวนนี้ ไม่มีใครหรอกในG2K

จริงๆนะคะ ไปโลดแน่ ตัวอักษรมีชีวิตแบบนี้

....

เล่นชมเกินจริงเสียแล้ว   ผมยังไม่ถึงขั้นนั้นหรอกครับ  ยังไม่เอาจริงเอาจังกับการเขียน  และไม่ใช่คนร่ำรวยถ้อยคำหรือแม้แต่เรื่องราวที่พอจะไปปั้นเป็นเรื่องเป็นราวได้

แต่นั่นก็คือความฝันอันสูงสุดของตนเอง ...

ผมอยากเป็นคนเขียนหนังสือที่มีหนังสือตีพิมพ์เป็นของตนเอง...

อาจต้องทำงานการเขียนอย่างหนัก,  ... (ถ้าจะเอาจริง ๆ )

แต่ป่านนี้ยังไม่ได้เริ่มต้นจริง ๆ เสียที ... งานการยังบีบรัดจินตนาการอย่างไม่ว่างเว้น...

....

 

ขอบพระคุณครับ 

 

สวัสดีครับ คุณเบิร์ด
P
ช่วงนี้เป็นช่วงที่ชีวิตกำลังปรับเปลี่ยนเวลาจากงานประจำกลับมาสู่โลกส่วนตัวในรั้วบ้านอีกครั้ง ...  และเมื่อกลับมาสู่รั้วบ้านได้  ก็เท่ากับว่า  มีเวลาท่องเล่นในบล็อกมากขึ้น
ผมเชื่อเหลือเกินว่า   การเดินทางในทุกครั้งมักนำพาให้ชีวิตได้เรียนรู้ในบางสิ่งบางอย่างอย่างไม่คาดคิดเสมอ  และสิ่งที่เกิดขึ้นนั้นจะช่วยสะกิดเตือนให้เราหันกลับมาส่องกระจกเงาชีวิตตนเองอีกครั้ง ...
ผมชอบที่จะตั้งคำถามกับชีวิตเสมอ  ,  ตั้งคำถามทั้งที่รู้ตนดีว่า  บางครั้งก็ไม่ต้องการคำตอบ  หรือแม้แต่รู้ดีว่าคำถามนี้ไม่มีคำตอบให้กับเราเองก็ตามเถอะ ...
ผมชอบการเดินทาง พอ ๆ  กับหลงใหลความเปลี่ยวเหงาที่ซ่อนตัวอยู่ตามเส้นทางเหมือนกัน ...
ชีวิตช่างยากต่อการอธิบายหรือเกิน ...
.....
ขอบคุณมิ่งมิตรที่หอบกำลังใจมาแบ่งปันอย่างสม่ำเสมอ, นะครับ

เจ้หนิง ..

P
อันที่จริงผมก็ไม่ค่อยได้คุยกับคนนั่งข้าง ๆ เท่าไหร่หรอก  แต่ไม่รู้เป็นยังไง  ครั้งนี้ถึงฉุกคิดเรื่องเหล่านี้มาเป็นตัวเป็นตน...
แต่มันก็จริงนะครับ,  บางทีเราต่างก็อยู่ในโลกส่วนตัวมากเกินไป .. จนลืมที่จะยิ้มให้กัน
จริงมั๊ย...
สวัสดีครับ
P
ผมไม่ค่อยได้พบเจอะภาวะเช่นนี้บ่อยนักในการเดินทาง  หรืออาจจะเป็นเพราะส่วนใหญ่มักไปราชการเป็นกลุ่มก้อนก็เป็นได้  
แต่ถ้าเราไม่คิดอะไรมากนัก  ผมก็ยังอยากยืนยันว่า  ในเส้นทางสายเดียวกันนี้  ซึ่งเมื่อยังไม่ถึงทางแพร่งที่เราต่างต้องแยกย้ายกันนั้น   เราก็ควรที่จะทักทายกันบ้าง ไม่มากก็น้อย,
กระนั้นก็ยังไม่ลืมที่จะให้ความเคารพต่อสิทธิส่วนบุคคลด้วยเช่นกัน
บันทึกนี้จึงสะท้อนมุมเล็ก ๆ ในชีวิต  และสะท้อนความเข้าใจที่มีต่อคนข้าง ๆ  ของเราและย้ำถึงการมองโลกในแง่ดี,  รู้จักที่จะยิ้มให้กับเรื่องบางเรื่องที่เราดูแล้วอาจจะไม่พึงใจนัก   แต่ก็ยิ้มเพื่อให้ชีวิตและโลกไม่บูดเบี้ยวจนเกินไป
....
ชีวิตยังรื่นรมย์ต่อการเดินทางเสมอ -  ผมยังเชื่อเช่นนั้นอย่างไม่เปลี่ยนแปลง
ขอบคุณครับ

 

สวัสดีครับ
P

ยิ้มของสยาม, คือ ยิ้มทั้งยามเศร้ายามสุข (หรือเปล่าครับ) ..

 

ผมชอบเส้นทางเพชรบูรณ์ไม่น้อยไปกว่าเส้นทางอื่น ๆ  ชอบเวลาที่ผ่านช่วงที่เป็นภูเขา   และชอบที่จะเฝ้ามองท้องฟ้า แผ่นดินและเส้นทางข้างหน้าที่คดเคี้ยวราวกับงูเหลือม,

 

การได้พูดคุยกับใครสักคนในระหว่างเดินทาง ถือเป็นกำไรจากการเดินทางเหมือนกัน  อย่างน้อยก็ได้แลกเปลี่ยนทัศนะแห่งชีวิตสู่กันและกันบ้างไม่มากก็น้อย  และนั่นคือการร่วมสร้างสีสนของการเดินทางนั่นเอง

 

...

 

ขอบคุณครับ

ใช่ค่ะหัวหน้าฯ  ทำให้พี่คิดนะ

คนเราบางทีก็มีจุดหมายเดียวกัน  ทำไมไม่มีปฏิสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน เคียงบ่าเคียงไหล่กันไป หรือรอให้เจอปัญหาเสียก่อนถึงจะพูดกัน

พี่คิดเทียบไปถึงการทำงานเลยแหละค่ะ

พิมพ์ไม่เสร็จ

หรือเพราะว่า  ทุกวันนี้เราเดินทางด้วยรถยนต์  ภาระการนำไปคือ เครื่องยนต์ พลังงานและพนักงานขับรถ

เราไม่ได้เดินทางด้วยเรือ  ไม่ใช่ลงเรือลำเดียวกันที่ต้องช่วยกันพายแล้วหรือ

เจ้ หนิง   ครับ ..
P

มองในมุมกว้างอีกอย่างที่ฟังดูอาจจะไม่เกี่ยวกันนัก  เช่น   ตอนนี้เราทำงานกับเครื่องคอมพิวเตอร์ซะส่วนใหญ่  หรือแม้แต่เครื่องกลต่าง ๆ ก็เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของการทุ่นแรงเราได้เยอะ  จนสิ่งเหล่านี้พรากเราออกไปจากเพื่อนมนุษย์ทีละน้อย ๆ  ได้เหมือนกันนะครับ

และสำหรับผมจึงคิดเสมอว่า  นักกิจการนักศึกษา  ทำงานกับเด็กไม่ได้ทำงานกับเครื่องคอม ฯ

...  ว่ามั๊ย ....   

 

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท