เราทุกคนต่างมี "ภาพนึก" ของตนเองทั้งสิ้นครับ แตกต่างกันไป ใน แต่ ละคน ขึ้นอยู่กับพื้นฐานการเลี้ยงดู การศึกษา ประสบการณ์ และวิธีคิด
หาก"ภาพนึก"ต่อตัวเราเองเป็นภาพนึกที่ี่"มองเห็นตัวเอง" อย่างที่มัน เป็นอยู่จริง จะดีมากครับ เพราะจะทำให้เราพบและเห็น "จุดเด่น" และ "จุดด้อย" ของตนเอง ซึ่งจะเป็นประโยชน์ต่อการ "พัฒนาตนเอง" ครับ ในทางตรงกันข้าม หากเรามีภาพนึกที่มองเห็นตนเอง บิดเบี้ยวไปจาก ที่มันเป็นอยู่จริงไม่ว่ามัน (ภาพนึกนั้น)จะโน้มไปในทางบวกหรือลบ ก็ตาม เราก็จะเสีย โอกาสสำหรับการพัฒนาตนเองไปอย่างน่าเสียดาย ครับ
ภาพนึกของคนเราจะมีอิทธิพลครอบงำความคิดของเราเอาไว้ และ เก็บกักตัวเราอยู่ในโลกที่ทั้งแคบและล้าหลัง เราจะพบว่าคนที่มีภาพนึก โน้มไปทางลบจะเป็นคนที่ยอมสยบต่อชะตากรรมที่เกิดขึ้น เขาและเธอ จะมองไม่เห็นแสงสว่างของโอกาส และความพยายามสำหรับสิ่งที่ดี กว่าของตน ในขณะที่คนที่มีภาพนึกโน้มไปในทางบวก เขาและเธอ จะเป็นคน ที่คิด ว่าตนเองดีแล้ว เพียบพร้อมแล้ว ซึ่งทั้งสองภาพนึก นี้ จะส่งผลให้คนที่มี ภาพนึกดังกล่าว "หยุดตัวเอง" จากการพัฒนา และ ปิดตัวเองจากการรับแสงสว่างแห่งความรู้ ความคิด และความ ก้าว หน้า ต่างๆ
ภาพนึกที่บิดเบี้ยวนี้หากเกิดขึ้นกับสมาชิกในองค์กรใดองค์กรหนึ่งก็จะก่อ ให้เกิดปัญหาในการดำเนินงานครับ เพราะบุคลากรจะขาดความรู้ ทักษะ และแนวคิดที่เหมาะสมกับความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นอยู่ตลอดเวลา หากจะยกตัวอย่างให้เห็นภาพก็คือ
อุปมาดังเครื่องคอมพิวเตอร์ที่ ซื้อมาหลายสิบปีเป็นอย่างไร ก็ยัง เป็น อยู่อย่างนั้น ไม่มีการอัพเกรด ไม่มีการอัพเดท หรือไม่มีการ อิน สตอลโปรแกรมใหม่ๆมาใช้ ฯลฯ
แล้วภาพนึกของคุณเป็นอย่างไรครับ?
ขอถามนะครับอาจารย์
เรียน อ.อาลัม ผมอ้างคำพูดอาจารย์ใน http://gotoknow.org/ask/supalakpop/5355
โปรดคลิกเข้าไปดู เผื่ออาจารย์จะมีความเห็นอะไรบ้าง
ท่านเริ่มเขียนออกแนวจิตวิทยาเหมือนกันนะเนี้ยะ
อ่านแล้วคำว่า"ภาพนึก"คล้ายกับศัพท์ทางจิตวิทยาคำว่า "Self-Perception"หรือ "การรับรู้ตนเอง"
การรับรู้ตนเองของคนเราอาจแบ่งได้เป็น ๓ ลักษณะ
๑.การรับรู้ตรงตามความเป็นจริง
๒.การรับรู้ต่ำกว่าความเป็นจริง
๓.การรับรู้สูงกว่าความเป็นจริง
การรับรู้ทั้ง๓ข้อนี้ทำให้พฤติกรรมของคนทั้ง๓ประเภทแตกต่างกันไปด้วยครับ