ขอแว๊บ!!! จากการปั่นงาน...มาเขียนเรื่องดีดีสักเรื่อง...เพราะอดทนเก็บไว้ไม่ไหว...กับอาการพองโดแห่งหัวใจ...เมื่อวานได้รับโทรศัพท์จากพี่ละมุน...หัวหน้าตึกสูติกรรม1 ว่า "พี่อยากทำวิจัยแบบ R2R เขาทำอย่างไรเหรอ...อยากให้มาเล่าให้พี่ฟังได้ไหม..." ดิฉันก็ตอบไปว่าได้คะ...แต่เป็นวันนี้คงไม่ได้ เพราะกะปุ๋มมีประชุมทั้งวันเลยคะ" (หมายถึงเมื่อวานนะคะ)...ว่าแล้วก็เลยนัดหมายพี่ละมุนเป็นวันนี้ ประมาณ 9 โมง แต่พอใกล้เวลา...มีเรียกตามตัวประชุมด่วนในกลุ่มงานฯ จึงได้โทรไปขอเลื่อนพี่ละมุน...แล้วถึงได้มทราบว่าวันนี้เป็นวันหยุดของพี่เขา...แต่มาเพราะนัดหมายกับดิฉันไว้...จึงรู้สึกเกรงใจอย่างยิ่ง...
จึงบอกว่า.."ถ้างั้นกะปุ๋มประชุมเสร็จไม่น่าจะนาน จะรีบไปหาพี่ที่ตึกเลยนะคะ"...การประชุมเราเริ่มตั้งแต่แปดโมงกว่าๆ...เสร็จโดยประมาณสิบเอ็ดโมงดิฉันเห็นว่าไม่มีประเด็นอะไรแล้วจึงรีบขอตัวไปที่ตึกสูติกรรมตามที่นัดหมายกับพี่ละมุมไว้...พบว่าพี่และบุคลากรในตึกต่างรออยู่พร้อมข้อมูลที่มีอยู่อย่างเยอะเลยคะ...พี่ละมุนก็เล่าให้ฟังว่า "พี่เริ่มเก็บข้อมูลเกี่ยวกับผู้รับบริการมาเยอะมาก...แล้วนำมาวิเคราะห์หาค่าร้อยละ และปรับกิจกรรมการบริการ จากนั้นก็ประเมินผลลัพธ์จากการบริการอีกครั้ง...แล้วก็มีการปรึกษาหารือกันในตึกว่า...มีอะไรที่ควรให้ในกิจกรรมการบริการนั้นอีก...จากนั้นระยะเวลาผ่านไปสักพัก...ก็เก็บข้อมูลประเมินผลอีก..." และนำข้อมูลมาเปรียบเทียบกัน..แล้วพี่ละมุนก็ถามต่อไปอีกว่า..."อย่างนี้เรามาศึกษาเป็นกระบวนการวิจัยตามแบบที่เรียกว่า R2R ได้ไหม..."
เท่านั้นและคะ...ดิฉันรู้สึกดีใจอย่างยิ่ง เพราะนักปฏิบัติเริ่มมีใจอยากจะทำ และร้องเรียกที่อยากจะลุกขึ้นมาทำ...ดิฉันรีบตอบรับไปว่า "ใช่เลย"...ทำเลย...แล้วจากนั้นพี่ละมุนกับคนอื่นๆ ก็รีบนำข้อมูลที่ตนเองแก้ไขในการทำงานประจำ..มาให้ดูและเล่าให้ฟัง พร้อมกับเล่าเรื่องที่จะทำและกำลังทำอยู่ในตอนนี้ให้ฟัง พร้อมกับว่าอย่างนี้ก็ทำได้ใช่ไหม...
ดิฉันสังเกตกระบวนการทำงานของพี่ละมุนและทีม ว่ามักจะเริ่มจากการสังเกตและสงสัยว่า เอ๊ะ! ทำไมคนไข้เป็นอย่างนั้นทำไมเป็นอย่างนี้...จากนั้นก็ศึกษาจากข้อมูลทั้งชาร์ท ประวัติ การรักษาของแพทย์ และลองปรับกระบวนการพยาบาล พบว่า ช่วยให้ผู้ป่วยได้รับบริการที่ดีขึ้นหลายอย่าง ดิฉันก็เล่าสะท้อนให้พี่ละมุมและทีมฟังว่า จริงๆ แล้วท่านทำวิจัยอยู่ทุกวันแต่ไม่รู้ตัว..พี่ละมุมก็กังวลต่อไปอีกว่าวิจัยนั้นเป็นเรื่องยากพี่ไม่รู้จะเริ่มต้นตรงไหน...ดิฉันเลยสะท้อนไปว่า "พี่น่ะเริ่มต้นไปแล้ว...ด้วยปัญหาและข้อสงสัย จากนั้นพี่และทีมก็ช่วยกันพยายามหาคำตอบมาตอบสิ่งที่สงสัยหรือเป็นปัญหานั้น...แล้วได้ข้อสรุปสำหรับครั้งนั้น..แต่พอพี่สงสัยขึ้นมาอีก...พี่ก็จะแสวงหาคำตอบนั้นอีก...ด้วยกระบวนการทางวิทยาศาสตร์...จนช่วยเหลือผู้ป่วยได้ตั้งหลายรายให้มีอาการดีขึ้น...และฟื้นตัวเร็วร่วมกับการรักษาของแพทย"...
ดิฉันเสริมแรงไปอีกว่าให้ลงมือเขียนรายงานวิจัยได้ตั้งหลายเรื่องแล้วนะ...ให้เขียนเลย...และความถูกต้องจากการเขียนนั้นเราค่อยมาช่วยกันปรับแก้ไข...จากการประเมินส่วนตน ทั้งการสังเกตและการพูดคุยนั้น ดิฉันมองว่าความกังวลเกี่ยวกับการวิจัยนั้นลดลง และดูมีความสุขมากขึ้นจากการที่มีความหวังว่าตนเองน่าจะทำอะไรได้หลายอย่าง...และตอนท้ายดิฉันเน้นไปอีกว่า อย่าไปแยกส่วนจากการทำ HA ทำเป็นเรื่องเดียวกัน...และหลอมรวมเป็นเนื้องานเดียวกันไปเลย...
ตอนนี้ R2R เริ่มแตกหน่อขึ้นเรื่อยๆ แล้วคะ...พรุ่งนี้ดิฉันจะต้องไปเล่าให้ตึกพิเศษกังดาลฟังในการประชุมของตึก ตามคำเชิญของพี่งอ...มีความสุขคะ...แม้งานจะหลั่งไหลเข้ามาแต่นั่นช่างมาเติมพลังให้เกิดความสุขใจยิ่งนัก...
ยินดีด้วยค่ะ :)
เหมือนที่ อจ วิจารณและ อจ ประเวศ ์ชอบพูดเกี่ยวกับเรื่อง การจัดการความรู้ คือพวกเราสูญเสียความมั่นใจ ว่าพวกเราก็มีความรู้ ต้องไปคอยหาความรู้จากตำรา แทนที่จะมองหาจากตัวเอง
เรื่องวิจัยก็เหมือนกัน พวกเราวิจัยกันเป็นทุกคน แต่มัวแต่กลัวจะทำไม่ถูกวิธี เลยไม่ทำ
ทุกงานวิจัย เริ่มต้นที่การตั้งคำถามการวิจัย คนมีคำถามดีๆ เป็นนักวิจัยที่ดีได้ทุกคน
ขอให้ชาว รพ ยโสธร มีความเชื่อมั่น และขยายการทำวิจัยในงานประจำให้มากขึ้น ภายใต้เจ๊ดัน กะปุ๋มผู้มาคอยให้ความมั่นใจ
ขอบคุณ ดร.จันทวรรณคะ...ที่แวะมาทักทาย..
^__^.
กะปุ๋ม
อ.หมอสมศักดิ์
กะปุ๋มมองว่า...ช่วงแรกหากเหนื่อยหน่อย...แต่สามารถเกิดผลยั่งยืน...ในระยะยาวก็น่าจะคุ้มกับการทุ่มเท...อย่างน้อยกะปุ๋มก็หวังว่า...บุคลากรของเราจะมีทัศนคติที่ดี...และรักการทำการพัฒนางานประจำสู่งานวิจัย...มากขึ้นคะ...
ขอบคุณคะ
กะปุ๋ม
เห็นด้วยกับกะปุ๋มนะคะว่าอย่าไปแยกส่วนจาก HA ปัจจุบันบุคลากรทางสาธารณสุขเริ่มคุ้นเคยกับ HA แล้ว ถ้ามาบอกให้ไปทำวิจัยเหมือนมีภาระใหม่ขึ้นมาก็จะรู้สึกกังวลไม่น้อย แต่ถ้าเราไปบอกว่าพวกเขาเก็บข้อมูลอยู่ทุกวันหรือเป็นช่วงๆอยู่แล้ว และนำผลมาพัฒนางานการดูแลผู้ป่วยอยู่แล้ว เพียงแต่เอากระบวนการวิจัยเข้าจับอีกหน่อย ก็เป็นงานวิจัยได้สบายๆ และหายกังวลว่าจะทำให้เป็นภาระหนัก หน้าที่อย่างเราจึงต้องไปช่วยให้กำลังใจให้เขามั่นใจมากขึ้น และช่วยเหลือแก้ไขข้อขัดข้องทั้งหลายให้ค่ะ
ลัดดา
R2R รพ.ยโสธร ไปโลดแน่ๆ เพราะ การแตกหน่อนั้น เกิดจากความอยากของผู้ปฏิบัติงานเอง
ยินดีด้วยค่ะ
ท่าน Panda คะ...กะปุ๋มขอ e-mail address ท่านใหม่หน่อยคะ จะ attrach file ไปให้คะ...
*^__^*
ขอบพระคุณคะ
กะปุ๋ม
อ.หมอลัดดา...
ช่วงนี้กะปุ๋มตามหารอยท่านไม่ค่อยเจอเลยคะ...แต่คาดว่าท่านกำลังเฝ้ามองเราอยู่ (ยิ้มๆๆ)...แต่กะปุ๋มก็ยังอยากอ่านกระบวนการทำ R2R ของสถาบันเด็ก และแห่งอื่นๆ...นะคะ...ส่งเมล์ไปให้หลายๆ..ท่านก็เงียบคะ...แต่คิดว่า..ท่านๆ คงมีภาระมาก...แต่น่าเสียดายหากจะไม่มีการบันทึกไว้...พอเวลาผ่านนานไปเราก็จะลืม...
ขอบพระคุณนะคะ...สำหรับกำลังใจและการต่อยอดความรู้ให้กะปุ๋มคะ...
*^__^*
กะปุ๋ม
อ.หมอปารมี..
ตอนนี้กะปุ๋มคลอดแผน R2R สำหรับปีงบประมาณหน้า(ปี 2550) เสร็จเรียบร้อยแล้วคะ...น่าจะเกิดผลลัพธ์เชิงปฏิบัติที่ดียิ่งๆขึ้น...คือ ความคาดหวัง...คะ..
ขอบพระคุณนะคะ..สำหรับการแวะมาเยี่ยม..เสมือนน้ำหยดหนึ่งแห่งกำลังใจเลยคะ...
*^__^*
กะปุ๋ม
คุณศิริคะ
ขอบคุณนะคะ...สำหรับการทักทาย...ถือว่าเป็นกำลังใจอย่างยิ่งเลยคะ...ช่วงนี้กะปุ๋มไม่ได้ทิ้งรอยทักทายคุณศิริเลยคะ...
ขอเป็นกำลังใจให้...ทุกๆ เรื่องนะคะ
*^__^*
กะปุ๋ม
พี่กะปุ๋มคะ ฝนเริ่มกลับมาเขียน blog อีกรอบแล้วค่ะ อิอิ
คุณแมวหมี...
ดีดีมากเลยคะ...น้องฝนพี่กะปุ๋มจะคอยติดตามนะคะ...ชักชวนท่านอื่นๆ..ด้วยสิจ้ะ...ตอนนี้พี่เบิร์ดนักจิตหน้าเด็กของเราก็เปิด blog แล้ว...น๊า!!!!...ยังงัยๆ ก็จะได้แลกเปลี่ยนกันนะคะ
*^__^*
กะปุ๋ม