อ๋อ...คนนั้นมันโชคดี ที่ได้ผัวฝรั่ง!!!!


ผมเหม่อมองออกนอกรถดูวิวภูเขาลูกสุดท้าย ก่อนที่รถจะพุ่งเข้าสู่เมืองใหญ่ ภูเขาที่ดูกร่อนโกร๋น ทรุดโทรมเต็มที ...ดูไปทางไหนก็ไม่งามตาเอาเสียเลย

 

 

 


“สวัสดีค่ะ พี่เอก...” 

เสียงทักดังจากข้างหลัง ในระหว่างที่ผมเก็บเป้ใบเดิมใส่หลังรถตู้สายเชียงใหม่ปาย ผมหันขวับตามเสียง เห็นผู้หญิงสาวอุ้มลูกน้อยวัยแบเบาะ มืออีกข้างหนึ่งถือกระเป๋าเดินทาง

 

เห็นหน้าผมนึกได้ทันที...เธอคนนี้เป็นชาวเขาบนดอยที่คุ้นเคยกับผมดี  เมื่อย้อนไปไม่กี่ปี ผมยังเคยไปไร่กับเธอ วันนี้เธอไม่ได้สวมชุดชาวเขาเหมือนเดิมแล้ว กางเกงสีดำแบบผ้าขายาว เสื้อยืดสีขาวดูรุงรังด้วยกระเป๋าสองสามใบ รีบกระหืดกระหอบมาขึ้นรถโดยสารประจำทางที่กำลังจะออก

 

ผมยิ้มให้พร้อมทักทายตอบรับ...จริงๆมีคำถามมากมายในสภาพที่ ไปรถคันเดียวกันคงได้พูดคุยกันเต็มที่จากนี้สามชั่วโมง ปายไปเชียงใหม่  

หนูไปอยู่ชลบุรีได้ปีสองปีแล้ว พอดีแต่งงานกับคนที่นั่น พี่เขารับจ้างไถดิน และหนูกับเขามีลูกสองคน

เธอบอกให้ผมก่อนที่ผมจะถามคำถาม เธอคงรู้ว่าผมจะถามอะไร ก็เมื่อปีก่อนเธอแต่งงานกับหนุ่มชาวเขาเผ่าเดียวกัน...แล้วทำไม??


หนูเลิกกับแฟนคนเดิมแล้ว คือไม่ค่อยเข้าใจกันนะค่ะ แล้วหนูก็ไปทำงานที่แปดริ้วอยู่ร้านนวดแผนโบราณ จนมาเจอกับแฟนก็เลิกทำงานที่นั่น 

 เธอตอบอีกโดยที่ผมยังไม่ทันตั้งคำถามเช่นเดิม

 

 ย้อนกลับไปบนดอยปี ๔๖  

ไม่นานหลังจากมีคอนเสิร์ตลูกทุ่งที่ตัวอำเภอ มีเหตุการณ์เปลี่ยนแปลงขึ้นอย่างมากมายบนดอย ใครจะรู้บ้างว่า สาวๆคนดอยหายไปและไปไม่กลับมา  

ผมยังจำคืนที่มีงานคอนเสิร์ตลูกทุ่งที่ตัวอำเภอได้

รถปิคอัพหลายคันลำเลียงหนุ่มสาวจากบนดอยเพื่อไปดูคอนเสิร์ตกันอย่างอย่างครึกครื้นทีเดียว เสียงเครื่องยนต์คำรามผ่านบ้านพักผมคันแล้วคันเล่า ไปกันจนหมู่บ้านคืนนี้ดูเงียบเชียบ...   

  ............................

ลูกสาวนายอาหวู่กับลูกสาวพี่อะเลกับเพื่อนสองสามคนมันหนีไปเชียงใหม่แล้ว 

 

 อะตะผะมาบอกผมที่บ้านพักในเช้าวันหนึ่ง...

 

 เขาว่ากันว่ามันไปเป็นหางเครื่อง ตามคอนเสริต์ที่มาแสดงที่อำเภอไปเสียงร่ำลือกันทั่วหมู่บ้านถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้น..

 

 ผมจับใจความได้ว่า สาวๆบนดอยหนีไปเชียงใหม่ตามคอนเสิร์ตนั้นไป เพื่อไปเป็นหางเครื่อง...ข้อมูลยังไม่ชัดแต่ที่แน่ๆสาวๆเหล่านั้นหายไปจริง

  

 

 อีก ๘เดือนผ่านไป

 งานปีใหม่...ที่หมู่บ้าน

  

 หญิงสาวผมแดง ผิวขาว สองสามคนหัวเราะต่อกระซิกที่ศาลากลางหมู่บ้าน ผมจำได้ทันทีว่าเป็นสาวๆกลุ่มที่หนีไปนั้นเอง  พวกเธอดูสวยแต่งตัวทันสมัย สวมยีนส์รัดติ้ว พร้อมกับสำเนียงพูดเปลี่ยนไป ...สาวเล็กสาวน้อยต่างก็มารุมล้อมถามไถ่เรื่องในเมืองผ่านสาวสวยปากแดง ปนกับเสียงหัวเราะดังเป็นระยะๆ

 ............................

 หลังเสร็จงานปีใหม่...ผมได้ข่าวอีกว่าสาวๆหนีไปทำงานในเมืองอีกเป็นสิบ...

 

 มันไปเป็นหมอครับ อะหวู่ผะหนุ่มน้อยเพิ่งออกจากโรงเรียนเมื่อปีกลายบอกผม  คำว่า "หมอ" ในที่นี้อะหวู่ผะหมายถึง หมอนวดทำงานรับแขกในร้านคาราโอเกะ ร้านนวด รวมถึงร้านอาหาร

 

 เดี๋ยวนี้ไม่มีใครยอมทำงานไร่ งานสวนแล้ว ทำงานเป็นหมอมันสบายแต่งตัวไปวันๆทำงานก็ได้เงิน ไม่ร้อนเหมือนออกแดดทำไร่  เขาพูดขึ้นมาถึงเหตุผลที่เป็นแรงผลักให้เด็กสาวตัดสินใจลงดอย   

............................

ที่รถตู้คันเดิม...

 

  โอ้ย...ทุกคนก็ไปเป็นหมอกันหมดหละพี่  งานมันสบาย นอนยกแข้งยกขาก็ได้เงิน

 

 หนูทำงานได้สักพักเงินไม่มีเก็บ เฉพาะค่าที่อยู่ที่กิน ค่าเครื่องสำอางก็ไม่พอเก็บ ครั้นจะกลับขึ้นบนดอยก็กลัวคนเขาดูถูก ก็ปล่อยเลยตามเลย

 

 มาเจอแฟนหนูคนนี้หนูก็ลาออกงานมา...

 

 

 คำถามคำตอบมากมายที่ผมได้คุยกับสาวดอยคนนั้น...บนรถโดยสาร ผมพอเห็นภาพชีวิตของสาวดอยที่ลงดอยไปทำงานในเมืองกรุง ว่าไม่ได้สวยงามอย่างที่พวกเธอคิด แต่เมื่อออกไปแล้วกลับบ้านไม่ได้...กลับไปก็มีแต่คนรอซ้ำเติม


 

 ผู้หญิงเวลาออกบ้านมา ใครๆเขาก็ไม่ได้พูดในทางดีหรอก ส่วนใหญ่ก็บอกว่าไปขายของเก่าหมดหละ 

 เธอบอกเหตุผลสำทับว่าเพราะอะไรสาวๆไม่กลับบ้านบนดอย


 แล้วน้องฝนละ เอ่อ..น้องอะซามิ ไปไหนแล้ว ผมไม่เจอตั้งนาน ผมนึกถึงเพื่อนของเธออีกคนหนึ่งที่เห็นไปไหนมาไหนด้วยกันเป็นเพื่อนสนิท

 

 อ้อ ฝนเหรอค่ะ  คนนั้นมันโชคมันดี ที่ได้ผัวฝรั่ง  

............................

บรรยากาศในรถเงียบลงทันที...

ผมเหม่อมองออกนอกรถดูวิวภูเขาลูกสุดท้าย ก่อนที่รถจะพุ่งเข้าสู่เมืองใหญ่ ภูเขาที่ดูกร่อนโกร๋น ทรุดโทรมเต็มที ...ดูไปทางไหนก็ไม่งามตาเอาเสียเลย

 

บทสนทนาผมกับเธอบนรถ สลับกับภาพบนดอยสูงที่ผมคุ้นเคย...มันทำให้ความคิดผมฟุ้งไปหมด

 

 

 

 

 ถึงเชียงใหม่แล้ว ผมร่ำลาเธอ พร้อมเดินลงจากรถอย่างเพลียๆ

 

เดินทางกลับเชียงใหม่ครั้งนี้ ดูเหนื่อยๆชอบกล

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

หมายเลขบันทึก: 130669เขียนเมื่อ 22 กันยายน 2007 12:36 น. ()แก้ไขเมื่อ 6 กันยายน 2013 18:22 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-อนุญาตแบบเดียวกันจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (46)
  • เฮ้อ.............
  • อ่านจบแล้วมีความรู้สึกอยากถอนใจออกมาดัง ๆ

สวัสดีครับ

ป้าเม้าP

ก่อนอื่นขอบอกว่าคิดถึงชาวกำแพงเพชรมากครับ!!!

เรื่องจริงที่ยิ่งกว่านิยาย ผมลองเรียบเรียงและนำเสนออีกรูปแบบหนึ่ง เพื่อให้การเรียนรู้ สนุกสนานเหมือนอ่านนิยาย

เนื้อเรื่องเป็นเรื่องจริงที่เกิดขึ้นครับ...

 

สวัสดีครับ ท่าน เอก ผู้มุ่งมั่น

อ้อ ฝนเหรอค่ะ  คนนั้นมันโชคมันดี ที่ได้ผัวฝรั่ง    

 ขอเอาไปรวมนะครับ  สะท้อนหลายๆอย่างในบทความ  ผู้เกี่ยวข้องช่วยที   ขอร้อง ................................   

http://gotoknow.org/blog/mrschuai/117622?page=9

ผู้เฒ่าล้มป่วย คนช่วยไปบอก...

...เหมือนวาจาว่าสายเกินไป

ใครเล่าเจ็บปวด รวดร้าว เท่าสาวเมืองเหนือ

"ขายสิ้นหมดแล้วเอื้องเหนือให้กับชายที่อู้บ่จ้าง"

 

สวัสดีครับพี่สิทธิรักษ์

P

คิดว่าบันทึกนี้พอสะท้อนสังคมได้นะครับ ..ยินดีครับสำหรับการนำไปเผยแพร่..

 

 

สวัสดีครับเอก

เรื่องนี้ ลองตั้งประเด็นแล้วถกกันดูซักเดือนดีไหมครับ ผมว่าจะได้อะไรเด็ดๆ เยอะมากๆ ครับ หากค้นหาเหตุที่แท้จริง ผมว่าจะเจอตอของเหตุครับ

หากจะว่ากันไปแล้ว คนเราอยากจะมีทางออกให้ดีกับชีวิตเสมอ.. ที่ทำให้ตัวเองดูดีและไม่หม่นหมอง...แต่ในบางครั้งชีวิตคนเราเลือกเดินไม่ได้ มีแต่เส้นทางที่ต้องเดิน ไม่มีทางแยกให้เลือก บางทีมีเส้นทางเดียวที่ไม่อยากเดิน ก็ต้องจำใจเดิน

ความไม่เสมอภาคของสังคม...ความแตกต่างหลากหลายของชุมชน แนวคิด และื่อื่นๆ ก็มีผลต่อการดำเินินชีวิต โดยเฉพาะภูมิคุ้มกันภายใน...

 จริงๆ แล้วไม่ว่าจะมีสามีเป็นฝรั่งหรือชมพูหรือมะกอกหรือพริกขี้หนู... ไม่ได้สำคัญหรอกในความเห็นผม...มันอยู่ที่ว่ามีแล้วจะดำเนินประคองคู่กันไปอย่างไร หากไม่ปรับตัวก็พังได้หมดครับ ....

เพลงแม่สาย ผมฟังตั้งแต่ในช่วงแรกๆ และคิดฝังประเด็นนี้เอาไว้ในใจมาตลอด ว่าเกิดอะไรขึ้น พยายามทำความเข้าใจ มองใจเขาใจเรา บางทีหากเราไม่เป็นเค้าเราก็สรุปอะไรไม่ได้ทั้งหมดครับ...

แม้มาถึงวันนี้ ผมก็ยังหาข้อสรุปไม่ได้เช่นกันครับ..ผมหวังว่าวันหนึ่งคนเราจะคิดให้เยอะๆ ก่อนจะไม่มีเวลาให้คิด เพราะเวลานั้นๆ ที่ผ่านๆมา เรากลับไปแก้ใดๆ ไม่ได้แล้ว มันพลาดหรือสำเร็จ ก็ถูกบันทึกเอาไว้ในใจตลอดเวลา ทำให้เรามานั่งเศร้าโศกหรือประทับใจกันต่างๆนานาๆ ในชีิวิต...

ขอเป็นกำลังใจให้กับทุกๆ ชีวิตครับ...ดิ้นรน...แต่ไม่ใช่ดิ้นพล่าน...

ขอบคุณเพื่อนมากครับผม.... 

อ้อ ฝนเหรอค่ะ  คนนั้นมันโชคมันดี ที่ได้ผัวฝรั่ง

  • ตรงคำเน้นกำลังกลายเป็น norm ของชุมชนแถบโรงเรียนและแผ่วงกว้างเรื่อยๆ ค่ะ
  • จะได้ยินคำแบบนี้เสมอๆ...เมื่อไหร่จะโต...จบเมื่อไหร่นะ....จะได้เอาผัวฝรั่ง!!! เหมือนบ้านโน้น....
  • ทุกคนมีความคิดค่ะ.....แต่คิดอะไร...ไม่รุ
  • ...เฮ้อ...ด้วยอีกคนค่ะ

 เย็นนี้จะไปงานบุญที่วัดศาลาลอย (สุรินทร์) ค่ะ คงมีโอกาสได้พบปะเครือข่าย G2K บ้างค่ะ

เอก พี่ก็มีประสบการณ์เรื่องนี้เอาไว้เขียนสักวัน เป็นอะไรที่ยากที่จะสกัดกั้น แต่มิใช่ทำไม่ได้ แต่ต้องรวมมือกันจริงจังอย่างไม่เกรงใจใคร  แต่มักอ้างว่าเป็นสิทธิส่วนบุคคล  เป็นประชาธิปไตย เป็นเอกสิทธิ
  • สวัสดีค่ะ  คุณเอก..

สะท้อนใจ  แต่ก็ชีวิตของใครก็ของใครค่ะ   .. หลายคนในหมู่บ้านต้อมก็คิดว่าถ้าหญิงสาวไปมีสามีเป็นชาวต่างชาติแล้วชีวิตเธอจะสบายขึ้น   มันกลายเป็นค่านิยมไปแล้ว 

บางทีก็เจอคำถามว่า "ทำไมไม่เอาผัวฝรั่ง?"  .... โอ้  ได้แต่อึ้งงงงงงง   เดินหนีเลย   ไม่ใช่ไม่อยากตอบคำถามแต่ถึงพูดไป  พวกเขาก็ไม่เข้าใจ

เพื่อนเม้ง

P

วิถีที่เกิดขึ้น...บางครั้งมันยากที่จะควบคุม

หนังสือที่ผมเขียนเล่มหนึ่งที่จะออกปลายเดือนนี้ ผมได้เขียนปรากฏการณ์บางอย่างไว้...ตรงนั้นผมอยากให้สะท้อนสังคมด้วยครับ

ผมลองเขียนเชิงสังคม ออกมาเป็นการเขียนแบบนิยาย ให้อ่านให้สนุก เพลินและได้สาระ

ให้เป็นธรรมชาติที่ผมได้เจอมา...ตรงกับใจที่ผมอยากถ่ายทอด

จะมีสักครั้งมั้ยครับ  ที่นักพัฒนาสังคม ผู้เกี่ยวข้อง สนใจปัญหาเหล่านี้...ช่วยกันผลักดันกระบวนการเรียนรู้เพื่อแก้ไข

เหมือนที่เม้งบอกผมว่า เม้งทราบ เม้งฟังเพลงแม่สายแล้วก็อินแต่ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น..นั่นหละครับ คนที่อยู่กับปัญหาเหล่านี้บางครั้งก็เพิกเฉยครับ

จริงครับ ไม่ว่า สามีเธอจะเป็น พริกขี้หนู มะกอก ชมพู่ ก็ไม่แปลก แต่ผมกำลังยกปรากฏการณ์นี้เอามาซ้อนกับปรากฏการณ์สาวดอยลงไปทำงานในเมือง...ว่าตอนนี้เกิดอะไรขึ้นกับวิธีคิดของคนท้องถิ่น การดิ้นรนเพื่ออยู่ต้องแลกมาซึ่งศักดิ์ศรีกันเลยทีเดียว

ประเด็นนี้คงต้องถกกันยาวครับ

ขอเปิดประเด็นเป็นปฐมบทก่อนครับ

 

ปัจจุบันหลายคนอยาก "โชคดี"บ้าง  เตือนตัวเองสักนิด...ผู้ชายชาติไหนก็คือ "คน"

  • น่าเป็นห่วงจังค่ะพี่เอก วัฒนธรรมตะวันตก วัฒนธรรมสมัยใหม่ เอ...ไม่แน่ใจคงไม่ใช่วัฒนธรรม เพราะวัฒนธรรมเป็นสิ่งที่ควรสืบทอดและสวยงาม เริ่มเข้ามาเมืองปาย และอนาคตยิ่งน่าเป็นห่วง....
  • วันที่แอนไปร่วมเสวนา กับวัฒนธรรมจังหวัด ผู้บริหารที่จะมาก่อตั้งชมรมวัฒนธรรมไทยในสถานศึกษา หลายท่านพูดว่า
  • "น่าเป็นห่วง..ดูงานปอยส่างลอง ....แม้แต่งานปอย..สังเกตผู้ที่ไปเที่ยวไม่ได้ไปดูประเพณีสักเท่าไร..แต่จะไปดูสินค้าราคาถูก...มหรสพ..เล่นเกมชิงรางวัล..กันซะมากกว่า"

สัวดีครับ คุณครู

ไม่มีรูป
Gutjang

ปรากฏการณ์นี้มีมากขึ้นครับ ในกลุ่มชาติพันธ์บางกลุ่มที่เหนือ น่าเป็นห่วงเหมือนกันครับ สิ่งที่ตามมาคือการหย่าร้าง จากคู่สามีภรรยาเดิมที่เป็นกลุ่มชาติพันธ์ด้วยกันสูงขึ้น

เริ่มเป็น Norm ของชุมชนแบบที่คุณครูกล่าวไว้จริงๆ

ขอบคุณครับคุณครูครับ

 

แล้วเราจะมีคนไทยแท้เหลืออีกไหมนี่

หรือว่าต่อไปอีกสัก ๑๐๐ ปี จะเป็นลูกครึ่งกันทั้งชาติ

และมีชนชั้นคนงานเป็นชนเผ่าดั้งเดิม (ไท) ที่กำลังจะสูญพันธุ์

หรือเราควรจะดีใจที่เรากำลังจะเป็น

Endanger ethnic group????

จะได้ไปแสดงหรือปรากฏตัวหนังสารคดีบ่อยๆ

แล้วเราจะมีคนไทยแท้เหลืออีกไหมนี่

หรือว่าต่อไปอีกสัก ๑๐๐ ปี จะเป็นลูกครึ่งกันทั้งชาติ

และมีชนชั้นคนงานเป็นชนเผ่าดั้งเดิม (ไท) ที่กำลังจะสูญพันธุ์

หรือเราควรจะดีใจที่เรากำลังจะเป็น

Endanger ethnic group????

จะได้ไปแสดงหรือปรากฏตัวหนังสารคดีบ่อยๆ

สวัสดีครับ

  • ไม่รู้จะแสดงความเห็นอย่างไรดี แต่สิ่งที่ผมคิดมันแปรมาเป็นตัวอักษรให้อ่านไม่ได้
  • น้ำเมื่อตก มักตกลงสู่ที่ต่ำเสมอ
  • การเดินขึ้นสู่ที่สูงมันลำบากกว่าการเดินลงสู่ที่ต่ำ
  • แต่การอยู่ในที่ต่ำ ไม่น่าจะสบายเท่ากับการอยู่ที่สูง อาบน้ำตกที่สูงดีกว่าอาบน้ำตกที่ต่ำ
  • อ่านแล้วให้นึกถอนหายใจครับ
  • ได้แต่บอกตัวเองว่า เราไม่สามารถทำให้คนทั้งหลายเป็นอย่างที่เราคิดได้
  • ทุกอย่างมีเหตุผล การตัดสินใจอะไรสักอย่างก็มีเหตุผลให้ต้องตัดสินใจเพื่อกระทำ

แล้วเราจะมีคนไทยแท้เหลืออีกไหมนี่

หรือว่าต่อไปอีกสัก ๑๐๐ ปี จะเป็นลูกครึ่งกันทั้งชาติ

และมีชนชั้นคนงานเป็นชนเผ่าดั้งเดิม (ไท) ที่กำลังจะสูญพันธุ์

หรือเราควรจะดีใจที่เรากำลังจะเป็น

Endanger ethnic group????

จะได้ไปแสดงหรือปรากฏตัวหนังสารคดีบ่อยๆ

มีมีเพื่อนทำงานพัฒนา แล้วเวลาที่พวกเราไปตึกคอม แถวๆ โรงแรมโฆษะ

เพื่อนมักจะพูดว่า วุ้ย! แถวนี้สัตว์เศรษฐกิจเยอะจังเลย

เราก็งง อะไรว่ะ สัตว์เศรษฐกิจ

เขาก็เลยเล่าว่า ชาวบ้าน มักจะเรียก ชาวต่างชาติ ที่มาแต่งงานอยู่กินกับสาวไทย และอาศัยอยู่ตามชนบท ว่า เป็น สัตว์เศรษกิจ

ชาวบ้านบอกว่า บ้านเค้าน่ะ ยากจน เศรษฐกิจไม่ดีเพราะไม่ได้เลี้ยงสัตว์เศรษฐกิจ

แต่บ้านอื่นเค้าเลี้ยง พอมีเข้าหมู่บ้านแล้วเศรษฐิจในหมู่บ้านรุ่งเรื่องขึ้น

เจ็บแสบดีมั้ยล่ะ คำพูดชาวบ้าน

 

คิดว่าทุกคนคงพยายามจะแสวงหาสิ่งที่ดีสำหรับตัวเอง เราปลูกฝั่งให้รักความสบาย ให้วัตถุนิยม ดังนั้นเรื่องค่านิยมเกี่ยวกับเรื่องการแสวงหาความสบายไม่ว่าจะโดยทางใด จึงเป็นสิ่งที่ตามมา ... ใครควรแก้ไข?

ที่หมู่บ้านปู่-ย่า มีผู้หญิงคนหนึ่งมีลูกมีสามี แต่ท้ายที่สุดก็เลิกกับสามี เพราะชีวิตไม่มีอะไรดีขึ้น แล้วฝากลูกไว้กับครอบครัวไปหางานทำ จนท้ายที่สุดได้งานที่ต่างประเทศ พร้อมกับได้สามี มีชีวิตที่ดีขึ้น จึงกลับมายังหมู่บ้านพาน้องๆ ไปแต่งงานกับชาวต่างประเทศ

คนข้างๆ บ้าน มีลูกมีสามี แต่แล้วก็เลิกรากันไป ต่อมามีสามีคนใหม่ แต่ก็ไม่ยั่งยืน ... มีคนมาบอกว่าหากอยากได้สามีฝรั่ง ให้จ่ายเงิน 2 หมื่น เธอยอมจ่าย จากนั้นอีกไม่นานมีสามีฝรั่งแก่ๆ มานั่งๆ นอนๆ อยู่ที่บ้านเธอ ต่อมาเธอหายไป ทราบมาว่าบ้านเธอให้คนอื่นเช่า ส่วนตัวเธอไปซื้อบ้านจัดสรรหลังใหม่อยู่กับสามีฝรั่งพร้อมลูกชาย.....

....ครั้นจะกลับขึ้นบนดอยก็กลัวคนเขาดูถูก ก็ปล่อยเลยตามเลย”.....

นี่คงเป็นอีกแรงที่ผลักผู้หญิงเหล่านี้ให้ไปข้างหน้า เพราะไม่มีที่ให้เธอกลับไปอยู่อย่างมีศักดิ์ศรีได้ และสภาพสังคมที่เน้นวัตถุนิยมอย่างนับวันจะเข้มข้นขึ้นเรื่อยๆ ย่อมทำให้ต้องคว้าสิ่งที่คิดว่าน่าจะมีความหวังในชีวิตได้

บางทีผู้คนในชุมชน ในสังคมของเธอนั่นเองที่บีบให้เธอทำในสิ่งที่ตัวเองก็ไม่รู้อนาคต

มีเพื่อนคนหนึ่ง(คนไทย)หลังจากแต่งงานได้ไม่กี่ปีก็หย่า ปรากฏว่าขนาดเธอมีความรู้ มีสังคมแต่ก็ถูกสังคมแวดล้อมในที่ทำงานบีบคั้นในความเป็น"แม่ม่าย" ซึ่งเพื่อนคนนี้บอกว่าไม่คิดว่าจะมีอยู่ในยุคสมัยคนรุ่นเรา เขาทนไม่ได้เลยไปเรียนต่อที่อเมริกาจบปริญญาเอก แต่งงานกับฝรั่งที่จบปริญญาเอกรุ่นไล่ๆกัน มีลูกสองคน ชีวิตมีความสุขตามอัตตภาพ ไม่อยากเปิดประเด็นใหม่เชิงเฟมินิสต์ว่าสังคมที่ผู้ชายเป็นใหญ่ผู้หญิงจะถูกตัดสินมาก และไร้ความเห็นใจจากครอบครัวและชุมชนของตน

เคยเห็นสาวไทยที่ไม่มีโอกาสทางสังคมนัก หลายคนที่ไม่ใช่คนสวยด้วยซ้ำมีลูกติดกับสามีเดิมคนไทยแล้วไปแต่งงานกับฝรั่ง ฝรั่งก็รัก ดูแลราวกับเป็นลูกของตน แถมยังมีเงิน ฝรั่งที่จน ไม่ได้มีการศึกษาสูง มาบ้านเราก็ได้รับการต้อนรับดี เพราะคนไทยไม่น้อยก็บ้าฝรั่ง เป็นแค่นักท่องเที่ยว แต่มาเมืองไทยได้รับการต้อนรับราวคนพิเศษ นี่อาจเป็นฝันถึงเจ้าชายที่สาวๆที่ไร้หนทางชีวิตปรารถนาหรือเปล่าคะ

  • อ่านเรื่องแล้วเศร้าเนอะ
  • มีความรู้สึกว่าสังคมชนบทบ้านเราล่มสลายไปจริงๆๆด้วย
  • บางทีเธออาจไม่มีทางเลือกจริงๆๆด้วย
  • บางครั้งการให้การศึกษาน่าจะช่วยได้
  • แต่บ้านเรานิยมอะไรที่เป็นวัตถุมากเกินไปทำให้แก้ไขยาก
  • ขอบคุณสำหรับเรื่องดีๆๆครับ

ผมมีเพื่อนคนหนึ่งที่ออกจะโชคไม่ดี

จบป.โท ไปทำวิจัยให้ ททท. ที่พัทยา พบฝาหรั่งรีไทน์ที่มาพักผ่อนที่นั่น

เลยตกลงปลงใจแต่งงานกัน

คุณสามีเป็นพ่อหม้าย ลูกเต้าโตหมดแล้ว เลยยกสมบัติทั้งหมดให้ลูกๆไปแล้ว

พอมาสร้างครอบครัวใหม่แถมได้ลูกชายอีกคนก็ไม่มีอะไรเลี้ยงลูกเมีย เพราะตัวเองกินเงินสวัสดิการคนสูงอายุ หากออกนอกประเทศก็เบิกไม่ได้ หากจะอยู่เมืองไทยก็ไม่พอกินต้องให้เมียหาเลี้ยง ถ้าจะไปอยู่อังกฤษเงินค่าเลี้ยงชีพก็ไม่พอสำหรับสามชีวิต

เธอชอบบ่นว่านี่แหละหนา ความรู้ท่วมหัวเอาตัวไม่รอด

ตอนนี้ผมมาตกระกำอยู่ที่พนมเปญครับ เห็นครอบครัวชาวตะวันตกมารับเด็กเขมรไปเป็นลูกบุญธรรมหลายต่อหลายคู่ น่าแปลกใจเหมือนกัน ที่เห็นฝารั่งตัวขาวๆอุ้มลูกตัวดำๆ

  • ขอมาถอนหายใจใส่อีกรอบครับ :-)
  • ปัญหาคือ ถ้าเราไม่มีเงินเราจะอยู่ไม่ได้ เมื่อเราเห็นว่าเงินคือปัจจัยสำคัญ เราจึงต้องแสวงหา
  • ความลำบากคือสิ่งน่ารังเกียจ ดังนั้นเราจึงพยายามหาความสุขสบาย ทั้งที่ความลำบากเป็นอะไรๆที่น่าสนใจทีเดียว แต่เราก็ไม่ปรารถนาความลำบาก
  • เอาเป็นว่า ทุกชีวิตพยายามที่จะช่วยให้ตัวเองรอด และเราทำกันมาแล้วหลายพันปี
  • ฝรั่งก็คน ไทยก็คน
  • ขอให้ทุกคนอยู่เย็นเป็นสุข

สวัสดีครับ คุณP

เรื่องที่นำมาเล่า โดยรวมๆผมอยากให้เห็นปรากฏการณ์วิธีคิดในสังคมที่เปลี่ยนแปลงไป

แม้ชาวเขาที่ไม่พ้นทุนนิยมที่เชี่ยวกราก..อาจจะถูกกระชากไหลลงวังวนกว่าด้วยซ้ำ

สามีของพวกเธอ จะเป็นฝรั่งหรือไทย นั้นอาจไม่สำคัญครับ...

พี่บางทรายครับ

P

พี่น่าจะได้สัมผัสเรื่องจริงที่ไม่ใช่อิงนิยายเหล่านี้พอสมควร ก่อนโน้นผมเคยเขียนเรื่องหนึ่ง เรื่องของสาวอะโกโก้ เธอไม่ผิดเลยที่ตัดสินใจ ผมมองถึงบริบทและความจำเป็นที่ดึงเธอเข้าไป

ปัญหาเหล่านี้เป็นปัญหาโดยรวมของประเทศ วิกฤตแบบนี้ต้องช่วยกันคิดกันแก้...

ประเด็นที่ผมนำมาเล่านี้...น่าจะสะกิดใจใครบ้างไม่มากก็น้อย

แวะมาทักทายครับ

อ่านแล้วมีแต่คำถามผุดขึ้นในสมอง

สภาพเศรษฐกิจ ขณะนั้นคงเป็นปัญหาหลัก

น่าเห็นใจน่ะครับ

  • เป็นเรื่องของโชควาสนาคะ...
  • ถ้าไปเจอที่ร้ายๆจะทำอย่างไรคะ..คนดีและไม่ดีมีอยู่ทุกชาติทุกภาษาคะ
  • ทำให้เห็นภาพรวมของประเทศคะ...
  • ประชาชนคนหาเช้ากินค่ำไม่มีทางเลือกมากนักคะ...หากไม่เริ่มเสียแต่วันนี้ประเทศชาติจะเป็นอย่างไรไม่อยากคาดเดาเลยคะ
น่าเศร้าใจนะพี่ หนูว่ามันไม่ได้อยู่ที่โอกาสทางการศึกษาด้วยซ้ำ ทัศนคติแบบนี้มันแล้วแต่คน เจอมามากที่ผู้หญิงไม่ได้เรียนหรือเรียนน้อยแต่ยอมทำงานทั่วไปที่หนักและได้เงินน้อยกว่า โดยไม่ยอมไปทำอาชีพแบบนั้น และก็เจอเยอะประเภทที่เรียนก็ไม่น้อยแต่รักสบายเลยยอมทำอาชีพเสริมอย่างว่า คนบางคนไม่เคารพและให้เกียรติตัวเองนี่เป็นเรื่องที่แก้ยาก อย่าอ้างว่าจน ความจนและงานหนักไม่เคยฆ่าใคร แต่เขารักความสบายที่ไม่ต้องลงทุนอะไรนอกจากเอาตัวเองเข้าแลก

เล่าเคสนึงให้ฟัง มีสาวคนนึงจบป.ตรี มหาลัยเอกชนมีชื่อ มาเกาะอยู่กับเพื่อนๆ กลุ่มที่โปโล เธอรุ่นเด็กกว่ากันเยอะ เพื่อนเราก็ควงไประยะหนึ่งแล้วพ่อแม่ให้ไปเรียนต่อนอก เพื่อนคนอื่นๆ ก็รับช่วงกิจการต่อ หมุนเวียนเปลี่ยนไป 4-5 คน แล้วแต่ใครจะรับเลี้ยง หน้าตาสวยงาม ฐานะก็ปานกลางไม่ลำบากยากจน แต่เธออยากอยู่ในกลุ่มที่มีมากกว่าสังคมที่เธออยู่

พอเพื่อนคนที่เป็นผู้อุปถัมภ์คนแรกกลับมาจากเมืองนอก เธอก็เปลี่ยนเป้าหมายกลับมาหาทันที ในที่สุดทุกคนในกลุ่มเลยมานั่งสุมหัวนินทากัน ว่า...ไม่ไหวๆ เลิกกิจการดีกว่า คือซูซานเป็นผู้หญิงคนเดียวในกลุ่มก็ไม่อยากไปจุ้นจ้านกับเขามาก แต่ก็เคยเตือนเพื่อนเราว่าอย่าไปยุ่งกับคนแบบนี้เลย เขาชอบเงินเรา ไม่ใช่ตัวเราหรอก ในที่สุดก็ลงมติกันเป็นเอกฉันท์ get out เธอไปจากวงจร

ทำให้สบายใจขึ้นเยอะ ไม่งั้นเวลานั่งสังสรรกันเมื่อไหร่ จะต้องมีแม่คนนี้ตามมาเกาะเป็นปลิง เราเป็นผู้หญิงเห็นแล้วอายแทน ไร้ยางอายสิ้นดี ตอนหลังได้ยินเพื่อนผู้ชายพวกนี้พูดคุยกันเองว่าชั่วคราวน่ะพอได้ ให้มาเป็นแม่ของลูกล่ะก็ชาติหน้าก็อย่าหวัง ตรูไม่โง่ พอใจเอาตัวมาแลกเงินก็ตามใจ คุณแม่ไม่ปลื้ม

สวัสดีค่ะ น้องเอก

  • แวะมาอ่านและได้เห็นแนวคิดจากหลายๆท่าน  หลายๆมุมมอง
  • ขอถอนใจเฮือกใหญ่ๆหน่อยนะคะ...เฮ้อออออ.....

สวัสดีค่ะ

พี่เคยไปให้หมอนวดแผนโบราณ มีป้าคนหนึ่งเป็นคนนวดให้

ระหว่านวดป้าก็เล่าชีวิตของป้าให้ฟัง

ป้ามีลูกสาวก็เป็นหมอนวดแผนโบราณ ทำงานที่ภูเก็ต ป้าอยากให้หาสามีฝรั่ง เพราะลูกป้าเคยมีสามีคนไทย

สามีคนไทย ไม่รับผิดชอบ กินเหล้า เล่นการพนัน มีแต่เมียต้องหาเงินให้ใช้

ป้าก็รอว่าเมื่อไหร่จะได้ลูกเขยฝรั่ง เพราะป้าเห็นใครแต่งงานกับฝรั่งจะมีบ้านหลังใหญ่ มีรถพาไปเที่ยวได้

ชายไทย ลองคิดดูนะว่าใช่ตามที่ป้าพูดไหม

คุณต้อมครับP

แต่หญิงสาวที่แต่งงานกับคนต่างชาติหลายๆคนก็มีชีวิตที่ดีขึ้นครับ. มันเห็นประจักษ์..ก็เลยเป็นค่านิยมของชาวบ้านไปเลย

ไม่แปลกที่จะมีคนถามคุณต้อมเเบบนี้ ...

บางทีก็เลือกไม่ได้ครับ สามีไทยก็ไม่เอาการเอางาน เมาตลอดวัน แบบนี้ก็มีเป็นบางเคสนะครับ

ก็ตามวิถีอย่างที่คุณต้อมว่านั่นหละครับ

สวัสดีครับครูแอนP

เป็น "ค่านิยม"ครับ ที่เกิดขึ้นไม่นานมานี้                   ที่เมืองปายเราก็คงเห็นปรากฏการณ์แบบนี้บ้าง

เมื่อทุนนิยมและตะวันตกเข้ามา เราก็เดินเข้าไปจงรักภักดี จนไม่เป็นตัวของตัวเอง อันนี้แย่

ที่บ้านเรา (ปาย) มีกลุ่มที่พยายามทำเรื่องนี้อยู่(อนุรักษ์ สืบสาน)ประเพณีอันดีงาม  เป็นเรื่องที่ดีครับ

มีการผสานกับตะวันตกอย่างที่เมืองปายก็ไม่แปลกครับ แต่ขออย่าลืม "ราก" ตรงนี้สำคัญ

สวัสดีครับ อ.แสวง

P

ตอนนี้ก็มีเชื้อชาติปะปนครับ ไทย จีน ฝรั่ง ญี่ปุ่น  คนพื้นราบ คนภูเขา ลูกครึ่งกันค่อนเมืองแล้ว

แต่ปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นบนดอยที่ผมเล่า นอกจากค่านิยมการมีสามีต่างชาติแล้ว ระบบเศรษฐกิจจัดได้ว่าล้มเหลวครับ ชาวบ้านเป็นหนี้ กทบ.หัวโต ธกส.ก็กระหน่ำซ้ำเติมอีก ...

ราคาพืชผลเกษตรที่เป็นโมโนครอป ก็ถูกจนชาวบ้านอยู่ไม่ได้ ปุ๋ย ยา แพง สารเคมี โรค-มะเร็ง สุขภาพทรุด...มีแต่แย่นะครับ

ระบบการศึกษาก็ช่วยไม่ได้..อย่างที่รู้กัน (พูดไปยาว)

ไม่ใช่แค่ลูกครึ่งครับ อะไรๆก็ครึ่งๆกลางๆทั้งนั้น เอาดีไม่ค่อยได้

 

P

ใช่เลยครับ อาจารย์ทุกอย่างมีเหตุผลของมัน ดังนั้นสิ่งที่เป็นไปล้วนเป็นไปตามเหตุผล..มีเหตุปัจจัยให้เกิด

เพราะมีสิ่งนี้ จึง มีสิ่งนี้ใช่หรือเปล่าครับ

ที่น่าเป็นห่วงคือการรู้เท่าทันของคนบนดอยครับ ส่วนหนึ่งโดนหลอก ....และอยู่ในภาวะจำยอม

ตามที่ผมบันทึก ก็พอเห็นปรากฏการณ์ได้บ้างนะครับ

 

 

  • แวะมาอีกรอบค่ะ
  • หนังสือพิมพ์มติชนฉบับวันที่ 23 ก.ย. ท่านผู้อ่านเขียน จม. ถึง นสพ. ว่า ปัจจุบันภาษาอังกฤษเข้ามาแทรกในภาษาไทย (และสื่อมวลชนก็เอามาพาดหัวข่าวจนเป็นเรื่องปกติ..ไม่มีความแปลกแยกแต่อย่างใด) เช่น น็อคเอ้าท์ โลจิสติค ไฮโซ แค้มป์ เอกซ์เร และล่าสุด "วินเชียร์"
  • ถ้าให้มองแบบพยายามทำความเข้าใจนะคะ ในภาษาพูดของเราทุกวันนี้มีการผสมกลมกลืนจนแยกไม่ออกว่าอันไหนไทยอันไหนเทศ....ภาษาเขมร (ขอม) ก็แทรกอยู่ดาษดื่นไปหมด (ดำเนิน...เสวย....สดับ...ฯลฯ)
  • ความหลากหลายทางภาษาและชาติพันธุ์อย่างกลมกลืนอาจจะสวยงามก็เป็นได้นะคะ

แต่เรื่อง "เอาผัวฝรั่ง" นี่กลับเป็นปัญหาที่ไม่เป็นปัญหา เพราะเป็นความพึงใจของปัจเจก ...ค่ะ 

สวัสดีค่ะคุณเอก

  • เรื่องแบบ นี้มีมานานแล้ว และทางภาครัฐก็ไปวิเคราะห์ วิจัยกันมามาก แก้ไม่ตก ได้แต่บ่นๆกัน เป็นค่านิยมไปแล้วค่ะ
  •  แต่มองอีกด้านก็เห็นใจ  คนเรามัวแต่ทำหยิ่ง แต่ไม่มีเงิน จะให้ทำอย่างไร ใครทำให้สบายขึ้น ครอบครัวพ่อแม่พลอยดีไปด้วย ก็ไม่ต้องคิดมากหรอก
  • นี่คือปัญหาความยากจนค่ะ
  •  ก็ทำไมถึงจน  ก็เพราะไม่มีความรู้  ว่าจะทำอะไรให้ดีกว่านี้นี่
  • สำหรับฝรั่งเอง มาอยู่เมืองไทย ค่าครองชีพถูก มีคนดูแลด้วย อยู่เมืองเขา บางทีก็ไม่พอใช้
  • ถ้าจะว่าไป เมืองไทยยังมีค่านิยมอย่างนี้ น้อยกว่าฟิลลิปปินส์ค่ะ
  •  P

    "สัตว์เศรษฐกิจ"  เราก็ล้วนเป็นสัตว์ใช่มั้ยละครับ

    เป็นศัพท์ที่กระแทกกระทั้นสังคมดีแท้....

    ผมคิดว่าการเข้ามาแต่งงานกับสาวไทยของต่างชาตินั้น ผมยังมองในมุมที่ดีครับ หลายคนมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น..

    ปัญหาที่เขียนไว้ในบันทึก อาจเป็นปัญหาสามัญของกลุ่มชาติพันธ์ที่อยู่ในหลายๆจังหวัด

    การรู้ไม่เท่าทัน การหลงผิด ค่านิยม หรืออะไรก็แล้วแต่ ทำให้ความสัมพันธ์ในเครือญาติเดิมเสียไป ความสัมพันธ์ในชุมชนก็ถูกกระทบไปด้วย

    รวมถึงเรื่องการค้ามนุษย์ด้วยครับ ช่วงหลังมีการทำอย่างเป็นกระบวนการ ซึ่งน่าเป็นห่วงครับประเด็นนี้

     

     

    P

    สวัสดีครับ อ.แป๋วครับ..เรามองถึงค่านิยมอันฟุ้งเฟ้อ แข่งขันเรื่อง"วัตถุนิยม" ประเด็นนี้หละครับ ที่ผมพยายามสื่อออกมาทางบันทึก

    เรื่อง "ผัวฝรั่ง" นั้นผมไม่ได้ให้น้ำหนักในการพูดถึง แต่ให้เป็นหัวข้อบันทึกครับ

    สาวดอย หรือ ไม่ใช่สาวดอยหลายคนที่แต่งงานกับต่างชาติ คุณภาพชีวิตดีขึ้น และก็ยังมีบางคนที่มีปัญหา

    ในชนบทในกลุ่มชาติพันธ์ที่ผมสัมผัส การเลิกร้างของคู่สามีภรรยามีสูง และเมื่อหย่าแล้วสาวๆก็มักเดินทางเข้าสู่อาชีพเพื่อประทังตนเอง เพื่อสังคมของตนเอง ครอบครัว

    ไม่มีใครผิดนะครับ เพราะล้วนแต่ถูกกระทำทั้งนั้น

    รัฐและผู้เกี่ยวข้องก็ต้องมองด้วยครับ ว่าชนบทที่ไกลโพ้น มีรากปัญหาวิกฤติอะไร...จะแก้ไขอย่างไร นั่งคุยกันยังไง

     เป็นปัญหาเร่งด่วนที่ใครๆก็เพิกเฉยครับ

     P

    อาจารย์ยุวนุช 

    "บางทีผู้คนในชุมชน ในสังคมของเธอนั่นเองที่บีบให้เธอทำในสิ่งที่ตัวเองก็ไม่รู้อนาคต"

    นี่เป็นปรากฏการณ์จริงครับ...เป็นปัจจัยใหญ่ๆด้วยที่เกิดขึ้น สังคมที่เธออยู่นั่นเองที่เป็นแรงผลักให้หญิงสาวต้องออกมาทำงานในเมือง

    ความฟุ้งเฟ้อ แข่งขันวัตถุนิยมบนดอยรุนแรงมาก ทำให้คนเครียด และมุ่งทำงานเพื่อหารายได้สูงสุดมา สนอง...

    ผมเองก็กริ่งเกรง จะมีการเปิดประเด็นนี้เป็นประเด็น "เฟมินิสต์" และนำไปสู่การเข้าใจผิด การเขียนเรื่องที่เห็น ปรากฏการณ์ที่พบ อยากให้ประเด็นเหล่านี้ให้สังคมได้ฉุกคิดแมองถึงรากปัญหา

    เท่าที่ผมทราบยังไม่มีหน่วยงานไหน ที่จะเข้ามาดูแลกันอย่างจริงจัง อาจเป็นงานพัฒนาที่เข้าไปเพื่อสรางอาชีพ แต่นั่นก็เหมือนตอกย้ำความจนซ้ำซากของชุมชนมากขึ้น...เพียงเพราะเหตุผลต่างๆที่อาจารย์ทราบดี

     ไม่มีทางเลือก..ถามว่าจะให้ทำอย่างไร??? เมื่อมันไม่มีก็ต้องหา ข้าวไม่พอยาใส้ ผู้หญิงก็ต้องลุกขึ้นทำบทบาทผู้หาเงินมากขึ้น ทางเลือกที่ไม่มีเท่าไหร่

    วิถีที่เป็น ใครอยากจะเลือก

    มันก็ขมขื่นในอก จนบอกใครไม่ได้อยู่แล้ว

    อาจารย์ขจิตครับP

    ชนบทยังไม่ได้ล่มสลายไปหรอกครับ

    เรายังมีแง่มุมดีๆอีกมากครับผม แต่มุมดีๆเหล่านั้นยังไม่ได้นำออกมามากนัก  เพราะระบบไม่ได้เปิดให้เต็มที่

    การศึกษาช่วยได้แน่นอนครับ แต่ปัญหาอยู่ที่ว่า การศึกษาของเรากลับตอกย้ำปัญหานี้ให้รุนแรงมากขึ้นนะสิครับ...

     

     

    สวัสดีครับ คุณP

    ไปทำอะไรที่กัมพูชาครับ???

    วิถีที่เพื่อนของคุณเจอก็เป็นวิถีหนึ่งที่น่าสนใจครับ เปรียบเทียบได้กับค่านิยมที่ฟุ้งเฟ้อของบันทึกผมได้ดีมันก็ต่างกันตามวิถี...

    ที่คุณเจอที่กัมพูชาก็เป็นนั่นก็วิถี ..

    ให้กำลังใจครับ

    เจอกันที่ "ดงหลวง" นะครับ

    สวัสดีค่ะคุณเอก

    • แหววไม่ได้เข้ามา g2k เสียนานด้วยภาระ และปัญหาที่ระบบ Net วันนี้มีโอกาสเลยมาติดตามงานบันทึกดีๆ อ่านทุกบันทึกที่ยังไม่ได้อ่าน แต่มาลงความคิดเห็นรวบยอดในบันทึกสุดท้าย ได้ความสุขใจ สบายอารมณ์ ทั้งเรื่องและภาพมาตลอด จนบันทึกสุดท้ายนี้...เพลียใจไปด้วยเลยอ่ะ...ธรรมชาติเป็นเช่นนี้เอง...
    • ขอบคุณกับเรื่องราวดีๆ ที่ให้แง่คิดงามๆ อันหลากหลาย...พร้อมทั้งบทพิสูจน์ของการทำงานระดับเครือข่ายของกัลยาณมิตรค่ะ...

    สวัสดีครับ คุณแหวว

    P

    ยินดีมากครับที่เข้ามาอ่าน ...แต่บันทึกนี้ทำให้คุณแหววตกร่องอารมณ์ไปเลยนะครับ อาจเป็นเพราะบันทึกก่อนๆของผมนั้น เป็นเรื่องเล่าเคล้าความยินดีครับ ...เลยอารมณ์คุณแหววไปเรื่อยๆ

    แต่เป็นธรรมดาของชีวิตใช่มั้ยละครับ???

    ธรรมดาของชีวิต ที่ต้องเกิด ต้องเจอ..

    ชีวิตสอนชีวิตไงครับ

    คุณแหววสบายดีนะครับ...อาการไม่สบายครานั้นคงหายดีแล้ว

    ขอบคุณที่เข้ามาทักทายฉันท์มิตรครับ

     

         ไม่รู้เหมือนกันว่า ที่โชคดีมีกี่คน  แต่ที่โชคยังไม่ดียังหลงเหลืออยู่ที่แหล่งท่องเที่ยวทางนี้ก็หลายคน    เคยเข้าไปนั่งคุยสอบถามก็ได้คำตอบว่า " ทุกคนที่มาที่นี่ฝันอยากมีผัวฝรั่งกันทั้งนั้นแหละพี่"   ...............!!!

             เอกครับ ผมสามารถมองเห็นภูเขาลูกเดียวกันนั้นได้จากที่นี่เลยครับ "ภูเขาที่ดูกร่อนโกร๋น ทรุดโทรมเต็มที ...ดูไปทางไหนก็ไม่งามตาเอาเสีย   เลย"    

               ขอเป็นกำลังใจให้กับการทำงานเพื่อชุมชนต่อไปน่ะ   ผมอยู่กับงานท่องเที่ยวมาก็หลายปี รู้สึกเหนื่อยเหลือเกิน อีกไม่นานคงหันหลังให้กับมันแล้วหล่ะ อยากทำอะไรอย่างที่ใจอยากทำบ้าง 

    ขอบคุณมากเอก             

     P

    พี่ชายครับ

    เรื่องชีวิตที่ผมนำเสนอ ไม่รู้ว่าโชคดี หรือโชคร้ายครับ..แต่ก็แล้วแต่วิถีกันไป จากหลายข้อคิดเห็นที่เขียน ผมก็ได้เห็นชีวิต ทั้งด้านบวกและลบ

    พี่kareem ทำงานในแวดวงท่องเที่ยวคงได้เรียนรู้จากผู้คนมามากนะครับ ...ถ่ายทอดชีวิตผ่าน Blog น่าสนใจไม่น้อย

    ขอกำลังใจในการทำงานให้พี่kareem เช่นเดียวกันครับ ขอให้มีพลังในการเดินทางต่อไปครับ

    มาเยี่ยมผมนะครับ...ผมจะพาไปหลายๆจุดเพื่อเรียนรู้

    ขอบคุณมากครับผม 

    ขอบใจมากเอก สำหรับคำเชิญ  ปกติก็ชอบที่จะไปเที่ยวปายอยู่แล้ว และยิ่งทำให้อยากไปขึ้นอีกเมื่อรู้ว่าเอกอยู่ที่นั่น  ช่วงนี้ขอลุยงานเก็บปัจจัยอีกหน่อยน่ะ พร้อมเมื่อใหร่ ได้เจอ

           ผมทำงานในแหล่งท่องเที่ยวกับฝรั่ง จึงหนีไม่พ้นที่จะรู้จักกับ "เมียฝรั่ง" มากมายหลายคนครับ

    ฝรั่งก็คือคน คนดีๆก็มี  แต่การที่วางโจทย์ให้ตัวเอง ว่ามีผัวฝรั่งแล้วจะมีบ้าน มีรถ นั่นก็เท่าปิดโอกาศที่ตัวเองจะได้เจอกับคนดีๆไปเสียแล้ว  ถ้าปัญหามันจบแค่ บ้าน กับ รถ  เราก็คงไม่ต้องยกประเด็นนี้มาคุยกันหรอกครับ   แต่ที่มากกว่านั้น...  ไม่อยากพูดเลย เจ็บใจครับ  คำว่า "เกียรติ" และ "ศักดิศรี" ของคนไทยกับฝรั่งนั้นเขียนต่างกันโดยสิ้นเชิงเลยครับ 

          ผมชอบงานที่เอกทำน่ะ อยากให้พาไปดูจริงๆเลย 

     

    สวัสดีครับพี่Pครับ

    ไม่ต้องเก็บปัจจัยอะไรมากมายครับ ..ค่ารถก็พอครับ อยู่ง่าย กินง่าย สบายๆผมว่าไม่ต้องมีค่าใช้จ่ายมากมาย

    เห็นด้วยครับเรื่อง การมีคนดี ไม่ดี ปะปน แต่ที่น่าเป็นห่วงก็คือ "ศักดิ์ศรี" แบบที่พี่kareem
    เอ่ยถึง 

    สาวชาวไทยภูเขาที่นี่ ส่วนหนึ่งมีค่านิยมมีผัวฝรั่ง ...เพราะคิดว่าร่ำรวย จึงเกิดการทะเลาะ หย่าร้างสามีคนไทยด้วยกัน แต่พอได้ผัวฝรั่งจริงๆแล้วกลับกลายเป็นว่า เจ้าฝรั่งมันนั่งดวดเบียร์ทุกวัน กายเป็นอาศัยเมียกิน...

    กรณีแบบนี้แย่หน่อย

    ----------------

    พี่มาเมื่อไหร่แจ้งให้ทราบด้วยครับ ผมจะวางโปรแกรมดีๆไว้ครับ

    พี่ชายผมทั้งคน..

    พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
    ClassStart
    ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
    ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
    ClassStart Books
    โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท