ฉํนอ่านเรื่อง "เตรียมตัวก่อนเดินทางครั้งสุดท้าย:เผชิญความตายด้วย
ใจสงบ" จากหนังสือสารคดี ฉบับที 270 ประจำเดือนสิงหาคม 2550
แล้วชื่นชมการทำงานของหน่วยชีวันตาภิบาล โรงพยาบาลสงขลา
นครินทร์(มอ.) ที่ทำหน้าที่เกี่ยวกับการดูแลผู้ป่วยระยะสุดท้าย เพื่อ
เยียวยาจิตใจคนไข้ด้วยนอกเหนือจากการรักษาตามหลักการแพทย์
ฉํนอยากให้มีหน่วยอาสาสมัครดูแลผู้ป่วยระยะสุดท้ายให้ครบทุกโรง
พยาบาล เพราะจากประสบการณ์ที่ต้องดูแลคุณพ่อที่เป็นมะเร็ง นั่ง
และเดินไม่ได้และต่อมามีอาการทรุดหนัก ต้องนำส่งโรงพยาบาล
อย่างเร่งด่วน คุณหมอทำการรักษาโดยใส่ท่อผ่านทางปาก มัดแขน
มัดขา เพราะคุณพ่อจะดึงท่อออก พอลูกๆ เข้าไปเยี่ยมก็จะพยายาม
บอกให้เอาออก ซึ่งพยาบาลบอกว่าเอาออกไม่ได้ คุณพ่อก็นอนน้ำตา
ซึม ภาพนั้นเป็นภาพที่ติดตาฉันมาจนทุกวันนี้ ทำให้คิดว่าเราทำผิด
หรือทำถูก แต่เมื่อวาระสุดท้ายของคุณพ่อมาถึง คุณหมอและเจ้า
หน้าที่ห้องไอซียูก็ช่วยแนะนำวิธีบอกทางให้คุณพ่อตายดี โดยให้ลูก
คนใดคนหนึ่งสวดมนต์ (ซึ่งทางโรงพยาบาลเตรียมหนังสือสวดมนต์
ให้ ) และเล่าความดีที่คุณพ่อเคยทำมาให้คุณพ่อฟัง ทุกคนยกหน้าที่นี้
ให้ฉัน ฉันพยายามข่มความรู้สึกเสียใจ และเริ่มสวดมนต์สลับกับเล่า
ความดีของคุณพ่อให้ท่านฟัง เป็นเวลาเกือบ 1 ชั่วโมง พยาบาลก็
เข้ามาจับมือฉันและบอกว่าคุณพ่อจากไปแล้ว คุณพ่อจากไปอย่าง
สงบเหมือนนอนหลับ และฉันเคยฝันเห็นท่านครั้งหนึ่ง เห็นท่านเดินได้
และหน้าตายิ้มแย้ม ทำให้ฉันนึกย้อนไปว่าหากผู้ป่วยผู้ใดที่มีช่วงเวลา
สุดท้ายของชีวิตตนเองอย่างทรมานโดยไม่มีญาติพี่น้องหรือใครมา
ดูแล ผู้ป่วยเหล่านั้นจะรู้สึกเศร้าโศกเพียงใดที่จะต้องจากโลกนี้ไป
อย่างโดดเดี่ยวลำพัง
เรื่องเล่านี้มีประโยชน์มาก เคยเห็นครูวิไลย์พาคุณแม่ไปโรงพยาบาลพุทธชินราช เป็นภาพที่ประทับใจไม่รู้ลืมเพราะซาบซึ้งกับความเป็นลูกที่กตัญญูเป็นอย่างยิ่ง
ฉันพยายามข่มความรู้สึกเสียใจ และเริ่มสวดมนต์สลับกับเล่าความดีของคุณพ่อให้ท่านฟัง เป็นเวลาเกือบ 1 ชั่วโมง
ผมเชื่อว่า ๑ ชั่วโมงนั้นจะเป็นช่วงเวลาที่มีค่าที่สุดในชีวิตของเราเลยทีเดียวครับ
ขอบคุณครับ สำหรับเรื่องเล่าสั้นๆแต่มีข้อคิด เป็นแรงบันดาลใจให้สามารถนำไปปฏิบัติตามได้ ขออนุญาตนำไปรวบรวมไว้ใน รวมบันทึก ของผมนะครับ