เหลียวมองดูนาฬิกาเจ็ดโมงครึ่ง...
นั่งคำนึงศึกษากรรมตามสนอง...
ใบไม้ปลิวขึ้นเขาเฝ้าแลมอง...
ทำไมต้องปลิวไปไกลไร้เงา...
เห็นนกน้อยคลอเคลียเหม่อมองเมียง...
มุมระเบียงเฉียงใต้ในยามเช้า...
ลมผัดฉิวผิวกายสบายเรา...
อยู่ยอดเขาเฝ้าฝันกลกาลกลอน...
นกเขากรูกู่ก้องดังวังเวงแว่ว...
ขันเจื้อยแจ้วไก่กาหมาเห่าหอน...
หอมดอกไม้ทั่วถิ่นดินดงดอน...
จากสิงขรเขาเขินเนินพนา...
เห็นเรือน้อยคอยปลามาริมท่า...
คนหาปลามากมายเป็นหนักหนา...
ท้องทะเลแลไปไกลลับตา...
สุดขอบฟ้าเขากั้นนั้นหมอกลง...
ห่มเมฆหมอกมองเห็นเป็นขาวเทา...
ลับเหลี่ยมเขาทิวไม้ให้ไหลหลง...
สุดสายตาฟ้าขาวยาวยืนยง...
ดำรงคงฟ้าดินถิ่นโลกา...
ลมลำเพยพัดผ่านหอบเอากลิ่น...
ดอกกระถินถิ่นดงพงพฤกษา...
แย้มยิ้มยวนกวนใจในพนา...
สวยงามตาพาเพลินเจริญใจ...
สองทะเลฝั่งฟากหากคิดดู...
ไม่เหมือนคู่คนรักกันเป็นไฉน...
เรารักกันมั่นเกลียวเกี่ยวก้อยไป...
แสนสุขใจในรักปักอุรา...
ทะเลเขาขวางกั้นอันดามัน...
แต่เธอฉันไร้เขตขวางกั้นหนา...
รักของเราคงอยู่คู่โลกา...
เสริมคุณค่า...รักมั่น...นิรันดร์...เอย.
ฮา ๆ เอิก ๆ
อาจารย์umi ครับ
ขออนุญาตินำกลอนดีๆไปรวมนะครับ ขอบคุณครับ http://gotoknow.org/blog/mrschuai/102160
ไม่เหมือนคู่คนรักกันเป็นไฉน...
เรารักกันมั่นเกลียวเกี่ยวก้อยไป...
จะแต่งอย่างท่านอาจารย์ยูมิบ้าง ก็มีแต่ "กลิ่นน้ำคลำควันรถ ผู้คน และตึกสูง :-)
นม. |
แต่งไปเลยครับก็จะเป็นการบันทึกปรากฎการณ์ทางสังคมตรงจุดนั้นนะครับผม
ขอบคุณครับ