(3) .....
เมื่อทุกคนมารวมกันในห้องโถง กิจกรรมที่ดำเนินโดยกระบวนกรทั้งสองท่าน ทำให้ฉันรู้สึกคุ้นเคยอย่างยิ่ง
เปล่าค่ะ.. ไม่เลย ฉันไม่เคยได้รับการอบรมเรื่องนี้มาก่อน !
เพียงแต่ที่รู้สึกคุ้น ก็เพราะเคยอ่านมาก่อนจากท่านอาจารย์หมอ phoenix blooger อีกท่านใน G2K แห่งนี้ ดังนั้นจึงไม่ขอเขียนลึกลงไปในรายละเอียดของเรื่องเนื้อหาการอบรม เพราะรู้สึกว่า อาจารย์ phoenix ได้เขียนไว้ละเอียดลึกซึ้งแล้ว อยากจะแนะนำให้ท่านไปอ่านได้ที่บันทึกเหล่านี้ดีกว่า
ดังนั้น.. เมื่อได้รับการอบรมและปฏิบัติด้วยตนเอง ก็เหมือนเป็นการทบทวนในสิ่งที่อ่านมา ให้ได้เข้าใจลึกซึ้งยิ่งขึ้น
แต่อย่างไรก็ตาม.. ตอนเริ่มๆชั่วโมงแรก ก็ยอมรับล่ะว่า วูบหนึ่งเมื่อเริ่มต้นชั่วโมงการฝึกอบรมนั้น จิตใจฉันมีการต่อต้านเล็กๆ ทั้งนี้เพราะกระบวนกร ให้ทุกคนเดินสงบนิ่ง แบบไร้ทิศทางภายในห้อง โดยให้กำหนดจิตไว้ที่ลมหายใจเข้าออกของตนเอง ... ฉันทำตามและเริ่มเดิน
แล้วเมื่อจิตถูกตรึงไว้ที่ลมหายใจไม่ฟุ้งซ่าน เสียงกระบวนกรก็เอ่ยช้าๆ น้ำเสียงเนิบนาบที่ลอยเข้ามาสู่โสตประสาท... เหมือนมือบางเบาที่คอยจูงสติและความคิดของผู้เข้ารับการอบรม ไปตามเส้นทางที่โจทย์กำหนดไว้
ในตอนแรก..ฉันก็ปล่อยจิตและความคิด ไปตามเสียงจูงที่นำทาง แต่เมื่อฉันพบว่า..เส้นทางที่ฉันกำลังเดินไปนั้น กำลังพาฉันไปสู่ประตูเล็กๆบานหนึ่ง ที่ฉันเคยพยายามปิดลงกลอนมันไว้ เท้าของฉันก็ชะงัก เกิดอาการขัดขืนขึ้นวูบหนึ่งทันที
เพราะประตูบานนั้น.. คือช่องทางเปิดไปสู่ความเศร้าในอดีต ที่ฉันไม่อยากคิดถึงมันอีก ฉันจึงปิดผนึกลงกลอนมันไว้ เพราะทุกครั้งที่เผลอก้าวเข้าไป ต้องรู้สึกเจ็บปวดขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก แต่มือบางเบาข้างนั้น..ก็ยังคงผลักให้ฉันเข้าไปให้ได้
วินาทีนั้น ฉันจึงรู้สึกเจ็บปวดขึ้นมาอีกครั้ง...เพื่อปกป้องความรู้สึกของตนเองไว้ ฉันจึงสลัดจากมือที่จูงนำทาง เบี่ยงเบนจิตและความคิดของตนเองไปทางอื่น ทางที่ฉันเลือกเดินเอง ไม่ขอตามมือที่จูงอีก
และแล้วเมื่อเข้าสู่ภาคทฤษฏี ...ฉันจึงค่อยเข้าใจและสำนึกว่า ที่ผ่านมา ฉันทำผิดมาตลอดเลยจริงๆ
.....................
ในภาคทฤษฏี.. ท่านกระบวนกร ได้สอนพวกเราให้รู้จัก ฐานกาย ฐานใจ และฐานความคิด สอนให้รู้จักเกี่ยวกับโหมดปกติ และโหมดปกป้อง โดยเอาทฤษฏีไข่แดงไข่ขาว มาแนะนำให้เรารู้จัก
ท่านสอนให้เรารู้จักฐานกาย โดยให้เรากำหนดจิตให้ตามลมหายใจเข้าออกของตนเอง ให้รู้จักฐานใจ โดยการที่ให้เราใช้จิตมองความรู้สึกของเราขณะนั้น และให้เรารู้จักฐานความคิด โดยใช้จิตมองความคิดเวลานั้นของเรา
มีกิจกรรมหลายอย่างที่ให้ทำ... อย่างเช่น พาไปพวกเราออกไปนอกห้องโถง ไปเดินกลางสวน ให้เราหลับตาลง แล้วกำหนดจิตตามลมหายใจเข้าออก จากนั้นก็ให้ใช้ประสาทสัมผัส อันได้แก่ตาและหู มองและฟังไปรอบข้าง พร้อมๆกับถามตัวเองว่า มองเห็นอะไร และได้ยินอะไร จากนั้นถามตนเองต่อไปว่ารู้สึกอย่างไร
การกำหนดจิตตามลมหายใจ การให้เรามองแค่เห็น ฟังแค่ได้ยิน รู้สึกแค่สัมผัสว่าเป็นอย่างไร .. แค่นั้นแล้วก็วางไว้ โดยไม่ให้อารมณ์ของเรา มาปรุงแต่งสิ่งที่ได้เห็น ได้ยิน และได้สัมผัส ให้มันล่วงลึกมากขึ้นไปกว่านั้น ทำให้จิตใจของฉันสงบลงมากๆ
ในวันแรกของการฝึกฉันยังไม่ค่อยเข้าใจหรือเข้าถึงอะไรมาก แต่พอมาวันที่สอง ฉันก็รู้สึกว่าตนเองทำได้มากขึ้น เหมือนเด็กที่ขี่จักรยาน เมื่อเริ่มฝึกจะล้มลุกคลุกคลาน แต่เมื่อสามารถทรงตัวได้ ต่อจากนั้น..ร่างกายก็จะเกิดความจดจำ ในการทรงตัวบนจักรยานโดยไม่ล้ม หรือคนที่ฝึกว่ายน้ำ ขอเพียงสามารถพยุงตัวในน้ำได้สักครั้ง ต่อก็จะเกิดการจดจำและว่ายน้ำได้
การฝึกให้ตัวเรามองแค่เห็น ฟังแค่ได้ยิน รู้สึกแค่สัมผัสว่าเป็นอย่างไร โดยไม่ปล่อยให้อารมณ์มาปรุงแต่งสิ่งต่างๆ ทำให้เราเกิดปัญญาขึ้น มองและเข้าใจสิ่งต่างๆได้อย่างมีเหตุและมีผล
............
เกี่ยวกับทฤษฏีไข่แดงไข่ขาว ได้เปรียบไข่แดงคือโหมดปกป้อง ที่ทำให้คนเราอยู่กับสิ่งเดิมๆ การประทำเดิมๆ ความกลัว ไม่กล้าเผชิญ โหมดปกป้อง..ทำให้คนเราหยุดพัฒนาการ ตึงเครียด หดหู่ หยุดการเรียนรู้ต่างๆ ส่วนไข่ขาว.. คือบริเวณของโหมดปกติ ที่ให้เราหลุดพ้นออกมาจากสิ่งเดิมๆ ให้เรากล้าเผชิญกับสิ่งใหม่ๆ ณ โหมดนี้ จะช่วยทำให้เราเติบโต สดชื่น ฟื้นพลัง เกิดการเรียนรู้ต่างๆในชีวิต
......
และเมื่อได้ฝึกฐานแห่งปัญญาทั้งสาม และทฤษฏีไข่แดงไข่ขาว ทำให้ฉันได้เข้าใจถึงตนเองขึ้นมามากขึ้น
ฉันได้เข้าใจว่า..คนเราเกิดมาย่อมต้องมีเรื่องราวมากมายเกิดขึ้นในชีวิต ทั้งสุขและเศร้า ทั้งพึงพอใจและเจ็บปวด สำหรับตัวฉัน ฉันได้เก็บความเศร้าเสียใจและความเจ็บปวด ไว้ในห้องๆหนึ่ง หลังเหตุการณ์เหล่านั้น ฉันใช้ความพยายามมากมาย ที่จะปิดประตูของห้องนั้นไว้
แต่ฉันกลับลืมไปว่า..ถึงแม้ฉันจะปิดประตูแน่นหนาสักเพียงไหน หากแต่ห้องๆนั้น ก็ยังคงอยู่ในใจของฉันเสมอ ยามใดที่ฉันเผลอ ใจล่องลอยเดินผ่านหน้าประตู หรือมีใครเข้ามาสะกิดประตูให้แง้มเปิด ฉันก็ต้องรู้สึกเจ็บปวดทุกครั้ง
มันจึงทำให้เรา กลัวที่จะเดินผ่านมัน ..ฉันพยายามหลักเลี่ยง ฉันรู้สึกหวาดกลัว จนตัวเองขังตัวเองไว้ในโหมดปกป้อง เก็บตัวเองไว้ในไข่แดง... อยู่กับความหดหู่ไร้พลัง หยุดการเรียนรู้ต่างๆ เพราะฉันกลัวจะเผลอเดินเข้าไปที่ประตูบานนั้น
แต่เมื่อฉันได้รู้จักฐานแห่งปัญญาทั้งสาม ฝึกให้ตัวเองมองแค่เห็น ฟังแค่ได้ยิน รู้สึกแค่สัมผัสว่าเป็นอย่างไร ฉันลองเอาตัวเองออกจากไข่แดง ออกจากโหมดปกป้อง เพื่อเผชิญหน้าประตูบานนั้น และเปิดมันเข้าไป ทำให้ฉันเกิดการเรียนรู้ว่า ความรู้สึกต่างๆที่แผ่ออกมาจากในห้องนั้น ตอนนี้ทำอะไรฉันไม่ได้อีกต่อไป
มันหน้าแปลกจริงๆ...ที่ฉันสามารถเดินเข้าออกห้องฉัน ทบทวนและพูดถึงอดีตที่ทำให้ฉันเคยรู้สึกเจ็บปวด โดยไม่รู้สึกเจ็บปวดอีกต่อไป
..........
แล้วในคืนของวันที่ 28 ท่านกระบวนกร ได้สอนให้พวกเรารู้จักไพ่ในมือ.... ซึ่งไพ่แต่ละใบที่เป็นบางส่วนของตัวเรา ที่เราเคยมีมาแต่เยาว์วัย แต่บางส่วนถูกทิ้งไป บางส่วนถูกเก็บไว้ มันทำให้ฉันเข้าใจได้ว่า ชีวิต ความทุกข์สุข ของคนเรานั้น ไม่ได้ถูกกำหนดโดยพระเจ้าหรือโชคชะตา หากแต่ตัวเราเองต่างหากที่จะสามารถกำหนดชีวิตเราเอง ว่าเราจะถือเลือกถือไพ่ใบไหน เก็บไพ่ใบไหนที่เคยทิ้งไป และจะทิ้งไพ่ที่ถือไว้ใบไหนไปเสียบ้าง
ทำไมเราต้องถือไพ่อดีตแห่งความเศร้า ความเจ็บปวดไว้ทำไม ทั้งๆที่เราเลือกที่จะทิ้งมันได้
คงเหมือนกับที่ฉันเก็บห้องแห่งความเศร้านั้นไว้ในใจ ทำไมฉันถึงไม่เก็บกวาดล้างความเศร้าออกไปจากห้องนั้น แล้วเอาภาพอันน่ายินดี เรื่องราวอันน่าภูมิใจของฉันเข้าไปเก็บ ไปตกแต่งไว้ในห้องนั้นแทน
และถ้าฉันไม่กล้าที่จะเดินไปเปิดประตู แล้วเข้าไปเก็บกวาดห้องๆนั้น เรื่องราวอันเจ็บปวดต่างๆ มันจะถูกชำระล้างไปจากห้องนั้นได้อย่างไร ?
ไพ่ที่ฉัน ถือไว้ เวลานี้
คือความโศกเศร้าที่ มืดสลัว
แผ่เมฆหมอก ความสับสนและหมองมัว
สร้างความกล้ว ความโกรธหลง ขึ้นในใจ
หากฉันทิ้ง มันไปได้ คงประเสริฐ
เพื่อกำเนิดตัวตน เป็นคนใหม่
ขอกุศลผลความดีที่สร้างไว้
ช่วยเหลือฉันทิ้งมันไป ได้ด้วยเทอญ
.....................
อันที่จริง.. ในการอบรมครั้งนี้ พวกเราได้รู้จักและเรียนรู้เรื่องราวอันประกอบด้วยปรัชญา ธรรมะดีๆมากมาย แต่เสียดาย ด้วยเวลาอันน้อยนิด ฉันเก็บและจำมาได้เพียงไม่ถึงหนึ่งในสิบเลย ยังมีการทำ Voice Dialogue , ทฤษฏีตัว U , คลื่นสมอง 4 คลื่น , ทฤษฏีไข่ไดโนเสาร์ , ผู้นำสี่ทิศ ฯลฯ
แต่ฉันคิดว่า.. เวลาสองวัน.. แค่ฉันได้รู้จักโหมดทั้งสองของชีวิต ทฤษฏีไข่แดงไข่ขาว วิธีการเชื่อเข้าสู่ฐานกาย ฐานใจ ฐานความคิดได้ รวมถึงได้รู้จักไพ่ในมือ แค่นี้ก็คุ้มค่ามากมายแล้ว เพียงแค่ได้แตะถึงยังไม่ได้ลงลึกชำนาญ ก็รู้สึกผ่อนคลายและจิตเบิกบานขึ้น
หากได้ฝีกต่อไปให้มากกว่านี้ ไม่รู้จะบังเกิดสิ่งดีๆขึ้นมากเพียงไหน ?
การเดินทางเข้าสู่สวนสายน้ำในครั้งนี้ ธรรมชาติอันสุขสงบ การอบรมที่ช่วยชี้แนะแนวทาง เหมือนกับการที่ฉันได้เจอวิธีการทำให้ขวดน้ำในใจฉันหยุดกวัดแกว่ง และถูกวางพักลง ปล่อยน้ำในขวดให้ตกตะกอนนอนก้น แล้วเราก็จะสามารถเห็นสิ่งที่อยู่ในน้ำ จากนั้นใช้ปัญญาตักมันออกมา เพื่อจะให้น้ำกลับสู่ความใสกระจ่างต่อไปอีกครั้ง
จึงขอขอบพระคุณการจัดการอบรมครั้งนี้จริงๆ ที่ทำให้ฉันได้อะไรมามากมายเหลือเกิน
..................................................