เมตตาธรรม (ตอนสาม): ว่าด้วยการเจริญเมตตาภาวนา


หลักการเจริญกรรมฐานนั้น ต้องมีอารมณ์มาเป็นเครื่องยึดเหนี่ยวจิตให้เกาะติด เรียกว่าอารมณ์กรรมฐาน ดังนั้น การเจริญเมตตาภาวนาก็ต้องรู้ว่าอารมณ์ของจิตที่จะสร้างให้เกิดเมตตาจิตนั้น คือใคร เช่น มุ่งเอาสัตว์หรือบุคคลใดมาเป็นอารมณ์กรรมฐาน

เมตตาธรรม (ตอนสาม): ว่าด้วยการเจริญเมตตาภาวนา

      สองตอนที่แล้ว ว่าด้วยเรื่องลักษณะและคุณสมบัติของเมตตาธรรมไปแล้วอย่างกว้างๆ ตอนนี้ขอขยายความวิธีการเจริญเมตตาครับ

      การเจริญเมตตา จัดเป็นมหากุศลจิตเพราะสร้างให้เกิดจิตที่ประกอบไปด้วยองค์ธรรมอันงดงาม สะอาดและบริสุทธิ์ ปราศจากกิเลสเข้าเจือปน

      การเจริญเมตตาจึงจัดให้อยู่ในการปฏิบัติขั้นกรรมฐาน คือ เมตตาภาวนาจัดอยู่ใน จตุอารักขกัมมัฏฐาน หมายถึงการเจริญกรรมฐาน๔ อันเป็นเครื่องรักษาตนให้ผู้ปฏิบัตินั้นให้สงบระงับจากกิเลสทั้งทางกายและทางใจ ที่ควรเจริญเป็นนิตย์ 

      มี ๔ อย่างคือ คือ ๑) พุทธานุสสติ ระลึกถึงคุณพระพุทธเจ้า ที่มีในพระองค์ และทรงเกื้อกูลแก่ผู้อื่น ๒) เมตตา แผ่ไมตรีจิต คิดจะให้สัตว์ทั้งปวงเป็นสุขทั่วหน้า ๓) อสุภะ พิจารณาร่างกายตนและผู้อื่นให้เห็นเป็นไม่งาม ๔) มรณัสสติ นึกถึงความตายอันจะมีแก่ตนเป็นธรรมดา

      ทั้งสี่อย่างนี้ เป็นการฝึกการเจริญเพื่อก่อให้เกิดจิตใจสงบ รำงับจากกิเลส เกิดจิตตั้งมั่นเป็นสมาธิ จึงเหมาะสำหรับนำมาปฏิบัติเป็นฐานจิตก่อนเจริญวิปัสสนากรรมฐาน
 

      แต่ผมขอมุ่งประเด็นไปที่หลักการเจริญเมตตาภาวนาก่อนนะครับ อย่างอื่นๆค่อยพูดถึงภายหลัง
 

      หลักการเจริญกรรมฐานนั้น ต้องมีอารมณ์มาเป็นเครื่องยึดเหนี่ยวจิตให้เกาะติด เรียกว่าอารมณ์กรรมฐาน ดังนั้น การเจริญเมตตาภาวนาก็ต้องรู้ว่าอารมณ์ของจิตที่จะสร้างให้เกิดเมตตาจิตนั้น คือใคร เช่น มุ่งเอาสัตว์หรือบุคคลใดมาเป็นอารมณ์กรรมฐาน

      อารมณ์กรรมฐานของเมตตาจึงมี ๒ แบบ คือ
      ๑) แบบเฉพาะเจาะจง คือ การตั้งจิตมุ่งไปหาสัตว์บุคคลที่เรารู้จักและคุ้นเคย
      ๒) แบบไม่เจาะจง คือ การตั้งจิตไปยังสัตว์บุคคลทั้งหลาย โดยไม่เฉพาะเจาะจงว่าเป็นใคร

      ดังนั้น หลักการเจริญเมตตาขั้นเริ่มต้น ควรเริ่มที่แบบที่หนึ่งก่อน คือแบบเฉพาะเจาะจงไปยังสัตว์บุคคลที่เรารู้จัก ที่ง่ายที่สุด คือ น้อมจิตระลึกถึงบุคคลที่เรารักมากที่สุดก่อน เพราะเมตตาจะได้เกิดขึ้นง่าย

       บุคคลนั้นได้แก่ ตัวเราเอง !

      ครูบาอาจารย์ท่านว่า ตัวของเราเป็นบุคคลที่เรารักมากที่สุด ตามสำนวนที่ว่า คนปุถุชนสามัญนั้น"หารักใดเสมอด้วยรักตน ไม่มี" รึใครจะเถียง!

      ดังนั้น จึงควรเริ่มต้นที่ตัวเราระลึกถึงตัวเราก่อน โดยเฉพาะในเรื่องของความทุกข์ที่เรามีอยู่หรือได้รับในขณะนั้นๆ(ในสภาพเหตุการณ์จริงๆของเราเอง) เพื่อที่จะได้น้อมจิตลงพิจารณาดูว่าจะต้องเกิดทุกข์เพราะเหตุใด

      แล้วสรุปลงว่าความทุกข์เกิดขึ้นเพราะอาศัยความพกพร่องของกายและใจ เพราะอาศัยการกระทำผิดต่อกันและเพราะการอาศัยอยู่ร่วมกันก็ต้องเบียดเบียนกัน มากบ้างน้อยบ้าง อาศัยการเบียดเบียนนั้นก่อให้เกิดศัตรูอาฆาตคอยจองเวรต่อกันและกันอีก เป็นการระลึกถึงทุกข์ในวัฏฏะ ระลึกแล้วเกิดความเมตตา รักตน สงสารตน

      ว่าการเกิดมาเป็นมนุษย์นี้แสนลำบาก มีทุกข์เข้าครอบงำและวกวนเวียนอยู่ในกองทุกข์อยู่เสมอไม่รู้จบ ปรารภทุกข์ของเรามาเป็นอารมณ์ของจิต เมื่อน้อมจิตลงได้แล้วให้ระลึกถึงสภาพทุกข์นั้นและบริกรรม คือพูดในใจอย่างจริงใจว่า...

 อะหัง สุขิโต โหมิ  ขอให้ข้าพเจ้ามีความสุข
 อะหัง นิทุกโข โหมิ  ขอให้ข้าพเจ้าปราศจากความทุกข์
 อะหัง อะเวโร โหมิ  ขอให้ข้าพเจ้าปราศจากเวร
 สุขี อัตตานัง ปะริหะรันตุ ขอให้ข้าพเจ้าจงมีแต่ความสุขกายสุขใจรักษาตนให้พ้นจากทุกภัยทั้งปวงเทอญ

      จะว่าเป็นภาษาบาลี หรือภาษาไทยหรือทั้งสองภาษาก็ได้ หากใครถนัดภาษาอังกฤษจะฟุตฟิตฟอไฟเป็นภาษาต่างด้าว จีน เกาหลี ญี่ปุ่นก็ไม่ขัดข้องผิดกติกาใดใด มีหลักอยู่ว่าขอให้เราเข้าใจในความหมายก็พอ

      ฝึกเจริญเมตตาอย่างนี้อยู่เนืองๆแรกๆอาจอึดอัดข้อง เพราะจิตยังไม่เคยอยู่กับอารมณ์ที่เฉพาะเจาะจง หากแว่บไปคิดถึงสิ่งอื่นต้องบังคับให้จิตกลับมาอยู่ในอารมณ์กรรมฐานนั้น เช่นต้องมีองค์บริกรรมและระลึกถึงสภาพทุกข์อย่างที่กล่าวเบื้องต้นให้ได้ติดต่อเนื่องกันนานที่สุดเท่าที่จะทำได้ (อย่างน้อยประมาณ ๕-๑๐นาที)

       จนจิตนิ่งผูกอยู่กับองค์บริกรรมและอารมณ์กรรมฐานนั้น จนเกิดสภาวธรรม คือ ความนิ่งสงบรำงับ ชุ่มฉ่ำ เยือกเย็น สบาย หรือบางครั้งหากมีสมาธิมากก็สามารถเกิดธรรมปีติ โดยมีอาการตัวสั่น โยกเยก ตัวเบา หรือมีอาการน้ำตาไหล อาการเหล่านี้เป็นเครื่องชี้แสดงว่ามาถูกทางแล้ว ทำได้แล้ว

       หากยังไม่เกิดอาการดังกล่าว อย่าเพิ่งท้อแท้ละเลิกความพยายาม มุ่งมั่นทำอีก จิตจะว่อกแว่กน้อยลง ใหม่ๆ คงต้องบังคับต้องข่มจิต(ที่คิดฟุ้งบ้าง) อย่าปล่อยตามอำเภอใจ หากปฏิบัติได้อย่างต่อเนื่องกันแล้วไม่เกินหนึ่งอาทิตย์รับรองว่า จิตใจสงบเยือกเย็นขึ้นและมีพลังสมาธิพลังเมตตาจิตเกิดขึ้นได้จริง

       สำหรับคนที่มีอุปนิสัยทางเมตตาอยู่แล้ว คือพวกที่มีกุศลจิตเกิดเป็นนิตย์ ก็สามารถเจริญเมตตาได้ง่ายกว่าและอดทนทำได้นานกว่ากลุ่มคนที่ขาดอุปนิสัยการเจริญเมตตา ที่มีประสบการณ์ชีวิตมากๆมาฝึกจิตให้เกิดเมตตาได้ง่ายเพราะมีข้อมูลอยู่มาก เข้าใจในเรื่องของชีวิตเป็นอย่างดี ไม่วู่วามตัดสินใจอะไรผลีผลาม เรียกว่ามีฐานจิตดี
 

      ส่วนคนเจ้าโทสะนั้นเป็นคนที่ไวในอารมณ์ ชอบเห็นของพร่องรับรู้ตัดสินใจเร็วและติดใจในเรื่องผิดถูก จึงเกิดทุกข์ที่เกี่ยวกับเรื่องผิดถูกนั้นจึงมาเป็นเงื่อนไขของอารมณ์

      บางครั้งแม้จะน้อมจิตเมตตาในตนเองก็ยังทำได้ยาก เพราะคิดว่าเป็นความผิดของตนเอง จึงทำให้วางใจในอารมณ์กรรมฐานได้ยากกว่า อาจต้องใช้เวลามากกว่าคนจริตอื่นๆ ก็ไม่เป็นไรหมั่นทำก็แล้วกัน เพราะการเจริญเมตตาภาวนานั้นจะแก้จริตโทสะให้ลดลงได้อย่างดี

      สรุปว่าเมื่อแผ่เมตตาให้กับตนเองได้แล้วนั้น จะสังเกตได้ว่าจิตของเรามีความสงบเยือกเย็นขึ้น ใจนิ่งขึ้น เมื่อออกจากภาวนาจิตไปกระทบกับสิ่งที่เคยต้องโกรธ ต้องไปรบรากับเขา ชักเพลาๆลง แสดงว่าเริ่มเข้าใจในเรื่องเมตตา รักตนเองมากขึ้นจึงหาทุกข์เข้าตัวน้อยลง

       พอถึงระดับนี้ ให้เริ่มตั้งแต่แผ่เมตตาขยายกว้างออกไปได้ แต่ให้จำกัดอยู่เฉพาะคนที่เรารักก่อน หรือคนที่มีพระคุณแก่เราก่อน จิตจะน้อมอ่อนแผ่ไปได้ง่าย แต่มีข้อแม้อยู่นิ้ดหนึ่งว่า อย่าเพิ่งไปให้ตั้งจิตระลึกถึงคนที่รักที่เป็นเพศตรงกันข้าม ยกเว้นผู้บังเกิดเกล้าหรือผู้ที่มีพระคุณ เพราะใหม่ๆ ฐานจิตของผู้ปฏิบัติใหม่ยังไม่มั่นคง กิเลสกามอาจถือโอกาสแทรกเข้ามาได้ง่าย

      เช่น บางคนอาจงงๆอยู่ตอนแรก เอ!? บุคคลที่เรารัก เอาใครดีหว่า? คิดไปคิดมาเอาแฟนตนเองก็แล้วกัน เพราะเรารักมากที่สุดแล้วนิ...พอตั้งจิตระลึกถึงเธอไปมาไปมา อาจเกิดจิตสปัสซั่ม กามราคะเกิดขึ้นแทนจิตเมตตาได้ :)

      ดังนั้น ให้ตั้งจิตระลึกถึงบุคคลที่เราเคารพรักก่อนดีกว่าครับ เช่นคุณพ่อคุณแม่ ครูอาจารย์ เมื่อได้ตัวบุคคลแล้ว เริ่มต้นระลึกถึงพฤติกรรมที่ท่านมีต่อเราและคุณธรรมของท่าน จนเกิดความซาบซึ้งถึงพระคุณท่าน แล้วเริ่มบริกรรมโดยเจาะจงชื่อลงไปเลยครับ เช่น
 ขอ....................จงเป็นสุข เป็นสุขเถิด อย่าได้มีความทุกข์กายทุกข์ใจเลย
 จงมีความสุขกายสุขใจ ปราศจากเวรและรักษาตนให้พ้นจากทุกข์ภัยทั้งปวงเทอญ

       จะว่าเป็นภาษาไทยหรือบาลีก็ได้  เพราะคำกล่าวนั้นเป็นเพียงอุบายวิธีที่จะผูกจิตให้มั่นอยู่กับเป้าหมายเท่านั้น ดังนั้นภาษาที่ใช้พูดควรเป็นภาษาที่เราพูดได้ง่ายและเข้าใจได้ดี หลักการสำคัญอยู่ที่ว่าต้องตั้งจิตระลึกถึงบุคคลนั้นจริงและเกิดความปรารถนาอย่างที่กล่าวจริงๆ จึงเรียกได้ว่าเป็นการสร้างจิตเมตตาแล้วค่อยแผ่ออกไป
 
       หากฐานจิตเป็นกุศลดี มีพลังสมาธิดี ผู้ที่เราแผ่เมตาออกไปนั้น เข้ารับได้ หากบังเอิญเขากำลังอยู่ในสภาวะประสบทุกข์เวทนาเดือดร้อนอยู่ ก็จะเบาคลายไปได้อย่างมหัศจรรย์ หากเจริญได้บ่อยๆและต่อเนื่อง จนเกิดความชำนาญเรียกได้ว่าตั้งสติระลึกถึงจิตน้อมเป็นเมตตาและแผ่ไปได้ทันที

       เรียกได้ว่า ชำนาญในการเจริญเมตตา ซึ่งต้องฝึกฝนไปตามลำดับ คือ
      1.แผ่เมตตาให้แก่ตนเองก่อนเป็นลำดับแรก
      2.แผ่เมตตาให้แก่บุคคลอันที่รักและนับถือ เช่น พ่อแม่ บุตรธิดา ญาติสนิท และครูบาอาจารย์ เป็นลำดับที่สอง
      3.แผ่เมตตาให้แก่สัตว์บุคคลที่เป็นคู่ปฏิปักษ์ ข้าศึกศัตรู เป็นลำดับที่สาม
     4.อันดับสุดท้าย เมื่อฝึกทั้งสามประการข้างต้น จนแก่กล้าดีแล้ว จึงฝึกการแผ่เมตตาไปยังสรรพสัตว์ทั้งหลายในโลกนี้ที่ไม่ระบุเฉพาะเจาะจงได้ต่อไปในภายหลัง
 

      การฝึกเจริญเมตตาในสองระดับแรกๆ สามารถฝึกได้ง่ายและมีผลดีไว เพราะจิตน้อมเข้าหาอยู่เป็นทุนเดิมอยู่แล้ว แต่สองระดับหลังต้องฝึกหนักและนานหน่อย เพราะต้องอาศัยฐานเมตตาสมาธิที่มีกำลังดีแล้วพอสมควร

      เช่น บทเรียนสำคัญ คือการแผ่เมตตาให้กับศัตรู ซึ่งเป็นบทเรียนที่ยากยิ่ง บางคนบอกเพียงเริ่มต้นคิดตั้งจิตระลึกถึงใบหน้าของคู่อาฆาตหรือบุคคลที่ทำความเจ็บช้ำน้ำใจแก่เรา กุศลจิตที่มีอยู่ก็พาลล่มแล้ว

      ปากที่กำลังพูดว่า จงเป็นสุขเป็นสุขเถิด กลับต่อด้วยคำว่า ไอ้ฉิบหาย !
 

      แหม!... เห็นหน้ามันลอยขึ้นมาแล้วแค้นใจจริงๆครับ...มือใหม่หัดขับบอก

      คงต้องฝืนใจเริ่มต้นกันใหม่ บางคนล้มลุกคลุกคลานอยู่นั่นแหละ ต้องหาอุบายอยู่นานทีเดียว หาอุบายเจริญกุศลกำกับที่เรียกว่ากุศโลบายคือพยายามคิดถึงเขาในแง่ดี คิดให้อภัย คิดหยุดเวรของเรา ด้วยความรักตนหรือตระหนักดีถึงโทษของการจองเวร เช่น


      ดูสิ เรามานั่งนึกหน้าเขาแล้วยังโกรธเป็นวรรคเป็นเวรขนาดนี้ เสียสุขภาพจิตเรา ส่วนตัวเขาป่านนี้คงสุขสบายยิ้มระรื่น เราจะมานั่งทุกข์เป็นไอ้โง่บ้าเซ่ออยู่ทำไม

      ต้องอาศัยความรักตนจึงห้ามล้อหยุดพยาบาทได้ หรือบอกตนเองว่า ดูเอาเถิด ขนาดมาพัวพันกันเพียงชาตินี้ ยังทำให้เกิดวิบากมีเวรต่อกันหนักหนาขนาดนี้ หากยังทำใจไม่ได้แสดงว่า เราจะจองเวรผูกขาดกินปินโตกับเขาต่อไป ชาติหน้าคงต้องมาต่อเวรกันอีก เท่ากับฉายหนังซ้ำเรื่องเดิม น่าเบื่อหน่าย

      อาศัยปัญญาหักมุมคิดได้อย่างนี้ ก็ทำให้ตั้งใจมาแผ่เมตตาได้ต่อไป

       เอาเถอะ เอาเถิด เราขอหยุดเวรแต่เพียงนี้ อโหสิ อโหสิ อโหสิ ขอให้........................จงเป็นสุข เป็นสุขเถิด

      เกิดจิตอภัยทาน เป็นทานที่สูงค่าที่ยกระดับจิตเราให้สูงขึ้นไป

      จะได้เลื่อนวิทยฐานะขึ้นมาเท่าเทียมกับพระ ดังคำที่ว่า “แพ้เป็นพระ ชนะเป็นมาร”

      ครับ ทำไปทำไป  จนสามารถแผ่ได้จนจบ โดยไม่คิดโกรธแค้นอีกแล้ว ไปเห็นหน้ากันก็ได้ พูดจาด้วยก็ได้ เหมือนกับคนที่ไม่เคยมีอะไรต่อกัน แสดงว่าเมตตาแสดงผลดีออกมาแล้ว

       จนเมื่อใดที่สามารถเจริญเมตตาให้เท่าเทียมกันได้ เช่น สามารถแผ่เมตตาไปในคนรักและคนชังนั้นเท่าเทียมกันได้ จิตไม่หวั่นไหวในรักในชัง มีความเมตตาสม่ำเสมอกัน

       ดังพระพุทธองค์ทรงตรัสว่า "สำหรับจิตเรานั้น ราหุลกับเทวทัตเสมอกัน"

       เมื่อนั้นจึงจะสามารถแผ่เมตตาที่เรียกว่า เมตตาอัปมัญญา คือเมตตาที่มีกำลังและขอบเขตไม่มีประมาณ ไม่มีสิ้นสุด คือ ออกไปได้

       เป็นการแผ่พลังอำนาจของเมตตานั้นไปยังสัตว์ทั้งหลายที่เป็นเพื่อนร่วมทุกข์ โดยไม่ระบุเจาะจง กินอาณาเขตตั้งแต่สิ่งที่มีชีวิตที่อยู่ใกล้ตัว จนขยายไกลออกไป ไกลออกไป ไกลออกไป ไม่มีวันสิ้นสุดได้ นั่นคือบทแผ่เมตตาที่เราๆคุ้นเคยอยู่

      สัพเพ สัตตา สัตว์ทั้งหลาย(ที่เป็นเพื่อนทุกร่วมเกิดแก่เจ็บตาย)
 อะเวรา โหนตุ จงเป็นสุข เป็นสุขเถิด อย่าได้มีเวรซึ่งกันและกันเลย
 อัพยาปัชฌา โหนตุ อย่าได้พยาบาทเบียดเบียนซึ่งกันและกันเลย
 อะนีฆา โหนตุ  จงอย่ามีความลำบาก จงอย่ามีความเดือดร้อน จงอย่ามีความทุกข์กายทุกข์ใจเลย
 สุขี อัตตานัง ปะริหะรันตุ  จงมีความสุขกาย สุขใจ รักษาตนให้พ้นจากโรคความทุกข์ภัยทั้งปวงเถิด

       เป็นบทแผ่เมตตาที่สมควรแก่ผู้ที่มีพลังกุศลจิตและฝึกเมตตาในระดับดังกล่าวมาก่อนแล้ว จึงจะแผ่ได้ผล ใครที่เคยเข้าใจผิดๆมาก่อนในเรื่องการแผ่เมตตานั้นหากได้เจริญเมตตาอย่างถูกต้องเป็นลำดับ จะมีเมตตาเกิดขึ้นจริงและสามารถแผ่ออกไปได้จริง

       ผู้ที่มีเมตตานั้น แม้แต่สัตว์ยังรับรู้ได้อย่าว่าแต่คนเลย

       อย่างคนที่ที่มีภรรยาดุ ตอนกลับบ้านขับรถมาถึงปากซอย...รังสีอำมหิตก็แผ่ซ่านมารอแล้ว แห่ะ แห่ะ

       คนมีเมตตานั้น มีความฉ่ำชุ่มเย็นอยู่ในจิตใจอยู่เสมอ และมีบุคลิกที่เยือกเย็นโดยไม่ต้องแสร้งทำ พลังเมตตานั้นแผ่ออกมาได้ ใครๆเห็นก็อยากเข้าใกล้ ยิ่งคนที่มีจิตรุ่มร้อนจะติดใจอยากอยู่ใกล้ๆคนที่มีจิตเมตตาเพราะรู้สึกว่า เข้าใกล้แล้วเย็นสบาย ความร้อนรุ่มกลุ้มใจก็ชักจางคลายลง

       เมตตาธรรมจึงเป็นธรรมที่ค้ำจุนโลก

       โลกที่วุ่นวายเพราะสับสน โลกที่แก่งแย่งชิงดีกันเพราะความหิวกระหาย โลกที่เบียดเบียนกันด้วยความเห็นแก่ตัว โลกที่ทำร้ายกันด้วยโทสะ โลกที่ผูกเวรกันด้วยความพยาบาท จะได้ลดน้อยลง

       หากเราทำได้ โลกจะเดือดร้อนน้อยลง อย่างน้อยลดลงหนึ่งคน
 
       โดยเริ่มต้นนับหนึ่ง คือ ตัวเราเอง

       เมตตาธรรม จึงเป็นธรรมที่คุ้มครองโลก ครับ



ความเห็น (23)
  • มาฝึกสมาธิด้วยคน
  • ทำไมนอนดึกจังเลยครับ
  • สบายดีใช่ไหมครับอาจารย์

สวัสดีครับ

วันนี้เป็นวันวิสาขบูชา ผมบรรยายธรรม ทำวัตร เวียนเทียน นั่งสมาธิเสร็จ แล้วมาเขียนบันทึก ชุ่มฉ่ำเย็นใจดีครับ

สุขภาพแข็งแรงมากถึงปานกลางครับ

ขอบคุณที่แวะมาครับ คุณขจิตเองก็นอนดึกเพราะแวะเวียนไปหลายบล็อก เช่นกัน รักษาสุขภาพครับ

  • ขอบพระคุณมากครับอาจารย์
  • ว่างจะไปเชียงใหม่
  • อยากพบอาจารย์แบบตัวเป็นๆๆๆ

อาจารย์เขียนได้ถ่องแท้มากครับ

ขอบคุณคุณขจิต

เชิญแวะมาเลยครับ ผมจะให้เบอร์โทรที่อีเมล์นะครับ

มาเชียงใหม่เมื่อไหร่ จะพยายามทำตัวให้เป็นๆๆๆๆครับ

สวัสดีครับ คุณเกรียงศักดิ์

ขอบคุณที่ชม ผมอยากแวะไปชิมกาแฟที่ร้านเหมือนกัน เพราะจู่ๆเกิดเปิดร้านแสดงว่ารสกาแฟต้องยอดมาก

สวัสดีค่ะ อ.พิชัย กรรณกุลสุนทร

มายืนยันว่าการแผ่เมตตาทำให้เราสงบเยือกเย็นขึ้นจริงๆ ค่ะ

จริงๆ แล้วตัวเองไม่เคยแผ่เมตตาแบบตั้งจิตแผ่ให้กับตัวเองหรือคนใกล้ชิดสักเท่าไหร่ค่ะ แต่มาคิดดูเราอาจมีใจเมตตาแก่ตัวเองและคนรอบข้างอยู่บ้าง โดยไม่ได้ทำแบบตั้งจิตอธิษฐานน่ะค่ะ

แต่สำหรับคนที่เราไม่ชอบนั้น เคยทำแบบตั้งใจแผ่เมตตาเลยค่ะ แต่ไม่ค่อยบ่อย เฉพาะตอนที่รู้สึกว่าไม่ชอบใจสิ่งที่เขาทำมากๆ แล้วรู้ตัวว่ากำลังคิดไม่ดี ก็จะคิดให้อภัย เพื่อปล่อยโทสะ โมหะจากจิตก่อน แล้วสักพักถึงจะแผ่เมตตา ให้เขาหลุดจากโมหะที่ครอบคลุมาจิตใจเขาอยู่ แต่ก็ไม่ถึงขนาดท่อง จงเป็นสุขเป็นสุขเถิดนะคะ แต่ส่งจิตปรารถนาดีแผ่ไปให้คนนั้นค่ะ ทำแล้วสบายใจค่ะ ยืนยันๆ : )

สำหรับแผ่เมตตาสรรพสัตว์ทั้งหลาย ก็มีบ้างค่ะ ส่วนใหญ่จะแผ่ให้กับสัตว์ที่มาเป็นอาหาร เป็นทำนองอุทิศส่วนกุศลน่ะค่ะ อ.ศิริศักดิ์ แนะนำให้ทำเป็นการเจริญสติก่อนทานอาหารทุกมื้อค่ะ

ขอบคุณอาจารย์ที่แผ่เมตตามาให้นะคะ : )

สวัสดีครับ ดร.กมลวัลย์

ขอบคุณที่ช่วยยืนยัน

เมตตานั้นเป็นแบบฝึกหัดของชีวิตได้เป็นอย่างดี รูปแบบที่ให้เป็นรูปแบบทั่วๆไปครับ

หากจับเคล็ดวิชาได้ คำตอบอยู่ที่จิต คือการระลึกถึงและการส่งจิตปราถนาดี

หากจิตมีพลังไม่ต้องมีองค์บริกรรมก็ได้ครับ

องค์บริกรรมนั้น เหมาะสำหรับผู้ฝึกหัดให้จิตเกาะเพื่อเกิดสมาธิได้ง่าย

แต่หากเรามีสมาธิแล้ว สามารถส่งจิตระลึกถึงได้เลยครับ

ในชีวิตประจำวันแนะนำให้ทำตอนหงุดหงิดหรือประสบกับอารมณ์โกรธครับ ทำบ่อยๆจนเคยชิน โกรธปุ๊บแผ่เมตตาปั๊บ...อีกหน่อยจะเกิดความเย็นกายเย็นใจแทนอาการโกรธ

แบบฝึกหัดแผ่ตอนกินอาหารก็ดีครับ...เป็นอาหาเรปฏิกูลสัญญา ทำไปทำมาให้ทำจิตเหมือนกินเนื้อลูกครับ...ผอมแน่ๆ :)

ตอนรับเมตตาจิตเย็นดีมั้ยครับ

สวัสดีค่ะ อ.พิชัย กรรณกุลสุนทร

ตอนนี้โกรธน้อยลงเยอะเลยค่ะ เห็นเหตุเห็นผลมากขึ้น สมัยก่อนมองออกอย่างเดียว เดี๋ยวนี้จะเลี้ยวเข้ามาดูตัวก่อน (ถ้าเจริญสติทัน)

แผ่เมตตาตอนกินอาหาร "อาหาเรปฏิกูลสัญญา" ถ้า"ทำไปทำมาให้ทำจิตเหมือนกินเนื้อลูก" นอกจากจะผอมแล้ว อาจจะกลายเป็นมังสวิรัติไปเลยค่ะ..ไม่เอาแล้ว..เนื้อทั้งหลาย..  ^ ^

อ่านบันทึกอาจารย์แล้วเย็นใจ ได้เมตตาจิตเย็นๆ (แต่ยังไม่ขึ้นเป็นเกล็ดน้ำแข็ง) เสมอค่ะ  อิอิ 

ตามมาเย็นด้วยคนค่ะ

บันทึกฉบับนี้ถือเป็นคู่มือเจริญสติได้อย่างยอดเยี่ยมเลยค่ะ ละเอียดและนำไปปฏิบัติได้จริง

อาจารย์ขา อาหาเรปฏิกูลสัญญา นี่คืออะไรค่ะและถึงขนาดนึกว่ากินเนื้อลูกจริงหรือค่ะหรือว่าอาจารย์พูดเล่น

อ.ดร.กมลวัลย์ครับ

ระวังผอมมากกว่านี้นาครับ

อาจารย

เคยแนะนำให้ลูกศิษย์ที่อยากไดเอ็ท เจริญอาหาเรปฏิกูลสัญญา เดือนเดียวลงห้ากิโล เลยกลับไปเจริญสัญญากะหมูหันต่อ :))

หนูสุกเอ้ย!หนูนาครับ

อาหาเรปฏิกูลสัญญา เป็นกรรมฐานหนึ่งในสมถะกรรมฐานสี่สิบ

ที่บอกว่าอย่างนั้น เพราะมีทีมาจากคัมภีร์วิสุทธิมรรค ว่าด้วยการเจริญอาหาเรปฏิกูลสัญญา มีหลายวิธี วิธีหนึ่งคือ ในขณะที่กินอาหารให้พึงตั้งจิต เหมือนกำลังกินเนื้อลูกตนเอง โดยอุปมาเหมือนคนรอนแรมเดินทางในทะเลทราย ลูกทนความลำบากไม่ไหวล้มตายลงพ่อแม่ก็หมดแรงอดอาหาร จนต้องกินเนื้อลูกตนเองเพื่อประคองชีวิตให้รอด

ดังนั้น เวลารับประทานอาหาร โยคีบุคคลจึงพึงทำจิต เหมือนพ่อแม่(คู่นั้น) กำลังกินเนื้อบุตรอยู่ ฉะนั้น

ก่อนมาอ่านบันทึกนี้มีเรื่องไม่สบายใจนิดหน่อยค่ะ เนื่องจากพบคำพูดที่รู้สึกว่าไม่ใช่ เราไม่ด้คิดอย่างนั้น แต่เขากลับมองว่าเราคิกแบบนั้น และใช้คำพูดที่เรารู้สึกว่าจิตเกิดค่ะ จึงกำลังพยายามทำใจให้อภัย และแผ่เมตตาค่ะอาจารย์ ... ช่วยหนู paew ด้วยนะค่ะ...ขอบคุณค่ะ

หนู paew

อาจารย์นั่งรถหวอมาช่วยเชียวแหละ

ให้แก้ที่จิตเราก่อนครับ เหมือนเวลาเกิดไฟไหม้ ไหม้ที่ไหนดับที่นั่นก่อน จอตหนูกำลังเป็นทุกข์ ด้วยกระวนกระวายใจในสิ่งที่เกิดขึ้น

ก็แผ่เมตตาให้ตนเองสงบลงก่อน นิ่งก่อน เบาสบายก่อน วางใจว่า หนึ่งเรามิได้มีเจตนาทำสิ่งนั้นจริงๆนี่ สองสิ่งที่เกิดไปแล้ว จะระลึกถึงให้เป็นทุกข์ปล่าวประโยชน์ สู้แก้ไขโดยตั้งจิตคิดดีใหม่ดีกว่า

เมื่อตนสงบดีแล้ว ค่อยแผ่เมตตาให้เขานะครับ ระลึกถึงเหตุการร์นั้นขึ้นมาเมื่อไหร่ แทนที่จะคิดรื้อฟื้นท้าวความ ให้แผ่เมตตาทันที แล้วตามด้วยขออโหสิ อย่าได้เป็นเวรผูกกรรมต่อไปเลย ทำบ่อยๆๆๆๆๆๆครับ แล้วจะดีเอง

ข้อสำคัญ อย่าได้กังวลในสิ่งที่เกิดขึ้นแล้ว ทำเหตุใหม่ เดี๋ยวก็ดีเอง

อาจารย์ช่วยแผ่ เอาใจช่วยด้วยคน

อาจารย์ขาขอบพระคุณมากค่ะ ... อ่านที่อาจารย์แนะนำแล้วสบายใจขึ้นเยอะเลยค่ะ ... ทั้งหลายทั้งปวงที่เกิดขึ้นมันอยู่ตัวเราทั้งนั้นใช่มั้ยค่ะอาจารย์ ถ้าเราแก้ที่จิตเรา ถ้าเราเมตตาที่ตัวเราก่อนก็จะทำให้เรามีความสุข และเมื่อนั้นเราจึงจะส่งความสุขความเมตตาให้คนอื่นได้ใช่มั้ยค่ะอาจารย์

จะพยายามแก้ที่จิตตัวเองค่ะ ไม่เอาจิตเราไปผูกไว้กับการกระทำของคนอื่น และแผ่เมตตาให้ตัวเอง ตามที่อาจารย์สอนค่ะ ... จะพยายามค่ะ  เพราะไม่แน่ใจว่าจะทำได้ จึงไม่กล้ารับปากค่ะอาจารย์....ขอบพระคุณอีกครั้งค่ะ

หนูแป๋ว

พยายามนั้นแหละดีแล้ว ถูกแล้วโดยเริ่มที่ตนครับ

จิตจะผ่องใสขึ้นครับ อีกหน่อยเดินไปปากซอย หรือประตูมหาวิทยาลัย ลูกศิษย์ลูกหาจะทักว่าอาจารย์Paew สวยใสขึ้น

ข้อสำคัญ...ศัตรูจะห่างจิต จะเกิดมิตรจะเข้ามาแทน ความแค้นจะจางหาย ความสบายจะพุ่งพรวด ความสวยจะมีอวด ความปวดจะหาย... ฮิฮิ

กราบสวัสดีค่ะ ท่านอ.พิชัย

 ไม่คิดไม่ฝันว่าจะได้มาเจอข้อเขียนของอ.
ในเวลาที่กำลังเจอทางตันแบบนี้
เพราะเจอฤทธิ์ของโทสะรุมเร้า
อันที่จริง โดนโทสะแผลงฤทธิ์รุนแรง จนระเบิดตู้มต้ามมาพักใหญ่แล้วค่ะ
พยายามจะหาทางหนีอยู่ค่ะ


วันนี้ก็ต้องกลับบ้านมาพึ่งพี่ Google ช่วยหา
การเจริญเมตตาภาวนา เลยได้เจอชื่อ อ.เข้า
ดีใจอย่างสุดๆ เลยค่ะ

กราบขอบพระคุณสำหรับธรรมะออนไลน์ค่ะ

แสงธรรมของอ.ส่องสว่าง และส่องมาไกลถึงเยอรมันเลยค่ะ
 

ขอบพระคุณค่ะ 

หนูม้า(อาชาไนย)เยอรมัน

ดีใจจริงๆที่พบหนูทางออนไลน์และดีใจที่ธรรมะจะเป็นประโยชน์ในชีวิตจริงของหนู

เพลิงโทสะรุ่มร้อนเพียงใด ให้ท่องไว้ว่า เพลิงทุกข์ในนรกร้อนกว่านี้นับพันเท่าทวีคูณ...จะได้มีสตินะครับ

อ่านแล้วเอาไปเจริญทันทีนะครับ มีจิตผุดคิดเรื่องนี้ขึ้นมาเมื่อไหร่ ให้เจริญเมตตาทันทีครับ แล้วจะค่อยๆผ่อนเบาคลายครับ

หากปฏิบัติแล้วติดขัด อย่าเกรงใจ ถามมาได้ อาจารย์ไม่คิดค่าปรึกษาข้ามทวีปดอก :)

ขอบพระคุณค่ะท่านอาจารย์พิชัย

หนูจะหมั่นเจริญสติ เมตตาภาวนา
ลด ละ เลิก หงุดหงิด เจ้าอารมณ์ ขี้โมโห
แต่พองานยุ่งๆ ทีไีร อกุศลจิตทั้งหลาย
มันวิ่งตามกันมาเป็นพรวนเลยค่ะ
ถึงจะยังไม่เห็นผลในวันนี้ แต่คงจะเย็นลงได้ซักวันค่ะ

ขอสมัครเป็นแฟนคลับ ธรรมะออนไลน์ของอ.อีกคนนึงด้วยค่ะ
หนูยังต้องเดินอีกไกล ทั้งเหนื่อย ทั้งหนาว
ธรรมะเป็นทั้งแสงสว่าง และให้ความอบอุ่นได้จริงๆ ค่ะ

หนูม้าเยอรมัน

หมั่นเข้ามาบ่อยๆนะครับ จะเป็นแฟนคลับทั้งที:)

คุยได้ทุกเรื่องนะครับ(ยกเว้นเรื่องขอทุนเรียนต่อจากอาจารย์:))

การที่อยู่ไกลถึงต่างประเทศ ห่างจากบ้านเกิดเมืองนอน ห่างพุทธศาสนา จำเป็นต้องมีที่พึ่งที่ระลึกครับ

1.สติของเราเอง 2.กัลยาณมิตร ครูอาจารย์  คอยแนะนำคราวจิตตก

อาจารย์ยินดีนะครับ เอ!? หนูน่าจะเขียนบันทึกนะครับ เล่าชีวิตต่างแดนได้

สวัสดีค่ะ อ.พิชัย·        ติ๋วเพิ่งมีโอกาสได้เข้ามาอ่านบันทึกดีๆนี้ของอาจารย์ค่ะ·        ....คืนวันนั้นที่ติ๋วร้องไห้เป็นวรรคเป็นเวรที่เชียงใหม่  โดยไม่ทราบสาเหตุเหมือนกันว่า ทำไม....อาจารย์แป๋วถามติ๋วว่าเคยอ่านบันทึกธรรมมะของอาจารย์ไหม...ดีมากเลย  ติ๋วบอกว่า  ไม่อ่านติ๋วก็ทราบได้ถึงความเมตตาที่อาจารย์มีให้  ....ติ๋วสัมผัสได้·        แต่วันนี้พอได้อ่านบันทึกนี้ของอาจารย์ถึงทราบว่า...มีอะไรดีๆมากกว่าความเมตตาที่อาจารย์มอบให้....อย่างมากๆ·        ขอบพระคุณอาจารย์ค่ะที่ให้สิ่งที่ดีมากเสมอมา....คำสอนนี้มีประโยชน์เหลือเกินกับคนที่มีกิเลสหนาในการนำมาเตือนตนและปฏิบัติ  จะพยายามค่ะ·        ขอบพระคุณค่ะ

ขอบคุณหนูติ๋ว ที่เข้ามาอ่าน

ขอบคุณที่ทำให้บันทึกนี้มีประโยชน์

เรียนรู้วิธีเข้าไปสัมผัสคน สัมผัสใจ

ด้วยเมตตาธรรมครับ

ดีใจค่ะ....ที่พบอาจารย์ในบันทึกนี้...ตอนนี้ค่ะ
พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท