ตอนไปร่วมสัมมนาร่างแผนแม่บทการเงินการคลังเพื่อสังคม มีใครบางคนในที่ประชุมบอกว่า เขาเชื่อในกลไกตลาดและเอกชน แต่มีนักเศรษฐศาสตร์ท่านหนึ่งบอกว่า ท่านไม่เชื่อ....
คนฟังอาจแปลกใจ เพราะคิดว่านักเศรษฐศาสตร์หลงใหลในกลไกตลาดเสมอ แต่เราในฐานะนักเศรษฐศาสตร์ไม่แปลกใจ เพราะกลไกตลาดที่เราเห็นอยู่ทั่วไป ไม่ใช่กลไกตลาดที่พึงปรารถนา และกลไกตลาดเองก็ไม่สามารถทำงานได้ในหลายกรณี โดยเฉพาะในเรื่องสวัสดิการบางเรื่องที่เป็นสินค้า “สาธารณะ” และพฤติกรรมของผู้ผลิตที่ผลักภาระให้สังคม (ก่อผลกระทบภายนอก) ย่อมทำให้กลไกตลาดที่ปล่อยให้เอกชนตัดสินใจเองขาดประสิทธิภาพ ไม่เป็นไปตามที่สังคมปรารถนา ซึ่งเศรษฐศาสตร์เรียกว่าเป็น “ความล้มเหลวของระบบตลาด”
กลไกตลาด (ที่มีผู้เล่นเกมหรือผู้ตัดสินใจ คือ “เอกชน” ทั้งในฐานะผู้ผลิตและผู้บริโภค) ที่เป็นอุดมคติในวิชาเศรษฐศาสตร์นั้นมีอยู่หนึ่งเดียว คือ ตลาดแข่งขันสมบูรณ์ คำว่า “สมบูรณ์” นี้มีนัยสำคัญยิ่ง เพราะหมายถึงว่า ต้องเป็นตลาดที่ไม่มีผู้ผลิตรายใดหรือผู้ซื้อรายใดมีอำนาจกำหนดราคาหรืออำนาจเหนือตลาด จะเป็นเช่นนี้ได้ก็ต่อเมื่อมีผู้ซื้อผู้ขายหลายราย ผู้ซื้อผู้ขายมีข้อมูลเท่าๆกัน ต้นทุนการเจรจาต่อรองไม่สูง ความสำคัญของการแข่งขัน หมายถึง การที่ผู้ซื้อผู้ขายมีทางเลือก ใครขายแพงก็ไม่ซื้อไปซื้อของคนอื่น ใครเข้ามารับซื้อกดราคา ก็ไม่ขาย ไปขายให้คนอื่นได้
“การมีทางเลือก” เป็นหัวใจสำคัญ ที่บางครั้งก็ใช้คำว่า “เสรี” ตลาดเสรีในอุดมคติ ไม่ใช่ตลาดที่ใครอยากทำอย่างไรก็ได้ รายใหญ่เอาเปรียบรายเล็กก็ได้ แต่หมายถึงตลาดที่ผู้ซื้อผู้ขายมีทางเลือก
อุดมคติเช่นนี้จะมีในโลกแห่งความเป็นจริงหรือ (ยังมีคุณสมบัติอีกหลายข้อที่ไม่ได้พูดถึงตรงนี้) คำตอบสำหรับโลกในปัจจุบัน ก็คือ “ไม่” โดยเฉพาะในโลกที่ธุรกิจมีเครื่องมือ มีกลยุทธ์การแข่งขันที่ซับซ้อน มีเทคโนโลยีที่ช่วงชิงความได้เปรียบกันทุกขณะ มีเงินทุนในการซื้อสื่อเพื่อให้ข้อมูลด้านเดียวโดยผู้บริโภคไม่รู้เท่าทัน
คำถามคือ แล้วอุดมคติจะมีไว้ทำไม คำตอบคงเป็นว่า อุดมคติก็คงคล้ายไม้บรรทัด หรือบรรทัดฐานที่นักเศรษฐศาสตร์ใช้ในการวิเคราะห์การออกนอกลู่และใช้เป็นกรอบการทำงาน เช่น การพิจารณามาตรการป้องกันการผูกขาด การวิเคราะห์พฤติกรรมผู้ผลิตผู้บริโภคในตลาดที่จะมีต่อสวัสดิการสังคม
ตลาดโดยทั่วไปที่มีการแข่งขัน เช่น การโหมโฆษณา เพื่อทำให้สินค้าของตนดูแตกต่างเพื่อจะได้เป็นผู้กำหนดราคาได้ หรือ เพื่อแย่งชิงส่วนแบ่งการตลาดล้วนมีดีกรีของการออกนอกลู่ไปไม่มากก็น้อย คำถามคือ แล้วใครจะเข้ามาดูแลตรงนี้ นักเศรษฐศาสตร์เสนอว่า คือ…รัฐ..... ถามต่อไปว่า รัฐทำงานตรงนี้อย่างไร ?? โดยเฉพาะ รัฐไทย
(ข้อเสนอให้รัฐเข้ามาทำงานฝ่ายเดียว เราว่าออกจะล้าสมัยไปสักหน่อย เพราะเป็นข้อเสนอบนสมมติฐานว่า รัฐทำงานได้)
ในความหมายนี้ การเปิดเสรีทางการค้าที่มีผู้ผลิตข้ามชาติบางรายมีอำนาจเหนือตลาด ย่อมไม่ใช่สิ่งพึงปรารถนา (ดูเพิ่มเติมประเด็นนี้ในการตอบคำถาม บันทึกเรื่อง นโยบายสาธารณะเพื่อคนยากจน)
และโดยนัยนี้ การค้าที่เป็นธรรม (fair trade) มีหลักการหลายประการคล้ายตลาดแข่งขันสมบูรณ์ แต่จุดต่างน่าจะอยู่ที่ การค้าที่เป็นธรรมให้ความสำคัญกับผู้ผลิตซึ่งมักจะเป็นผู้ผลิตรายเล็กรายน้อยที่ไม่มีอำนาจตลาด นักเศรษฐศาสตร์มักให้ความสำคัญกับผู้บริโภค ในมุมมองที่ว่า ประชาชนทุกคน (รวมทั้งคนผลิต) ก็เป็นผู้บริโภค (ปัญหาคือ อำนาจซื้อผู้บริโภคไม่เท่ากันในสังคมที่เหลื่อมล้ำอย่างสังคมไทย) แต่ทว่า การเป็นตลาดแข่งขันสมบูรณ์ก็การันตีความเป็นธรรมให้ผู้ผลิตและเจ้าของปัจจัยการผลิต (ไม่มี "การขูดรีด" หรือ exploitation)
ในโลกธุรกิจ นักเศรษฐศาสตร์จึงกลายเป็นพวก “อนุรักษ์นิยม” ....
ในกระบวนการกำหนดนโยบายที่รัฐไทยยังมีอำนาจผูกขาดอยู่มากและเป็นเรื่องของการต่อรองผลประโยชน์ ข้อเสนอของนักเศรษฐศาสตร์กลายเป็นเรื่อง "ซื่อบริสุทธิ์" (นักรัฐศาสตร์ที่เราเคารพมากท่านหนึ่งบอกว่า นักเศรษฐศาสตร์น่ารักเพราะซื่อ มองโลกในแง่ดี.. naive)
ถ้านักเศรษฐศาสตร์วิเคราะห์ตามโลกที่ซับซ้อนไม่ทัน บทบาทหน้าที่ของนักเศรษฐศาสตร์ก็จะหมดความหมายลงทุกที
โดยเฉพาะเมื่อคนไทยทั่วไปมักไม่ค่อยเข้าใจว่า เศรษฐศาสตร์คิดต่างกับธุรกิจอย่างไร
ขออนุญาติคัดข้อความดีๆบางตอนไปรวมที่
http://gotoknow.org/blog/mrschuai/99502
ขอบคุณมากครับ
เรียน อาจารย์ปัทมาวดี ที่เคารพ
ความรู้สึกจากการอ่านบล็อกอาจารย์ในวันนี้ ผมเกิดสงสัยถึงการนำไปใช้ในชีวิตจริงครับ
อย่างชาวบ้านทั่วไป (ผมก็หนึ่งในนั้นครับ) ที่มีภูมิรู้ด้านเศรษฐสาสตร์แบบพื้นๆ เข้าใจแค่ว่า ถ้าของมีมากคนต้องการเท่าเดิมก็ราคาตก ถ้าของหายาก คนต้องการเท่าเดิมราคาจะดี ทำนองนี้ครับ
แล้วผมจะมั่นใจได้อย่างไรว่า ความรู้สำเร็จรูปที่มาจากการวิเคราะห์ของนักเศษรฐศาสตร์น่าเชื่อถือ เวลาดูข่าวในทีวี จะมีอาจารย์(จากหอการค้า)มาวิเคราะห์มาพยากรณ์เหมือนกรมอุตุเลยครับ แต่ฟังรายงานข่าวทีไรก็งงทุกที แล้วก็ไม่ค่อยเชื่อด้วย เพราะไม่เข้าใจที่เขาพูดครับ
ชาวบ้านอย่างผม ทำได้แค่ประหยัด และออมเงินครับ ส่วนกลไกตลาดที่เป็นธรรม และมือที่มองไม่เห็น นั้นนึกภาพไม่ออกครับอาจารย์
ขอบคุณครับ
เรียนคุณสิทธิรักษ์
ดีใจ..หากบทความจะเป็นประโยชน์ค่ะ
คุณโชคธำรงค์คะ
ขอบคุณที่ติดตามอ่านงาน และตั้งคำถามดีๆค่ะ
ดิฉันคิดว่า นักเศรษฐศาสตร์ทำงาน 2 อย่าง อย่างแรกคือ อธิบายสิ่งที่เกิดขึ้นหรือกำลังจะเกิดขึ้นกับระบบเศรษฐกิจ อย่างที่สองคือ บอกว่าเมื่อไหร่ที่กลไกตลาดทำงานบกพร่องและต้องการการแก้ไข
การบกพร่องในเรื่องประสิทธิภาพในการจัดสรรทรัพยากร และการสร้างระบบเศรษฐกิจที่เป็นธรรม นอกเหนือจากเสถียรภาพทางเศรษฐกิจ และการเติบโตทางเศรษฐกิจ
ถ้ากลไกตลาดทำงานได้ดีร้อยเปอร์เซนต์ ก็คงไม่ต้องมีกระทรวงการคลัง กระทรวงการคลังในฐานะภาครัฐ มีเครื่องมือ คือ ระบบงบประมาณ และระบบภาษี (สร้างแรงจูงใจให้ทำสิ่งดีและลดแรงจูงใจการทำสิ่งไม่ดีของระบบตลาด) คือให้กลไกตลาดทำงานอยู่ในขอบเขตที่ "รับได้"
การพยากรณ์เศรษฐกิจก็เป็นส่วนหนึ่งของศาสตร์ ใช้ข้อมูล ใช้สถิติ การวิเคราะห์ที่ระมัดระวัง ก็เชื่อถือได้ค่ะ แต่ความเป็นสังคมศาสตร์ที่มีตัวแปรมาก จะเชื่อถือ 100% นั้น เป็นไปไม่ได้อยู่แล้วค่ะ
ส่วนของคนทั่วไปนั้น ตราบใดที่ยังต้องมีการ "ตัดสินใจ" "การเลือก" ในการใช้ชีวิต ตราบนั้น ยังมีความเป็นเศรษฐศาสตร์เกี่ยวข้องอยู่เสมอค่ะ เพราะเมื่อคุณเลือก แปลว่า คุณได้บางอย่าง คุณเสียบางอย่าง คุณใช้เศรษฐศาสตร์โดยไม่รู้ตัว
การต้องชั่งน้ำหนักเพื่อเลือกนี่แหละค่ะ คือปัญหาพื้นฐานของเศรษฐศาสตร์ (ซึ่งไม่จำเป็นต้องเป็นตัวเงิน เช่น คุณจะใช้เวลาหนึ่งชั่วโมง ทำงานหรือพักผ่อนกับครอบครัวดี คุณจะเอาเงินสิบบาทไปซื้อขนมหรือหยอดกระปุกดี ...)