เพลี้ยกระดาษ: แมลงร้ายสายพันธุ์ใหม่ กำลังระบาดพิจิตร


ชาวนาจะทำไงได้ ต่อรองอะไรก็ไม่ได้ เพราะถ้าไม่ขายจะเก็บไว้ก็ไม่มียุ้งแล้ว ไม่มีที่ตากให้แห้ง ขืนเก็บไว้เชื้อรา แมลงมอด รุมสร้างความเสียหายอีก ก็ทำไงได้พ่อค้าว่ายังไงก็ต้องยอม ตอนนี้ได้แต่กระดาษมาใบหนึ่งกับจำนวนเงินที่เป็นแค่ตัวเลข ที่เฝ้ารอเวลา ถ้าไม่ได้สักทีก็ไม่ต่างอะไรกับเพลี้ยกระโดด ที่รุมทำร้ายข้าวในนา ต่างก็เพียงแต่เป็นเพลี้ยกระดาษ ที่รุมเร้าชาวนาอยู่ร่ำไป

หลายท่านคงสงสัยว่า "เพลี้ยกระดาษ"  เป็นแมลงสายพันธุ์ใหม่ที่กลายพันธุ์มารึว่าอย่างไร? คำตอบคือจริงครับ แต่ว่าความรุนแรงนั้นร้ายกาจมากจนแทบหาทางแก้ไม่ได้ แม้แต่เจ้าหน้าที่กระทรวงเกษตรฯ ยังต้องก้มหน้ายอมรับกับเชื้อโรคนี้    เพราะผู้ที่ผสมพันธุ์ปฎิสนธิเชื้อนี้ขึ้นมา คือ....นักธุรกิจ (พ่อค้าโรงสีบางคน)...... ที่บกพร่องทางด้านคุณธรรมจริยธรรมขั้นรุนแรง   ที่กล่าวไว้เช่นนี้หลายท่านก็คงเริ่มนึกร้องอ๋อๆๆๆ แล้วหล่ะสิครับว่ามันคืออะไร  ลองนึกภาพดูนะครับ พ่อค้าโรงสีไปเกี่ยวข้องอะไร กับใคร  แน่นอนแหล่ะครับก็คือ การรับซื้อ - ขายข้าว จากเกษตรกรชาวนา   เรื่องที่ผมจะเล่าให้ฟังนี้หลายท่านก็คงพอจะรับรู้กันดีอยู่แล้ว เพียงแต่แค่รับรู้เท่านั้น ไม่รู้จะแก้ยังไง? (แต่จริงๆก็รู้ทางออกกันดี ประเด็นคือไม่ยอมแก้ไขกันจริงๆจังๆ)  ถามว่าผมเป็นทุกข์เป็นร้อนอะไรกับเค้า ไม่ใช่อะไรหรอกครับ เพียงแต่เห็นตอที่มันผุดขึ้นมาเรื่อยๆแล้วมันน่าสมเพช  วิธีการบริหารบ้านเมืองของผู้หลักผู้ใหญ่ผู้มีอำนาจทั้งหลาย เห็นแล้วอายเด็กๆที่จะเป็นกำลังของชาติต่อไปในอนาคตเสียจริงๆ ที่สำคัญกินเดือนภาษีชาวบ้านเดือนละหลายหมื่น แต่ทำตัวไม่คุ้มค่าตัวเลย อย่างนี้ไม่น่าจ้างทำงานเล้ยยยย  เลี้ยงเสียข้าวสุก  (น่าจะลองเข้าไปศึกษาเรียนรู้โครงการคุณธรรมบ้างนะ)

เข้าเรื่องดีกว่านะครับ ถึงว่าไปก็คงไม่เข้าหูเค้าหรอก (ก้อเค้าทำตัวไม่รู้ไม่เห็น)  (ไม่มีหู ไม่มีตากันหรือไง?!!!)  ช่วงสองเดือนกว่าๆที่ผ่านมานี้ ผมได้มีโอกาสเข้าไปพูดคุยกับชาวนาพิจิตร ทั้งในเวทีเล็กๆ และเวทีใหญ่ระดับอำเภอ จังหวัด รวมไปถึงได้รับรู้ข้อมูลจาก "คุณหมอสุรเดช เดชคุ้มวงศ์" นักวิชาการสาธารณสุขจังหวัดพิจิตร และเป็นเลขาธิการมูลนิธิร่วมพัฒนาพิจิตร    ที่ให้ข้อมูลสถานการณ์เกี่ยวกับชาวนา  คุณหมอใช้คำว่าเป็น "โศกนาฎกรรมของชาวนา" เลยนะครับ  ฟังๆดูมันน่าเศร้ามากทีเดียว   นอกเหนือจากปัญหาคลาสสิคที่เป็นทุกข์ของชาวนา คือ "โง่ จน เจ็บ" แล้ว ชาวนายังเจอพิษภัยการถูกคุมคามจากพ่อค้าโรงสี และข้าราชการ (บางคน)  ที่เห็นประโยชน์ส่วนตนมากกว่าส่วนรวม (มันแน่ๆหล่ะ พ่อค้าก็ต้องหวังผลกำไร เป็นธรรมดา)  แต่ถ้าเอาเปรียบมาก มันก็น่าเกลียดเกินไป  นี่จึงทำให้ความเจ็บนั้น เจ็บปวดลึกเข้าไปอีกสุดขั้วหัวใจ                    

ทุกข์ของชาวนามีอยู่ 3 4 ประเด็นครับ คือ                     

ทุกข์ที่ 1. ตัวเกษตรกรเอง   ขาดโอกาสการเรียนรู้ยกระดับองค์ความรู้ภูมิปัญญาของตัวเอง ขาดการรวมกลุ่ม  เพราะผู้นำโลภทำตัวไม่น่าเชื่อถือ อีกทั้งวิถีการทำนาของชาวนาเปลี่ยนไปหน้ามือเป็นหลังเท้า จากที่ทำนาพออยู่พอกิน เหลือก็แบ่งให้ญาติพี่น้อง ตอนนี้กลายเป็นผลิตมากๆ ใช้สารเคมีช่วยเร่งการผลิต อยากได้อยากมีไม่สิ้นสุด   จากที่ทำนาด้วยแรงกายแรงใจของตัวเอง ทั้งจัดการคิด ทำ    ลงทุน   เก็บเกี่ยว   ขาย    แบ่งปัน   ตอนนี้ไม่แล้ว  กลายเป็นร่างทรงนักค้านักจัดการ หรือที่เค้าเรียกกันว่า ผู้จัดการนา  มีหน้าที่จ้างอย่างเดียว    จ้างเศรษฐีทำนา ตั้งแต่ไถ ดำ/หว่าน  เก็บเกี่ยวก็จ้างรถเกี่ยวคันเป็นล้านมาเกี่ยวให้  (สบายจริงน้อ!!)  ป่านนี้ชาวนาคงร่ำรวยกันแล้วหล่ะ(เหน็บนิดหน่อย)  ภาพจอมปลอมนี้ถูกสร้างขึ้นเรื่อยๆเลย   เดี๋ยวแห้งตายทั้งเป็นแบบไม่รู้ตัว   ไอ้ครั้นจะกลับไปทำนาในรูปแบบเดิม ปัจจัยที่เกี่ยวข้องก็ดันหดหายไปแล้วด้วย เช่น ยุ้งเก็บข้าว  เคียวเกี่ยว(ไม่มีคนอยากใช้แล้ว)  ไม่อยากตากข้าวเองแล้ว เกี่ยวสดจากนาก็ขายเลย   ปุ๋ยยาชีวภาพก็ช้าเห็นผลไม่ทันใจ        แล้วจะทำอย่างไรให้ชาวนาทำนาในกระบวนการที่อยู่รอดได้??????                                 

 ทุกข์ที่ 2. ต้นทุนสูง   แน่นอนครับว่าเรื่องราคาน้ำมัน ชาวนาตาดำๆ จะไปควบคุมก็คงไม่ได้  เมื่อราคาน้ำมันขึ้น ก็เปรียบเสมือนต้นทุนที่เกี่ยวข้องกับผืนนาก็ขึ้นตามไปด้วย ทั้ง ค่าปุ๋ย ค่ายา  ค่าพันธุ์ข้าว  ค่าเครื่องยนต์เทคโนโลยี  หรือแม้กระทั่งแรงงานก็ขึ้นตามลำดับ     แล้วชาวนาจะปรับตัวให้ทันต่อสถานการณ์เกี่ยวกับค่าใช้จ่ายเหล่านี้ได้อย่างไร??????                               

ทุกข์ที่ 3. ประสพภัยทางธรรมชาติ   ชาวนาพิจิตร ทำทั้งนาปี และนาปรัง  ส่วนใหญ่จะเป็นนาปรัง เพราะชลประทาน น้ำท่าเข้าถึง  (ดูเหมือนจะทำได้บ่อยแล้วจะเหลือเยอะนะ)  ปัญหาเดิมๆที่ชาวนาพิจิตรเจอมาตลอดคือ แล้ง(ประจำทุกปี)   น้ำท่วม(ประจำทุกปี)  หนาว(เป็นบางปี)  เพลี้ยกระโดด(กำลังมาถี่ขึ้น)        แล้วชาวนาจะปรับตัวอยู่กับภัยธรรมชาตินี้ได้อย่างไร?????   ในอดีตชาวนาอยู่กับภัยธรรมชาตินี้ได้อย่างไร??????   (หรือจะอยู่ตามเวรตามกรรม) 

 ทุกข์ที่ 4. โดนพ่อค้าโรงสีโกง ทุกรูปแบบ   นี่แหล่ะครับเป็นปัญหาสุดจะชีช้ำ สำหรับชาวนา  ยุทธวิธีของพ่อค้าทำกันเป็นทีม  ซึ่งประกอบไปด้วย พ่อค้า    ราชการ    เกษตรกร   (บางคน)    รวมหัวกันเป็นกระบวนการ  ตั้งแต่ระบบนโยบายยันไปถึงซึ้อขายในชุมชน/ ผืนนา     พ่อค้าโรงสีโกงยังไงรึ????  แน่นอนแหล่ะครับ โกงกิโลน้ำหนักข้าว  ถ้าคิดต่อเกวียนนะครับ 1 เกวียน (1,000 กก.)  จะหายไปถึง 3 ถัง(300 กก.)   หรืออาจจะมากกว่านั้นอยู่ที่ความปราณีของพ่อค้า  แถมยังกดราคา เรื่องความชื้น การปลอมปน อ้างสารพัด เพื่อลดราคาข้าว  และยังมีหน้าถามชาวนาด้วยนะว่า  ถ้าอยากได้เงินสดหน่ะ ต้องลดราคาลงอีก   อยากได้ราคาเต็มต้องรออีกหน่อยสัก 2 3 เดือน (แหมแพรวพราวจริงๆ)    ถ้ารอได้ก็เอากระดาษไปก่อน แล้วค่อยมาแลกเอาเงิน  ชาวนาจะทำไงได้ ต่อรองอะไรก็ไม่ได้ เพราะถ้าไม่ขายจะเก็บไว้ก็ไม่มียุ้งแล้ว ไม่มีที่ตากให้แห้ง ขืนเก็บไว้เชื้อรา แมลงมอด รุมสร้างความเสียหายอีก  ก็ทำไงได้พ่อค้าว่ายังไงก็ต้องยอม  ตอนนี้ได้แต่กระดาษมาใบหนึ่งกับจำนวนเงินที่เป็นแค่ตัวเลข ที่เฝ้ารอเวลา ถ้าไม่ได้สักทีก็ไม่ต่างอะไรกับเพลี้ยกระโดด ที่รุมทำร้ายข้าวในนา  ต่างก็เพียงแต่เป็นเพลี้ยกระดาษ ที่รุมเร้าชาวนาอยู่ร่ำไป             แล้วราชการไปไหนทำไมไม่มาช่วยเหลือชาวนาหล่ะ  ยังอยู่ครับ ยังอยู่  แต่ก็อยู่เพื่อซ้ำเติมไง!!!!!!   ซ้ำเติมยังไงก็เห็นเค้าส่งเสริมกันนักกันหนานี่(ตรงนี้ไม่ขอพูดถึงอีกแล้วนะครับ พูดมาบ่อยแล้ว เบื่อ!!!!!)         แล้วชาวนาจะหาทางออกอย่างไรเพื่อสามารถมาพึ่งตัวเองได้ ด้วยศักดิ์และศรี ของชาวนาเอง???????

ข้อมูลตรงนี้ผมได้รับรู้จากเกษตรกรชาวนาพิจิตร ที่เป็นผู้สะท้อนมา ในเวทีการพูดคุยวงเล็กๆ ของเครือข่ายเกษตรธรรมชาติพิจิตร   จากหลายๆเวทีนะครับ   (โปรดใช้วิจารญาณในการอ่าน)  รายการนี้ผู้ใหญ่ควรแนะนำ           

  มีประโยคเด็ด แสบๆ คันๆจากคำพูดของปราชญ์/ชาวนาพิจิตรมาฝากครับ

....มีปริญญาไปไม่รอดสู้มีปัญญาไม่ได้....     ครูจำรัส มาเนียม    ประธานกลุ่มเกษตรย้อนยุคอำเภอวังทรายพูน

...เหมือนไฟลาม จนไม่รู้จะดับยังไง?(หรือรอให้ดับเอง)....    ลุงบุญสืบ กลิ่นชาติ  ชาวนาอาวุโส จากตำบลวังตะกู อ.บางมูลนาก

....ความยากจนเกิดจากความโลภ คิดแต่จะบวกเพิ่ม ไม่มองย้อนถอยหลังเลยสักก้าว ความอยากไม่มีสิ้นสุด ทำมากๆ ทำบ่อยๆ จะได้เงินเยอะ ตามหนี้ได้ทัน....   ลุงจวน ผลเกิด   ปราชญ์ชาวบ้านเซียนเกษตรประณีตในพื้นที่ขนาดเล็ก  จากกิ่งอ.บึงนาราง

....นอกจากชาวนาจะเจอปัญหาเพลี้ยกระโดดแล้ว ยังเจอปัญหาเพลี้ยกระดาษอีก   ชาวนาต้องจ้างเศรษฐีมาเกี่ยวข้าว เคียวราคา 1.5 ล้าน เคียวชาวนาราคา 50 60 บาท ไม่มีใครอยากใช้แล้ว....   ลุงสมบูรณ์ โพธิ์กล่ำ   เกษตรกรตัวอย่างทำไร่นาสวนผสม เสียงดังฟังชัด  จาก อ.วังทรายพูน  

หมายเลขบันทึก: 85898เขียนเมื่อ 23 มีนาคม 2007 12:02 น. ()แก้ไขเมื่อ 14 พฤษภาคม 2012 21:44 น. ()สัญญาอนุญาต: จำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (3)

กำลังจะออกไปกินข้าว...

ดีใจครับที่เห็นบันทึกของคุณพรหมลิขิต

....

มาชวนไปทานข้าวก่อน...แล้วค่อยมาแลกเปลี่ยนกันนะครับ

สวัสดีครับ...

เป็นการวิเคราะห์และวิพากษ์ที่ตรงและข้นเข้มมากครับ

ครั้งหนึ่ง   คนอีสานก็ถูกกล่าวถึงด้วยภาพลักาณ์ "โง่ จน เจ็บ"  ซึ่งชัดเจนมากใน  ฟ้าบ่กั้น  และตอนนี้ผมก็กำลังตามหาหนังสือเล่มนี้เพื่อส่งไปให้คุณพรหมลิขิตได้อ่าน  จะได้เป็นกำลังใจในการทำงาน และเหมือนมีบ้านอยู่ใกล้ ๆ

.....

ข้อมูลที่นำเสนอถือเป็น "ปากคำประวัติศาสตร์"  ที่ควรต่อการสนใจ  เพราะมันเป็นปากคำชะตาชีวิตของคนพื้นถิ่นที่บอกเล่าออกมาจากวิถีชะตากรรม ที่บางครั้งได้กลายเป็นโศกนาฏกรรมของชีวิตไปแล้ว

....

เป็นกำลังใจให้คนทำงาน..และเป็นกำลังใจให้ชาวนา เพื่อนร่วมอาชีพของพ่อและบรรพชนของผม

คุณพี่พนัสครับ

หากเป็นความกรุณาจากพี่พนัสที่จะส่งหนังสือ "ฟ้าบ่กั้น" ให้ผมได้อ่านเรียนรู้ นั่นจะเป็นของขวัญที่มีค่าอย่างยิ่งสำหรับผมมาก (...ยังรอคอยนะครับ...) 

ประเด็นเรื่องการทำนานั้นคงยากที่จะย้อนกลับไปทำนาแบบเดิม ด้วยเทคโนโลยีเกษตรเก่าๆ คำถามคือว่า ประวัติศาสตร์ที่ผ่านมาได้ทิ้งร่องรอยอะไรไว้สำหรับการเรียนรู้ของชาวนาบ้าง ใครจะเป็นหน่วย ร่วมทุก ร่วมสุขด้วย เพื่อให้การคงอยู่ของการทำนาไม่เปลี่ยนไปสุดขาดดิ้น (ซึ่งตอนนี้ก็มีเค้าลางๆแล้ว)  ความคิด(ส่วนตัว) ผมเองก็อยากเห็นเป้าหมายชีวิตของชาวนาเป็นไปในรูปของความพอดีพอเหมาะ คือ ทำเพื่อมุ่งความร่ำรวยได้ แต่เน้นความสุข คุณค่า มีคุณธรรมประจำใจ (จริงๆก็มีกันอยู่ทุกคน เพียงแต่โอกาสนำมาใช้เริ่มน้อยลงทุกที)    ....ทำอย่างไรให้กระบวนการทำนายังคงอยู่บนเส้นทางวิถีชีวิตปัจจุบันได้อย่างมั่นคง และยั่งยืนได้.....

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท