เมื่อดิฉันรับภาระคุณประสานในสำนักงานเลขานุการ (2)


เป้าหมายที่ปักวางคือการพัฒนาการสื่อสารให้เกิดความเข้าใจ เห็นอกเห็นใจกัน (เพื่อให้เกิดความรักสามัคคี เกลี่ยงานตามความเหมาะสม ทำงานแทนกันได้ การเตรียมพร้อมรับการประเมินแบบ 360 องศา ที่มีเรื่องสมรรถนะหลักทั้งขององค์กร และตำแหน่งงาน..)

ผลักดันการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ภายในพื้นที่เล็ก ๆ ชมพูพันธุ์ทิพย์

                ในระหว่างปี 2550 ทุกพื้นที่ชมพูพันธุ์ทิพย์ มีเรื่องทอปฮิตการ Refresh หน่วยงาน มีโครงการนำเสนออนุมัติในหลักการมากมาย แต่แบบไม่ใช้งบประมาณ เพราะ Refresh นั้นต้องทำด้วยใจ...

                พื้นที่ที่ดิฉันมีส่วนร่วมอยู่ทั้งระดับหัวหน้างาน หัวหน้าหน่วย และคนเดินดินกินข้าวราดแกงจาน 10-15 บาทโดยเป็นบุคคลเดียวที่ไร้ตำแหน่งแต่งตั้ง บ่อยครั้งจะถูกลืมเหมือนเป็นไส้ติ่งที่เกินออกมาจากร่างกาย แปลความได้เสร็จสรรพว่าไม่มีประโยชน์ก็ได้ มีก็ได้ถ้าอยากให้มี ดิฉันนั่งมองอยู่วงนอก มองพวกเขาอย่างเจียมๆ ดูสิ่งที่เขาทำ ก็ดูนิ่งๆ ไปเรื่อยๆ แต่ความจำเป็นบางอย่างบังคับให้อยู่เฉยไม่ได้เหมือนว่าไส้ติ่งจะอักเสบ ดิ้นรนว่าต้องทำบางอย่าง ไม่ถึงขั้นปฏิวัติแต่ก็น้องๆ รัฐประหาร

เอาว่ะ! เมื่อไม่มีอะไรจะได้ หรือมันจะเสียหายก็คงไม่มากมายกับตัวเอง (เดินทางมาถึงซอยเงินเดือนตันอยู่แล้วนี่หว่า!)

การ Refresh ในพื้นที่ที่มีส่วนร่วมทำแบบผัดผัดรวม (ไร้รสแซ่บ) เหมือนเล่นละครเวที สองรอบ แบ่งชั้นแบ่งระดับ (ประชุมระดับหัวหน้างาน หัวหน้าหน่วย รอบแรก รอบที่สองเชิญบุคลากรทั้งหมดร่วมประชุมกัน) พบกันประทับใจ สุดท้ายไม่ได้อะไร ฟังมากขึ้นก็จริง แต่พูดคนเดียวหรือสองคน แล้วคนในงานก็ร่อยหรอลง โดยเฉพาะบุคคลระดับหัวหน้าโบกมืออำลาเวที (หนีไปเล่นการเมือง) คนที่เหลือใครอาวุโส ใครตำแหน่งงานสูงสุด ใครกำลังทำผลงานประดับชื่อเสียงวงศ์ตระกูล คนนั้นแบกภาระนั้นไป ดิฉันเริ่มซึมซับความรู้สึกเห็นใจ เข้าใจพวกเขา ประกอบกับความคิดใหม่ที่ปลูกถ่ายความคิดเดิมเรื่องระบบการจัดการความรู้ ใครทำ ใครได้ ไม่ลอง ไม่รู้ ผนวกความสนใจร่องความกดดันอาการสื่อสาร การศึกษาพฤติกรรมคนเราจากอวัจนะสาร ความอยากรู้อยากเห็นเรื่องนพลักษณ์ เป็นเรื่องท้าทายว่าดิฉันจะสามารถเข้ากับคนในลักษณ์ต่างๆ ได้อย่างไรกันบ้าง

                ดิฉันหันมาพิจารณาโครงสร้างงานในพื้นที่ที่มีส่วนร่วม ซึ่งแบ่งพื้นที่งานเป็น 3 งาน คือ งานบริหารและธุรการ งานคลังและพัสดุ และงานนโยบายและแผน โดยสองงานหลัง ดิฉันเข้าใจว่าปัญหาไม่หนัก คนไม่มาก น้องสาวคนหนึ่งในสังกัดงานนี้บอกว่า ตัวเลขไม่ดิ้นเหมือนมนุษย์ ทำความเข้าใจเขาแล้วเขาจะอยู่หมัดเรา ไม่เหมือนงานบริหารและธุรการมีคนมากมาย แบ่งส่วนงานย่อยเป็น 3 หน่วย ซึ่ง หน่วยสารบรรณ หน่วยการเจ้าหน้าที่ และหน่วยอาคารสถานที่  สองหน่วยหลังเป็นหน่วยที่เหนือขีดความสามารถการปฏิวัติกิจกรรมการสื่อสารสองทาง ส่วนหน่วยสารบรรณ อยู่ในโค้งความเวิ้งว้างเพราะขาดผู้นำ แต่มีพี่เลี้ยงใจดีคอยช่วยเหลือดูแล พี่น้องภายในงานนี้มีครบรส แสดงความเป็นมิตร แสดงความรู้สึกเชื่อมั่นในความคิดเห็นข้อเสนอแนะ และในทางตรงข้าม... ดิฉันจึงนำธงไปปักไว้ในพื้นที่แห่งนี้สองผืน และเริ่มต้นลุยร่วมกับพี่สาวผู้ใจดี พี่สาวคนนี้เป็นที่ร่ำลือด้านความคิดเชิงบวก มองโลกในแง่ดี มีน้ำใจงาม

                ธงที่ปักอยู่ในอาณาบริเวณหน่วยงานสารบรรณนี้มี ดิฉันและพี่สาวใจดีใช้เวลาในการลงพื้นที่ร่วมกับพี่น้องทั้งหมด 8 คน โดยพื้นที่ที่หนึ่ง มีสามคนเรียกบุคคลชั้นแนวหน้า เพราะมีหน้าที่รับเรื่อง ส่งเรื่อง พื้นที่ที่เหลือมีห้าคนขอเรียกพื้นที่ดอกดาหลานิ้วทองเลียนแบบกลุ่มงาน 5

                อย่างที่บอกว่าพื้นที่นี้มีครบรส เพียงเริ่มต้นได้เห็นความแตกต่าง โดยเฉพาะที่ดอกดาหลาฯ ดิฉันเจอทั้งสภาวการณ์เห็นด้วย ต่อต้านออกทั้งสีหน้า น้ำเสียงว่าฉันปฏิเสธนะ แข็งกร้าว เหน็ดเนือย หดหู่ วงล้อมไม่เป็นวงกลม พี่สาวใจดีบอกว่าก็ อดทน ใช้เวลา แต่ไม่นานนัก หลายสิ่งหลายอย่างดูดีขึ้นค่ะสำคัญที่สุดคือต้องทำต่อเนื่อง

                ผลลัพธ์คือความรู้สึกดีมีเพิ่มขึ้นอีกเรื่อยๆ เพราะดิฉันถือว่าทำได้เท่ากับได้เรียนรู้บทเรียนการใช้ชีวิตผูกมิตรสัมพันธ์กับผู้คน ส่วนผลพลอยได้ ยังได้พัฒนาความคิด ณ ขณะนั้นได้ฝึกการแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้า ฝึกที่จะเป็นที่ปรึกษาที่แนะนำอะไรออกไปแล้ว จับสังเกตสีหน้า ท่าทาง พอรู้ได้ว่าความคิดของเรานั้นเข้าท่าหรือไม่เอาไหน...ได้รู้จักตัวตนแท้จริงของผู้ที่ไปปฏิสัมพันธ์ร่วมด้วย แล้วเราควรไปไม้ไหนกับเขา

                ภายใต้การดำเนินกิจกรรม กำลังใจสำคัญยิ่งที่ได้รับจากผู้เป็นต้นแบบหรือโรลโมเดลบางส่วนของดิฉัน คือคำเหล่านี้ค่ะ โกวันสเต็ป พูเดอะสตริง ดิฉันและพี่สาวใจดีดำเนินกิจกรรมมาได้ช่วงระยะเวลาหนึ่ง พอเห็นพัฒนาการ แต่ยังวางใจไม่ได้ ในส่วนของพื้นที่หน่วยสารบรรณนี้ เป้าหมายที่ปักวางคือการพัฒนาการสื่อสารให้เกิดความเข้าใจ เห็นอกเห็นใจกัน (เพื่อให้เกิดความรักสามัคคี เกลี่ยงานตามความเหมาะสม ทำงานแทนกันได้ การเตรียมพร้อมรับการประเมินแบบ 360 องศา ที่มีเรื่องสมรรถนะหลักทั้งขององค์กร และตำแหน่งงาน ---ห่วงแต่เขา ไม่ห่วงตัวเอง!) สนับสนุนความสุขในงานตามตัวชี้วัดความสุข ควบคู่กับการนำการจัดการความรู้เนียนสู่เนื้องานของบุคลากรในหน่วยนี้  ยิ่งมาทราบชัดเจนว่าปัจจุบันการเกลี่ยงาน การสับเปลี่ยนงาน จะเกิดขึ้นแน่นอนในระบบการบริหารจัดการ โดยเฉพาะเมื่อมหาวิทยาลัยเป็นมหาวิทยาลัยในกำกับของรัฐ ดังนั้นหลักการทำงานคือทุกคนจะต้องทำงานแทนกันได้

                (คุณอย่าเชื่อดิฉันทั้งหมดนะคะ)

เรื่องดีดีเกิดขึ้นได้ทุกวัน อยู่ที่การมองให้เป็นเรื่องดี

                เช้าวานนี้ ดิฉันหยิบวิญญาณคุณประสานมาสวม นึกในใจว่าสัปดาห์นี้คงเป็นครั้งสุดท้ายที่จะเป็นคุณประสานแล้ว เพราะสัปดาห์หน้าหัวหน้างานบริหารและธุรการ ผู้บังคับบัญชาโดยตรงของหน่วยงานสารบรรณจะมาประจำการ เป็นธรรมดาที่เสือสองตัวอยู่ถ้ำเดียวกันได้แต่ตัวหนึ่งควรต้องหมอบ ดิฉันก็เป็นเสือหมอบตัวนั้นเองค่ะ (บังเอิญเกิดปีขาล)

                 ดิฉันกำลังอ่านหนังสือเรื่อง The Secret (เดอะซีเคร็ด) ของรอนดา เบิร์น แปลโดย จิระนันท์ พิตรปรีชา  อยู่พอดีถึงตอนที่ว่าความคิดมีแรงดึงดูดเหมือนแม่เหล็ก  เราเหมือนแม่เหล็กที่จะดึงดูดสิ่งที่คิดสิ่งที่สนใจเข้าหาตัวเอง คิดเรื่องไม่ ดี ไม่ดีมันก็มา เป็นเรื่องมหัศจรรย์ เป็นเรื่อง จริงๆเลยค่ะ (ยังอ่านไม่จบ จบเมื่อไรคงได้รู้ว่าความลับไม่มีในโลกนี้...บ้างละ)ดิฉันแค่คิดเรื่อยเปื่อยเมื่อเวลาแปดนาฬิกายี่สิบห้านาที ขณะนั่งรอสมาชิกทั้งห้าที่ห้องดาหลา ถ้าวันนี้ไม่มีใครมาร่วมวงสนทนาเลยจะเป็นไรนะ

  • เคยช่วยกันคิดแก้ปัญหาการมาทำงานสายจนเป็นที่เพ่งเล็งแล้วดีขึ้น...
  • เคยคิดช่วยกันแก้ไขปัญหาด้วยการนัดหมายเลือกเวลาเริ่มต้นงานราชการ ...สงสัยสร้างความยุ่งยากหนักหัวใจ
  • เคยช่วยคิดเรื่องการฝึกฝนเป็นคนหมั่นพัฒนาตนเองต่อเนื่อง ถ้าว่างๆ งานไม่มี ทำอะไรดี อยู่กับไอทีคุณภาพดี การอ่านข้อมูลข่าวสารเพื่อรู้ความเป็นไปของหน่วยงาน ประเทศไทย โลก จักรวาลกว้างใหญ่ ฯลฯ จะช่วยได้เยอะ...

 

                ขณะนั่งรอดิฉันนำงานค้างมาทำด้วยตามประสาโรคไฮเปอร์ที่เพิ่งจะเป็นเมื่อแก่ แปดนาฬิกาสี่สิบห้านาที สมาชิกเจ้าของห้องคนที่หนึ่งเดินเข้ามา ดิฉันรออยู่ว่าเขาจะคุยอะไรกับดิฉันไหม เปล่าค่ะ ห้านาทีผ่านไป สมาชิกทยอยเข้ามา และแล้วเมื่อทุกคนพร้อมจะเข้าประจำที่ อีกสองนาทีเก้านาฬิกา ดิฉันมีประโยคเดียวพร้อมรอยยิ้มประทับใจ

 

 

อีกประเดี๋ยวตัวจริง เสียงจริงก็มาแล้วค่ะ

ไปทำอะไรสนุกๆ อย่างอื่นต่อดีกว่า (เพราะตอนนี้เอาธงไปปักในงานกลุ่มนักการภารโรง หน่วยอาคารสถานที่แล้ว เดี๊ยงที่นี่แล้วจะเดี๊ยงซ้ำ ตกม้าตายก็ต้องลุ้นกันต่อไปแล้วค่ะ)

(คุณอย่าเชื่อดิฉันทั้งหมดนะคะ)

หมายเลขบันทึก: 175147เขียนเมื่อ 4 เมษายน 2008 12:43 น. ()แก้ไขเมื่อ 6 กันยายน 2013 18:54 น. ()สัญญาอนุญาต: จำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (17)

"ประสานงาน" นะครับพี่หม่อม ... อย่าไป "ประสานงา" เข้าล่ะ

อันตราย ๆ

ขอบคุณครับ :)

กลัวเหมือนกัน แต่ต้องตอกย้ำซ้ำ ๆ ว่า ประสานงาน ประสานงาน แล้วความลับแบบในหนังสือ The Secret จะยังคงความขลังต่อไปใช่มั้ยคะอาจารย์ Wasawat Deemarn

แต่เมื่อไรอาจารย์รู้สึกว่าพี่กำลังทำหนูน้อยตกดอย กระซิบบอกกันด้วย เบาๆ ก็ได้นะคะ

  • พี่จ๊ะ..

The Secret  น่ะ โด่งดังเพราะการตลาด (คิดว่านะ..)  แต่เนื้อหาโดยสำคัญก็คือ ให้เราคิดแต่เรื่องดีๆ เป็นไปในทิศทางที่บวกๆๆ  คิดบ่อยๆ ก็เหมือนเราอธิษฐาน  เพ่งกระแสจิตไปยังเรื่องนั้นๆ   แล้วสิ่งที่เกิดขึ้นก็คือปฏิหาริย์ (ซึ่งก็ไม่ทุกคนหรอกที่ได้อย่างที่คิด)  เหมือนที่พี่ว่าเกิดแรงดึงดูดนั่นล่ะ

สรุปแล้วคิดแต่เรื่องดีๆ  อย่าไป "ประสานงา" กับใครเขาเข้าล่ะ  ประเดี๋ยวต้อมจะไม่มีเพื่อนคุย ^^  เอาใจช่วยสุด(หัว)ใจอ้วนๆ เลยนะเนี่ย

  • น้องจ๋า
  • เห็นด้วยเรื่องคิด บวก บวก บวก

หนังสือเล่มนี้ ไม่เคยคิดว่าจะมาอยู่ในมือหรอกจ๊ะ ฟังๆ มา พอบอกว่าเรื่องออกแนวธรรมะ ปรัชญาตะวันตก อ่านยาก ไม่เอาหรอก แต่หยิบมาดูเพราะสะดุดหลักการตลาด จริงแฮะ ตั้งแต่

  • p-People ผู้แปล
  • p-Package แจ่มจริง
  • p-Price-เจ๋งมาก ราคาตั้ง 355 บาท เล่มจิ๊ดเดียว
  • p-Promote นอกจากผู้แปล ยังมีเล่มเล็กแยกคำนิยมชมชื่นของคนดังออกไปอีก ไม่พอมีสมุดบันทึกแถมให้ด้วย ของแจกถูกใจแต๊ๆ
  • แต่ที่สำคัญสุดมาจังหวะเวลาที่ สุริวงค์บุ๊คลดให้สมาชิก 20 เปอร์เซ็นต์แน่ะ
  • อีกเหตุผลก็คือ ฝึกให้ลูกเดินเข้าร้านหนังสือ เลือกเรื่องที่อยากอ่านในวันนี้ (วันที่อกหัก 555) เธอเลือกเล่มนี้มาค่ะ...แปลกใจ เลยเกิดความอยากรู้อยากเห็น
  • ...แต่จะเชื่อแค่ไหนต้องรออ่านจบและพิสูจน์ (ว้ามีอะไรทำอีกตั้งเยอะ คงอีกนาน...จะอ่านจบ)

ปลอดภัยที่สุด ไม่ทำแล้วประสานงาน...ว่ามั้ย ปวดหัวเป็นคนตรงกลาง! ถอด...ใจ

  • พี่จ๊ะ..

ต้อมเคยเขียนถึงหนังสือเล่มนี้ด้วยนะ  http://gotoknow.org/blog/naepalee/154116

 

ไม่ได้หมายความว่า "ไม่ชอบ" นะคะ   แต่ต้อมคาดหวังว่าจะได้อ่านเรื่องยาวๆ  จากประสบการณ์ตรงของบุคคลเหล่านั้น   แต่ที่พบในหนังสือก็คือสรุปแสนสั้นของแต่ละท่าน   เออ..มันก็ดีนะสรุป   แต่หนูอยากอ่านยาวๆ น่ะมีไหม?

 

หน่าๆๆ  คนที่จะสามารถประสานงา เอ๊ย ประสานงานกับทุกฝ่ายนี่  ต้องคนมีความสามารถครบทุกด้านจริงๆ นะคะ   นั่นแสดงว่า "พี่จ๊ะของต้อมเจ๋งจริง  เป็นที่ยอมรับของทุกฝ่าย"  จริงไหมล่ะ?

น้องจ๋า ...

  • มาตั้งแต่เมื่อไรจ๊ะ พี่ไปบริหารเวลาตั้งแต่เช้ากับไดอารี่ของน้องจ๋าตามที่สัญญาไว้นั่นนะ...อ่านเพลินเกินห้ามใจ...
  • เปลี่ยนรูปนานไปไม่ดีนะจ๊ะ เดี๋ยวจะเป็นสตรีที่ถูกโลกลืม...
  •  
  • ไปอ่านเมนูข้าวเงี๊ยวมาแล้วด้วย
  • ไปตื่นเต้นกับพี่สาวที่นัดเจอตอนสองทุ่มที่ รพ.แมคคอร์มิค
  • ไปหัวเราะกลิ้ง ท้องแข็งกับอ.ขจิตที่ตามหาพี่สาวนิศาชล ป่านนี้เจอแล้วยัง...
  • ฯลฯ
  • พี่จ๊ะ..

มาทำงานตั้งแต่ 7 โมงเช้า (มาทำไมล่ะเนี่ย??)   เป็นคนชอบมาเช้าๆ น่ะค่ะ   ^^ 

1. ดูไปเถอะรูปน่ะ  เป็นรูปเมื่อสองปีที่แล้วที่กำลังน่ารักน่าหยิก  ปัจจุบันกลายเป็นน้องกะเหรี่ยงตัวโตๆ แล้วล่ะ  

2.อั้นแน่ะ..ไปอ่านบันทึกเก่าๆ..สนุกไหมล่ะคะ?   เนี่ยะ  เวลาต้อมนึกถึงวันแรกที่ได้ไปเจอพี่เหี้ยมทีไรจะขำกิ้กทุกที   

เมนูข้าวเงี้ยวนั่นน่ะ  ก็ซื้อห่อห้าบาทมาแต่งตัวเสียสวยพริ้ง   ไม่ยอมให้เสียชื่อหรอก

พี่นิศาชล  เธอหายไปนานแล้วค่ะจากในบันทึก   เพราะยุ่งกับภารกิจวุ่นๆ    เพราะงั้นพี่ขจิตถึงตามไม่เจอ   เมื่อกี้ทันได้ทักกันแวบๆ ในเอมก่อนที่ต้อมจะวิ่งวุ่นออกไปข้างนอก

 

ตามแกะรอยให้สนุกนะคะ  ^^  จะได้มีแรงไป "ประสานงา" ในเรื่องงานต่อไป  (แน่ะ แซวไม่เลิกเรื่องประสานงา)

เนปาลี  น้องจ๋า

  • รูปน่ารัก ชอบ แบบไม่ต้องเห็นลูกตาดำ ฮ่า ๆ
  • พี่เปลี่ยนรูปมั่งแล้วนี่ เห็นมั้ย คงไม่ สวย เชิดดดแล้วนะ ดูซิ เฟรนลี่ดีออก
  • อ่านบันทึกเก่าแต่ใหม่สดตลอดกาล
  • พี่จ๊ะ...ตัดผมสั้นเถิดเทิงแล้วนะ ไม่กล้าออกไปเดินเล่นนอกบ้านแล้ว อิอิ
  • พี่จ๊ะ..

รูปประจำตัวใหม่ของพี่น่ะ  ดูแล้วไม่คุ้น..ก็เลยไม่กล้าคุย  ไม่กล้าแซว  เหมือนคนแปลกหน้าไปเลย

ป.ล.ตัดผมสั้นก็ถ่ายรูปมาอวดกันมั่ง  แต่ผมสั้นเริ่มยาวแล้ว (เหมือนช่างตัดผมไม่เท่ากันหรือยังไงก็ไม่รู้ เฮ้อ)  ไม่อยากจะออกไปไหนเหมือนกัน   แต่ต้องทำมาหากิน

  • ขอบคุณนะครับสำหรับคุณพี่ใจดีทั้งสองท่าน
  • ผมในฐานะสมาชิกคนหนึ่งของดาหลานิ้วทอง ยอมรับว่าอ่อนอกอ่อนใจกับเพื่อน ๆ ดาหลา
  • จากการที่เคยจู้จี้ในการเรื่องการเรียนรู้งาน  การทำงานแทนกัน เห็นที่ต้องละความพยายามแล้ว มีความรู้สึกว่าเหนื่อยมาก
  • ที่ทำนั้นไม่ไช่เพื่อตัวเอง  ก็อย่างที่เห็น  มันน่าเศร้าใจมาก
  • เหตุการณ์ข้างหน้าจะเป็นอย่างไร  ไม่มีใครรู้  แต่เราต้องพร้อมทุกเมื่อสำหรับการเปลี่ยนแปลง
  • การเรียนรู้งานต่าง ๆ เห็นจะต้องยุติลงไปก่อน  หันให้ความรู้กับคนที่เขาต้องการจะดีกว่า  ระยะนี้ก็เลยต้องไปสอนพี่ ๆ ที่ห้องสารบรรณดีกว่า เพราะว่าพี่ ๆ เค้าอยากรู้ รวมทั้งเพื่อน ๆ ที่ต่างคณะ ก็ใช้วิธีสอนการพิมพ์งาน เทคนิคต่าง ๆ กันทางโทรศัพท์  สนุกดี

คุณ วัชรา ทองหยอด  ค่ะ เป็นความคิดที่ดีเยี่ยมค่ะ แต่ไม่ดีหรอกที่จะหยุดการเรียนรู้งานต่าง ๆ เพื่อตัวเราเองค่ะ ...เอาน่ะ สู้ๆ

คุณดาวฯ ครับ หมายถึงการถ่ายทอดการเรียนรู้งานให้แก่เพื่อน ๆ ในกลุ่มดาหลานะ ไม่ใช่ตัวผมหรอก

การที่เราพยายามยัดเยียดความรู้ และเทคต่าง ๆ ในการทำงานให้แก่เพื่อร่วมงาน โดยที่เจ้าตัวไม่ต้องการนี่มันเป็นการทรมานคนถ่ายทอดนะครับ

ผมโดนผู้บังคับบัญชา (ในอดีต) ให้ทำการสอนงานให้แก่เพื่อนร่วมงานโดยที่เขาไม่เปิดรับ  เป็นไงครับ  เกือบสิบปีแล้ว  ยังไม่ได้อะไรเป็นชิ้นเป็นอันเลย

เราก็พยายามมองมาที่ตัวเราเองแล้วนะ  ปรับปรุงก็แล้ว หรือว่าเราพูดไม่รู้เรื่อง

...แล้วที่เราอธิบายทางโทรศัพท์ พี่ ๆ น้อง ๆ ที่งานอื่น ทำไมเราพูดแล้วเค้ารู้เรื่อง

เป็นเพราะเหตุอันได...???

ขอมอบดอกไม้ให้คุณพี่สาวใจดีทั้งสองมากครับ

สิ่งหนึ่งที่ค้นพบก็คือ  ในหลายองค์กรกลุ่มคนที่ไม่ใช่ระดับหัวหน้านั้นมักจะทำงานตามคำสั่ง เป็นหลัก  คล้ายกับฉลาดอยู่ฉลาดทำ  ไม่นิยมที่จะคิดโน่น คิดนี่ใหม่ ๆ หรือแม้แต่ต่อยอดในสิ่งเดิม ๆ ให้เข้มแข็งขึ้น

คล้ายกับว่า, ..เป็นลูกน้องจะเก่งกว่าหัวหน้าไม่ได้  ประมาณนี้เหมือนกัน

ทุกวันนี้ผมมาทำงานเป็นคนแรกของหน่วยงานเสมอ ... และกำลังที่จะเสนอแนวคิดให้ผู้บริหารประกาศนโยบายให้บุคลากรในองค์กรแยกขยะออกเป็นหมวดหมู่  เพื่อรักษาสิ่งแวดล้อมและทำตัวเป็นแบบอย่างที่ดีแก่นิสิต ...

....

กรณีเสือสองตัวนั้น  ผมเชื่อเสมอมาว่า  สามารถอยู่ในถ้ำเดียวกันได้  เพราะยังไงเสียในองค์กรนั้น  คนเราก็ต้องดำเนินชีวิตไปตามบทบาทและสถานะของตัวเองให้เหมาะสม  แต่ก็มิได้หมายความว่านิ่งเฉยและเย็นชาต่อชะตากรรมของความเป็นองค์กร

โดยส่วนตัวนั้น  ผมทำงานในสไตล์ "เอาปัญหามาถกเถียง .เพื่อหลีกเลี่ยงการทำผิดซ้ำซาก"

แต่บางทีใครหลายคนก็เข้าใจเจตนาเป็นอื่นไปอย่างน่าเสียดาย  คิดแต่ว่าจะเป็นการจับผิด 

ถ้าเราไม่ยอมรับว่ามีปัญหา  เราก็จะแก้ปัญหาไม่ได้  และเมื่อลงมือทำก็สุ่มเสี่ยงต่อการสร้างปัญหาใหม่ ๆ ให้เกิดขึ้นและทิ้งไว้ในคนรุ่นต่อไปได้สาละวนอยู่อย่างไม่รู้จบ

....

ขอบคุณครับ

คุณ แผ่นดินคะ

โดยสรุป ลูกน้องเก่งกว่าหัวหน้าไม่ได้ นั้นเป็นเรื่องจริงมานานแล้วอย่างที่คุณเขียนค่ะ ดิฉันเข้ามาในองค์กร โดยสถานภาพใหม่ ตำแหน่งแปลกแยกขององค์กร เพราะเป็นตำแหน่งแรก ตำแหน่งเดียวที่ไม่เคยมีการเขียนขอกำหนดในหน่วยงาน และเมื่อมาโดยไร้จุดยืน ไร้สังกัดแน่ชัดจนกระทั่งปัจจุบัน เขาผลักไปทางไหนก็ต้องไป

ไปเพื่อเริ่มต้นนับหนึ่งทุกที่ที่ได้อาศัยเงินเดือนประชาชนเลี้ยงปากท้อง ร่วมยี่สิบกว่าปี

การนำเสนอสิ่งแปลกใหม่ในหน่วยงานกลับโดนปิดกั้นทุกช่องทาง สิ่งที่คุณคิดมาดี น่าสนใจ แต่งานอื่นสำคัญกว่า ถึงงานของคุณไม่ใช้งบประมาณมาก แต่เวลาล่ะ มันคุ้มไหม เรื่องงานสร้างภาพ มันวัดไม่ได้ทันอกทันใจหรอก

นี่ขนาดจุดเริ่มต้นบนพื้นฐานของการต้อง(รู้จัก) คิดเอง (ทำ) เป็นเอง ไม่ใช่การเริ่มต้นจากการ (จง) รับฟังคำสั่งและ (ต้อง) ทำตามสั่ง (เท่านั้น) นะคะ

ระบบราชการที่สัมผัสนั้นแปลก สำหรับบุคคลที่เริ่มต้น เริ่มจากฟังการสั่ง ชี้นิ้วอย่างเดียว เมื่อเติบโตเป็นผู้ใหญ่ในหน่วยงาน ยังคงนิสัยเดิมเสมอต้น-ปลาย เช่นนั้นจะจัดระดับขยะของคุณแผ่นดินในหมวดหมู่ไหนดีคะ พอจะรีไซเคิลได้บ้างหรือไม่

สำหรับเสือน่ารักสองตัว (ชมตัวเองเล็กน้อย ^^) ที่มีโอกาสใช้เวลาร่วมกันจนถึงวันนี้ เราเข้ากันได้ดีเหมือนพี่กับน้องค่ะ อายุห่างกันแค่สัปดาห์เดียว และดิฉันถูกใจถูกนิสัยของเธอด้วย แต่เพราะระบบและคนตัวเล็กที่มาโตเป็นผู้ใหญ่ที่นี่สิคะ ที่ทำให้ทุกสิ่งทุกอย่างรวนทั้งระบบ น่าเสียดายขยะที่ไม่สามารถแม้แต่จะนำกลับมาใช้ได้อีก

เพื่อนรักร่วมในงานกล่าวหาว่าดิฉันพูดน้อย แต่ปากจัดค่ะ เขียนออกมาอย่างนี้แล้ว น่าห่วงตัวเองไม่ใช่น้อยนะคะ ^^ (เอาน่ะ เป็ด...ไม่กดดันอยู่แล้ว)

ชื่นชอบสไตล์การทำงาน "เอาปัญหามาถกเถียง .เพื่อหลีกเลี่ยงการทำผิดซ้ำซาก" ค่ะ

ขอบคุณค่ะ(ดีใจได้คุยสาระระบาย)

ผมอาจจะเป็นคนโชคดีอยู่มาก ..เพราะมีตัวตนและประวัติศาสตร์ของตัวเองอยู่ในมหาวิทยาลัยที่แตะต้องและสัมผัสได้ ...

รวมถึงความบ้าอย่างบริสุทธิ์ใจที่เทให้กับองค์กรนั้นก็ยืนยันได้ว่า .."เรารักและผูกพันกับองค์กรเสมือนบ้านอีกหลังของชีวิต"

การออกจากหัวหน้าของผมนั้น..ใช้เวลายาวนานถึง 4 เดือนถึงได้รับอนุมัติ  แต่จนท้ายที่สุดก็ไม่มี "เสือ"  ตัวใดขยับมาแทนที่   เข็นกันแล้วเข็นกันอีก  เพราะทุกส่วนก็ยังยืนยันให้ผมบริหารจัดการไปเช่นเดิม

ผมยืนยันชัดเจนว่า ..พอแล้ว...  ให้คนอื่นได้เติบโตกันบ้าง, ทั้งที่จะเกษียณก็ควรจะมีตำแหน่งประดับตัวบ้าง (ผมคิดเช่นนั้น) ถึงแม้อาจจะดูแย้งกับมุมมองอันแท้จริงของตัวเองที่ไม่ยึดศักดินานัก .. เพราะอยากให้วัดกันที่ศักยภาพเป็นหลักสำคัญ

ผมอธิบายให้เห็นว่า  การลุกออกมาจากเก้าอี้ตัวที่ผมนั่ง  สามารถสร้างคนใหม่ ๆ ได้อย่างน้อย 2 - 3 คน  เพราะจะต้องมีใครเติบโตไปยังจุดที่ผมจากมา...และจะมีใครอีกคนเติบโตไปแทนคนที่ก้าวไปแทนผมด้วยเช่นกัน

....

นั่นคือวิธีคิดของผม ...  เปิดทางให้คนใหม่ ๆ ได้เข้ามาสร้างตัวเองและสร้างองค์กร  ในขณะที่ตัวเองก็ถอยมาดูอยูอย่างอาทร..และเป็นมิตร

ทุกวันนี้ยังทำงานหนักเหมือนเดิม มีอะไรก็ถูกใช้เหมือนเดิม..แต่ไม่ต้องเซ็นแฟ้มเยอะ ๆ เหมือนเดิมอีกต่อไป

งานใหม่ที่ผมแยกตัวมาก็ท้าทายมาก ...คำว่าท้าทาย สวนหนึ่งก็หมายถึง การแบกรับความหวังของคนอื่นเหมือนกัน...

ขอบคุณครับ

ผมเป็นกำลังใจให้เช่นกัน

สวัสดีค่ะคุณ แผ่นดิน

  • เช้านี้ได้อ่านความเห็นคุณแผ่นดินแล้ว
  • มีความรู้สึกอยากขอบคุณมากๆ ค่ะ
  • วันนี้อ่อนแอไม่น้อยเลย กับผลที่ตกกระทบเป็นโดมิโน เห็นความเครียดของคนรอบๆ ตัวแล้ว เราเองก็เก็บความเครียดนั้นไว้ด้วย เลยปวดหัวทั้งวัน
  • สถานภาพดิฉันแตกต่างกับของคุณแผ่นดิน ตรงที่จะทำให้มีตัวตนก็ทำได้ แต่ ไม่มีตัวตนเสียเลยคงจะดีกว่า บางครั้งเหมือนคำแก้ตัวไม่มีน้ำหนักค่ะ
  • นิ่งเสียเลยก็ สงสารตัวเอง สงสารบ่าและไหล่ที่แบกรับภาระนั้นไว้ มันอดทนยิ่งกว่าใจเราอีกค่ะ
  • กำลังสรุปความเป็นตัวตนของตัวเองลงในบันทึกเป็ด ที่เขียนแล้ว หากใครอ่าน คงจะต้องเตรียมถังใบใหญ่ไว้รอรับกำลังใจ ทั้งจากคุณแผ่นดิน พี่บางทราย คุณจรคนโรงงาน คุณครูอีกหลายท่านใน G2K นี้ และคนสำคัญที่คุยด้วยหลังไมค์ได้หลายเรื่อง เอาไว้ท้ายสุดแต่เขียนตัวโตๆ น้องจ๊ะนะค่ะ
พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท