เรื่องโลกร้อน มีผู้รู้เขียนบันทึกไว้ใน g2k มากมายแล้วครับ (ผมชอบบันทึกนี้: ความจริงที่ไม่อยากฟัง วิกฤติโลกร้อน) เรื่องนี้่เกี่ยวกับคนเป็นนายโดยตรง เนื่องจากเป็นเรื่องของทุกคน ส่วนเรื่อง+ข้อมูลที่ผมเขียน คงไม่ซ้ำกับใครครับ
สำหรับผู้ที่ภาษาอังกฤษแข็งแรงพอ สารคดีที่ให้ความรู้เรื่องปัญหาโลกร้อนได้ดีคือ An Inconvenient Truth (2006) ซึ่งได้รับรางวัลต่างๆ มากมาย สารคดีเรื่องนี้ อาจหาชมได้ในเมืองไทย
แต่มีสารคดีอีกอันหนึ่งของ BBC ชื่อ Global Dimming (2005) ซึ่งในขณะที่เขียนบันทึกนี้ ไม่พบว่าเคยฉายในเมืองไทย (อาจหาดูได้ด้วยการโหลดหนังผ่าน Bittorrent โดยการค้นชื่อ Global Dimming)
เป็นที่ทราบกันโดยทั่วไปว่าโลกกำลังอยู่ในภาวะโลกร้อน มีสาเหตุใหญ่เกิดจากภาวะเรือนกระจก (จากก๊าซเรือนกระจก ซึ่งมีหลายองค์ประกอบ แต่มีคาร์บอนไดอ็อกไซด์ CO2 เป็นองค์ประกอบใหญ่ ติดตามด้วยมีเทน CH4 และไนตรัสออกไซด์ N2O แผนภูมิ)
ผลอันใหญ่ของก๊าซเรือนกระจก คือการกักไม่ให้โลกแผ่รังสีความร้อน(ซึ่งส่วนใหญ่ได้รับจากแสงอาทิตย์) กลับออกไปในอวกาศได้ ทำให้อุณหภูมิของโลกสูงขึ้นเรื่อยๆ ทีละน้อย
ในปัจจุบัน โลกมีระดับความหนาแน่นของก๊าซคาร์บอนไดอ็อกไซด์สูงที่สุดตั้งแต่มีโลกนี้มา (นานกว่าประวัติศาสตร์ของมนุษยชาติ); ในอดีต เราพบความเชื่อมโยงระหว่างการเกิดยุคน้ำแข็ง กับความหนาแน่นของก๊าซคาร์บอนไดอ็อกไซด์ แต่ระดับของก๊าซคาร์บอนไดอ็อกไซด์ในปัจจุบัน กลับสูงกว่าระดับที่เกิดยุคน้ำแข็งในอดีตไปแล้วถึงหนึ่งเท่าตัว
ตั้งแต่เกิดการปฏิวัติอุตสาหกรรมขึ้นในยุโรป โลกได้เริ่มใช้พลังงานอย่างไม่มีความรับผิดชอบ และได้ปล่อยมลภาวะและก๊าซเรือนกระจกออกมาเกินกว่าที่โลกจะรับได้
หากเป็นไปตามการณ์คาดการณ์ ปลายศตวรรษที่ 21 ที่โลกจะมีอุณหภูมิสูงขึ้น 5°C หรือหากชาวโลกไม่แก้นิสัยทำลายตัวเอง คำถามที่ควรจะเริ่มถามตัวเองในวันนี้คือ จะมีศตวรรษที่ 22 หรือไม่ ถ้าหน้าร้อนของเมืองไทยตอนนี้มีอุณหภูมิ 40°C จะเกิดอะไรขึ้นหากเปลี่ยนเป็น 45°C เมืองไทยจะสามารถผลิตอาหารเลี้ยงประชากรและชาวโลกได้หรือไม่ หากพืชและปศุสัตว์ตายหมดจากความร้อน พายุและเอลนินโย-ลานินยาุมีความรุนแรงขึ้น
ในยุโรป เป็นเรื่องที่ไม่เคยปรากฏมาก่อนจนกระทั่งปัจจุบัน ว่ามีคนตายจากความร้อน แต่ในขณะที่เขียนบันทึกนี้อากาศกลับอบอุ่นผิดปกติ ผู้คนต่างชื่นชม ในขณะที่อีกฝั่งหนึ่งของมหาสมุทรแอตแลนติด สหรัฐกลับหนาวจัด ความแปรปรวนของอากาศ เป็นเรื่องน่ากังวลเป็นอย่างยิ่ง เนื่องจากยังไม่มีเทคโนโลยีใด ที่สามารถจะแก้ไข-ควบคุมได้
หากเกาะกรีนแลนด์และนำแข็งขั้วโลกละลาย (ข่าว: หมีขั้วโลกจมน้ำตายเพราะหิมะละลาย) จะ่มีปริมาณน้ำจืดมาเพิ่มมาก ทำให้ความเค็มลดลง และจะไปรบกวนการไหลของกระแสน้ำเย็นซึ่งมีความเค็มสูง และไหลอยู่ที่ก้นมหาสมุทร เนื่องจากเมื่อความเค็มลดลง+อุณหภูมิน้ำอุ่นขึ้น น้ำก็จะลอยตัวสูงขึ้น -- สถานการณ์นี้เป็นอันตรายยิ่งกว่าการที่ระดับน้ำทะเลสูงขึ้น เนื่องจากสภาพอากาศแปรปรวน จะมีผลถึงคนที่อยู่ในที่สูง-ห่างไกลจากทะเลด้วย
มลภาวะทางอากาศที่มนุษย์สร้างขึ้น มีสองรูปแบบคือเป็นก๊าซไม่มีสี และเป็นฝุ่นละออง+ก๊าซที่มีสี (ควันดำ เชื้อเพลิงที่เผาใหม้ไม่สมบูรณ์ โรงไฟฟ้าถ่านหิน ฯลฯ) มลภาวะทั้งสองแบบมีผลต่อภาวะโลกร้อนคนละแบบ
มีงานวิจัยของกระทรวงเกษตรในอิสราเอล ที่วัดพลังงานแสงอาทิตย์ที่ตกกระทบพื้นดิน เพื่อคำนวณปริมาณน้ำที่จะเป็นต้องใช้ในการเพราะปลูก ผลการวิจัยน่าตกใจมาก กล่าวคือปริมาณแสงอาทิตย์ลดลงถึง 22% ในระยะเวลาประมาณ 50 ปีที่ผ่านมา ผลลัพธ์นี้ สอดคล้องกับการศึกษาการระเหยของน้ำที่ออสเตรเลีย และข้อมูลการวัดพลังงานแสงอาทิตย์จากรัสเซีย
ปริมาณแสงอาทิตย์ที่เดินทางมายังโลกไม่ได้เปลี่ยนแปลง แต่แสงไม่สามารถทะลุบรรยากาศลงมายังพื้นโลกได้ (Global Dimming) สิ่งที่มาบดบังแสงอาทิตย์ไว้ คือมลภาวะที่มนุษย์สร้างขึ้นมาเอง และเป็นปัญหาหนักขึ้นเรื่อยๆ
วิธีการแก้ไขนั้น กลับไม่ยาก คือเผาเขม่าอุตสาหกรรมให้ร้อนขึ้น-นานขึ้น จะเขม่าเปลี่ยนเป็นไออย่างสมบูรณ์ก่อนปล่อยสู่บรรยากาศ; มีการบังคับใช้ catalytic converter ในยุโรป เปลี่ยนไปใช้นำมันไร้สารตะกั่วทั้งหมด ทำให้คุณภาพอากาศดีขึ้นมาก -- แต่การทำเช่นนี้ กลับมีผลเสียหายร้ายแรงเช่นกัน
เขม่ามลภาวะ ก่อให้เกิด global dimming; global dimming ทำให้โลกเย็นลง; เมื่อผลจาก global dimming ลดลง/หายไป โลกก็จะร้อนขึ้นด้วยอัตราที่แท้จริง; ความเข้าใจของเราต่อภาวะโลกร้อนด้วยข้อมูลในอดีต เป็นข้อมูลที่ไม่ถูกต้อง เนื่องจากอัตราการเพิ่มของอุณหภูมิ เป็น net effect ของ global warming - global dimming; แต่ปัจจุบัน global dimming เริ่มหายไป อุณหภูมิของโลกจะสูงขึ้นด้วยอัตราที่แท้จริง โดยไม่มีตัวช่วยชะลออีกแล้ว!!!
ศ.รามานาธาน นักวิทยาศาสตร์สหรัฐเชื้อสายอินเดีย ซึ่งเป็นผู้ที่ศึกษาผลของ global dimming ในมหาสมุทรอินเดีย กล่าวไว้ว่า "My main concern is global dimming is also having a detrimental impact on the Asian monsoon ... We are talking about billions of people" (เอเซียมีประชากรครึ่งหนึ่งของโลก)
Even the most pessimistic forecasts of global warming may now have to be drastically revised upwards.
That means a temperature rise of 10 degrees Celsius by 2100 could be on the cards, giving the UK a climate like that of North Africa, and rendering many parts of the world uninhabitable.
ในสารคดี Global Dimming ข้างบน ได้เสนอว่าภาวะอดอยากแห้งแล้งในทวีปอัฟริกานั้น เป็นผลจากมลพิษที่ก่อโดยยุโรป (และบางส่วนจากสหรัฐ) ซึ่งยับยั้งการเคลื่อนตัวของร่องมรสุมไม่ให้เคลื่อนขึ้นเหนือ ทำให้ฝนไม่ตกติดต่อกันเป็นเวลานานมาก ไม่มีน้ำ ต้นไม้ตายหมด ดินเสื่อมโทรมเพาะปลูกไม่ได้
หากเหตุการณ์เช่นเดียวกัน เกิดแถบป่าอเมซอนในทวีปอเมริกาใต้ ซึ่งอยู่ในเส้นรุ้งเดียวกัน (เช่นเดียวกับประเทศไทย) ความแห้งแล้งมีแนวโน้มที่จะก่อให้เกิดอภิมหาไฟป่า ในป่าดิบที่หนาแน่นที่สุดในโลก เขม่าที่เกิดขึ้นจะสร้างก๊าซเรือนกระจกในปริมาณที่โลกไม่เคยพบเห็นมาก่อน และจะเร่งภาวะโลกร้อนขึ้นอีกมาก
ที่ก้นมหาสมุทรที่ลึกมากกว่า 300 เมตรและมีอุณหภูมิต่ำนั้น ยังมีพลังงานสำรองอยู่อย่างหนึ่งที่ยังไม่ได้นำขึ้นมาใช้ คือมีเทนไฮเดรท ซึ่งเป็นผลึกของมีเทนหนึ่งโมเลกุล จับกับน้ำ 20 หรือ 24 โมเลกุล พันธะทางเคมีนี้ ยังเสถียรอยู่ได้ด้วยความกดดันและอุณหภูมิต่ำ (อยู่ในรูปน้ำแข็ง)
เมื่ออุณหภูมิก้นทะเล สูงขึ้นเกิน 2°C มีเทนไฮเดรทก็จะสลายตัวเป็นน้ำกับก๊าซมีเทน น้ำจะลดความเค็มของทะเล ซึ่งในที่สุดจะไปรบกวนการไหลของกระแสน้ำเย็นก้นทะเล ส่วนมีเทนซึ่งมีฤทธิ์ในมุมของก๊าซเรือนกระจกร้ายกว่าคาร์บอนไดอ็อกไซด์ถึง 8 เท่า ก็จะลอยขึ้นสู่ผิวน้ำ และเข้าสู่บรรยากาศ
มีผลึกมีเทนไฮเดรทอยู่หมื่นล้านตัน นอนอยู่ก้นทะเลครับ!!!
เรื่องที่น่าเศร้าก็คือ เรากลับไม่ได้รู้ตัวเลยว่ากำลังยืนอยู่ที่ปากเหวนรก และความก้าวหน้าของมนุษยชาตินี่แหละที่ทำลายตนเอง !
หนีไปไหนก็ไม่พ้น เนื่องจากเกิดผลกระทบร้ายแรงต่อภูมิอากาศ ซึ่งจะกระทบต่อวงจรอาหาร !!
ไม่มีใครช่วยเราได้หากเราแต่ละคนไม่ช่วยตัวเอง โดยการพัฒนาพลังงานทดแทนอย่างจริงจัง ใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพ !!!
Wow, a gem! Glad to see this kind of info, which has both breadth and depth, being brough up by a Thai scholar.
On communicating a powerful message like this, blogging is more appropriate than mass media. At least the writing doesn't have to be limited by space or by sophistication of news editor kha.
It is such a waste if this kind of article got simply lost in an information jungle at Gotoknow.org which is becoming more like diary sites. Other bloggers can help propagaing this kind of message by linking or referring to the article. Of course, you can write BETTER articles. :-)
Khun Conductor, don't you consider blogging at oknation.net ?
ขอบคุณคุณ Kate ครับ แต่อ่านไปท้ายๆ ชักรู้สึกทะแม่งๆ
อย่าไปว่าใครเลยครับ ผมเชื่อเรื่องอิสระทางความคิด ทุกคนก็มีอิสระที่จะขีดเขียนอย่างที่ตนสบายใจ แล้วการแลกเปลี่ยนความคิดเห็นในสิ่งที่สนใจร่วมกัน ก็ไม่น่าจะเสียหายอะไรใช่ไหมครับ
ส่วนเรื่องบทความที่"เรา"คิดว่าดี จมหายไปในกลุ่มข้อมูลที่หลากหลาย ก็มีคุยๆ กันไว้หลากหลายรสแล้วครับ เช่น
บันทึกของผม อาจจะยาว อาจจะอ่านยาก อาจจะมีการเชื่อมโยงไปยังข้อมูลมากมาย อาจจะเป็นอะไรต่อมิอะไรอีกหลายอย่าง คงมีทั้งคนที่ชอบและคนที่ไม่ชอบครับ แต่เกือบทุกบันทึก ติดป้าย "ข้อคิด" ทั้งนั้น
ผมไม่ต้องการให้ท่านผู้อ่าน ทั้งขาประจำและขาจร รับสิ่งที่ผมเขียนไปทั้งดุ้น ผมอยากให้ไปคิดครับ (บันทึกของอาจารย์อนงค์ศิริ: บริโภคข่าวสารแบบว่า ไม่คิดวิเคราะห์แล้วจะแก้อย่างไรดี)
หากผมเขียนแล้วไม่ถูกจริตของผู้อ่าน ไม่ว่าจะยาวไป ยากไป ไม่ฟันธงให้ชัดเจน -- แม้ไม่มีคนอ่านเลย ก็จะไม่ได้ทำให้คุณค่าของบันทึกน้อยลงนะครับ (ส่วนเรื่องจะเขียนหรือไม่ ผมเลือกเอง)
เช่นเดียวกับที่อาจารย์มาโนชท่านเขียนไว้ในบันทึกหนึ่ง ผมก็รักงานเขียนของผมทุกชิ้นครับ ผมเขียนเพราะผมอยากให้ แต่ด้วยข้อจำกัดหลายอย่าง วิธีการอันแปลกประหลาดคือผมเขียนแล้ววางไว้เฉยๆ ในบล๊อก อยากอ่านก็มาอ่านเอง ได้อะไรหรือไม่ได้อะไร ก็แล้วแต่ท่านผู้อ่านแต่ละท่านจะประเมินเอาเอง ไม่บังคับใครครับ
เรื่องไปเขียนบล๊อกที่อื่น ตอนนี้ยังไม่คิดครับ
อ่านบทความนี้ของอาจารย์ ผมยิ่งร้อนขึ้นไปอีกครับ สงสัยเพราะมีเหมืองถ่านหินใกล้ๆบ้านแน่ๆๆครับ
ขอบคุณครับ
อย่างแรกที่น่าจะช่วยกันได้ คือเปลี่ยนทัศนคติเกี่ยวกับการเผาอะไรก็ตามในที่โล่งครับ ไม่ว่าจะเป็นขยะ นา หญ้า ป่า ฯลฯ
เรื่อง Power Station ซึ่งเป็นสัดส่วนใหญ่นั้น ที่มีปัญหาคือโรงไฟฟ้าที่ใช้ถ่านหินซึ่งมีปัญหามากในประเทศอุตสาหกรรมและจีนครับ (คนลำปางคงรู้ซึ้งดี)
คุณไพศาลครับ ผมอยากแนะนำให้ลองดูที่ โครงการชีววิถีเพื่อการพัฒนาอย่างยั่งยืน ของการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทยครับ
เขาเผยแพร่ความรู้เรื่อง EM (Effective Microorganisms) ซึ่งบางชนิดใช้เป็นปุ๋ยชีวภาพ บางชนิดใช้บำบัดน้ำเสีย ฯลฯ
บางทีอาจมีประโยชน์กับชาวบ้าน ทั้งทางด้านเศรษฐกิจ+ปัญหาโลกร้อนครับ
"Global Warming" made it to billions of TV viewers with 2007's "Oscar Goes Green." At least, we know that An Inconvenient Truth got Best Documentary award, and Leo DiCaprio's next 2 films are eco-friendly!
The topic has been discussed by G8 world leaders
i.e. global warming due to carbon dioxide emission, and many times the US leader would dismiss the topic i.e. "Bush Disses Global Warming Report"
Yes, it is serious, but as an individual what can you do? Buy a hybrid car which is way more expensive than a regular petro filled car? Or eat organic food which is again cost more? Or don't fly on airplanes? Do you have to be rich .. to be green? - not really.
Here's 51 Things We Can Do to Save the Environment
Although, the list is US-consumer centric, but consumers are consumers and they look very alike regardless of nationality. The thing is you don't have to wait for the next G8 summit or for the US to have a new president, you can start right here @ home and now! :-) - with green eye-shadow.
ขอบคุณคุณ Bluebonnet ครับ
ผมชอบสารคดีเรื่องโลกร้อนที่ LeonadoDicaprio.org ครับ
ส่วน 51 วิธีของ Time.com ก็ดีครับ ผมชอบ An Earth-Friendly Home ครับ ดูง่ายดี เห็นชัดเลยว่าทำอะไรแล้วประหยัดอะไรได้บ้าง; ถ้าสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน มีอะไรที่ชัดอย่างนี้บ้างก็ดีซิครับ
ขอบคุณมากๆค่ะ เห็นคุณ Conductor เขียนว่า
"แม้ตอนนี้รู้แล้ว ก็ยังไม่ใส่ใจอีก ยังเห็นเป็นเรื่องไกลตัว
แบบนี้เหนื่อยครับ"
มัทเลยมีขอแวะมาบอกว่า
Speak out loud of the
Things you are proud
ส่งสารดีๆแบบนี้ต่อไปค่ะ
You know some people
They just wont understand
They just wont understand these things
"Thank you for your message
But I don't understand
No, I just wont understand these things"
ถึงแม้่บางคนจะไม่เ้ข้าใจ หรือไม่สนใจ ไม่อยากจะเข้าใจ
So hold nice and close
The ones that get to your soul
So that when it is cold
You wont feel so alone
ผลึกพลังเพื่อนร่วมโลกที่เห็นเหมือนกัน เข้าใจในสถานการณ์เหมือนกัน
ร่วมทำให้คนอื่นเห็นความสำคัญของปัญหาโลกร้อนต่อไป
ถึงแม้หนทางจะลำบากเหลือเกิน
เป็นกำลังใจให้เขียนงานดีๆ กระตุ้นให้คนคิดแบบนี้ต่อไปค่ะ
เนื้อเพลง messages ของ Xavier Rudd
ขอบคุณอาจารย์มัทนามากนะครับ คงต้องรบกวนอาจารย์และท่านผู้อ่านอื่นๆ ด้วยล่ะครับ
ผมเป็นสมาชิกกะกลางคืน ส่วนกลางวันต้องทำงานจึงไม่ค่อยว่างจะได้มาแลกเปลี่ยนกับสมาชิกส่วนใหญ่ครับ พอเขียนอะไรแล้ว มักจะหลุดหน้าแรกไปอย่างรวดเร็ว
นอกจากลำปางจะร้อนเท่ากับจังหวัดตากแล้ว ลำปางยังมีสถิติผู้ป่วยมะเร็งปอดสูงสุดในมะเร็งทุกชนิด และพบสูงในทั้งชายและหญิง
น่าจะบอกอะไรเป็นนัยๆมั้ยครับ ไม่ได้โทษโรงไฟฟ้านะครับ (เค้ามีเครื่องกรองก๊าซซัลเฟอร์ แต่เปิดบ้างหรือเปล่าใครจะรู้) ไม่พูดแล้วดีกว่าครับ เสียวสันหลัง
ขอบคุณครับ
อ่านบันทึกของคุณ Conductor แล้วเกิดแรงบันดาลใจไปเขียนบันทึกต่อค่ะ ว่าตัวเล็กๆอย่างเราทำอะไรได้บ้าง อยากชวนทุกๆคนพิจารณาดูว่า ทำได้ไม๊ มันไม่ยากอย่างที่คิดนี่นา
อยากฝากให้รัฐบาล หรือ เทศบาลส่วนท้องถิ่น ช่วยสร้าง infrastructure ให้ด้วย เช่น ให้มีถังrecycle และที่คืนขยะที่ recycle ได้ อบรมและแจกอุปกรณ์การทำปุ๋ยระดับครัวเรือน
และอยากให้มีเว็บบอร์ด หรือ section ใน หนังสือพิมพ์ ที่ให้คนแลกของใช้กันได้ (swap) ไม่ต้องไปซื้อใหม่ คนหนึ่งประกาศว่าจะทิ้งอะไร (เช่น เสื้อผ้าเด็ก เครื่องใช้ไฟฟ้า คอมพิวเตอร์) อีกคนก็มาอ่านเจอ โทรไปหาแล้วไปรับของ จะได้ลดการบริโภคของใหม่ลงบ้าง
ขอบคุณอีกครั้งค่ะสำหรับบันทึกที่สำคัญมากๆชิ้นนี้
ขอบคุณคุณ conductor ครับที่มีข้อมูลที่น่าสนใจเรื่องนี้มาแบ่งปันกัน
ผมคิดว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องใหญ่ และคงเป็นประเด็นต่อเนื่องไปเรื่อยๆ อยากให้พวกเราถ้าเขียนเรื่องอื่นๆ ในประเด็นเหล่านี้ ช่วยอ้างและทำลิงค์ ถึงบันทึกอื่นๆ ที่ตนอ่านในประเด็นนี้ด้วยครับ เพราะจะได้การสั่งสมและต่อยอดแนวคิดในเรื่องนี้ครับ ถ้าอยู่ในเรื่องก็ทำลิงค์แบบอ.มัทนา ถ้าเรื่องที่พูดคนละประเด็นกัน ก็อาจทำลิงค์ต่อท้ายบทความเป็นเรื่องๆ ก็ได้ครับ
อ้อ ช่วยทำ TAG เรื่อง โลกร้อน ด้วยครับ
*** ผมสงสัยมากเลย เมื่อก่อนผมคิดว่าพอกด tag ชื่ออะไร ก็จะได้เรื่องนั้นๆ ในบันทึกต่างๆ ออกมา (รู้สึกเมื่อก่อนจะทำได้อย่างนั้น) แต่เดี๋ยวนี้พอกด tag โลกร้อน กลับปรากฏเฉพาะเรื่องของคนๆ นั้น?
ขอบคุณพระทุกท่านครับ
ในสารคดีชุด Miracle Planet ซึ่งเป็นการร่วมกันสร้างระหว่าง the National Film Board of Canada, NHK Japan, the Discovery Channel และ the Science Channel ที่เคยฉายในเมืองไทยทางช่อง 9 ก่อนเปลี่ยนเป็น Modern9 สองครั้งแล้ว มีข้อมูลแปลกครับ
คือในตอนที่สองของสารคดีนั้น เสนอสมมุติฐานว่าเหตุการณ์แบบนี้ เคยเกิดขึ้นแล้วตอนที่โลกเกิดขึ้นใหม่ๆ และเหตุการณ์นี้ เป็นสิ่งที่สร้างชีวิตในรูปแบบที่เรารู้จักกันอยู่ในปัจจุบัน
2. Snowball Earth: First Complex Life
The hypothesis "Snowball Earth" explains that ice ages, caused by the earliest life-forms, resulted in an evolutional leap — larger-sized life. Atmospheric methane created by microbes initially kept the Earth warm. As microbes that produce oxygen (photosynthesizers) emerged, atmospheric methane was lowered. As a result Earth cooled and the primeval ocean froze to 1,000 meters deep.
Most life may have become extinct during a long period of intense glaciation believed to have lasted several million years. However, some life survived, perhaps in puddles created near volcanic craters. Carbon dioxide accumulated in the air because thick ice sheets prevented ocean water from absorbing it. A green-house effect, created by carbon dioxide, finally melted the ice and fed photosynthesizers.
Hyper hurricanes raged after the great meltdown and stirred up the ocean water, creating an ideal condition for life to prosper and develop collagen. Using collagen, life-forms were able to build larger bodies, and a variety of creatures, called Ediacara biota, emerged for the first time.
สวัสดีครับจารย์
อยากเสนอ blog เกี่ยวกับ ภาวะโลกร้อน
บล็อกรักโลก(บล็อกรักษ์โลก) blog รักโลก
http://my.notgoodstory.com/blog/?u=keepearth
อ่านบทความข้างต้นแล้วดีใจมากๆเลยค่ะที่มีข้อมูลให้ศึกษาเอาไปเขียนส่งอาจารย์ได้ ตอนนี้เรียนไม่คิดจะสนใจภาวะโลกร้อนเลย เหมือนอาจารย์ที่มหาลัยแกจะตระหนักถึงปัญหาที่ใหญ่โต เหมือนแกจะเตือนสติพวกเราซึ่งเป็นเยาวชนให้รู้ถึงผลของภาวะโลกร้อน หนูไม่เก่งภาษาจะดูจะอ่านจะฟังยังไงก้อไม่ค่อยจะรู้เรื่องอะไร แต่ดีที่มีบทความของอาจารย์ ช่วยนู๋ได้เยอะเลยค่ะ นู๋จะตั้งใจเรียนค่ะ ขอบคุณหลายๆเด้อ
ขอความกรุณาอย่าเรียกท่านเลยครับ หนักกว่าอาจารย์เสียอีก ว่าแต่ว่าจัดแถวไหนในลำปางครับ
หากมีข้อมูลเพิ่มเติม ผมยินดีให้ใช้พื้นที่ประชาสัมพันธ์ครับ
หวัดดีครับ
ผมผลัดหลงมาเจอ สิ่งที่ผมอยากแชร์ก็คือ
เราจะทำความเข้าใจอย่างไร กับข้อเท็จจริงอีกด้านของหนึ่งของเรื่องโลกร้อน ...ทำไมการถกเถียงเรื่องโลกร้อนในสังคมไทย จึงเงียบฉี่ มีแต่การกระพือความตระหนก ให้มีมากขึ้น
มีนักวิทยาศาสตร์จำนวนมาก ไม่เชื่อว่า โลกร้อน เกิดจาก CO2 หรือ GHG อื่นๆ แต่ดูเหมือนในสังคมไทย สรุปและเชื่ออย่างหนักแน่นว่ากาซเหล่านี้ คือ ตัวร้าย
มีนักวิทยาศาสตร์จำนวนมาก พบว่า IPCC ไม่ซื่อตรงต่อการจัดทำรายงาน ต่อการใช้รูปกราฟต่างๆ เพื่อนำมาอธิบาย ปรากฏการณ์โลกร้อน
มีนักวิทยาศาสตร์ที่พบว่า ทั้งวารสารระดับโลกอย่าง Nature และ Science ไม่ได้รับผิดชอบต่อการตรวจสอบข้อมูลของบทความเรื่องโลกร้อน หรือไม่ยอมให้มีการตีพิมพ์ บทความที่มีความเห็นตรงข้าม
http://www.midnightuniv.org/midnight2544/0009999707.html
http://www.midnightuniv.org/midnight2544/0009999706.html
หยดเล็กๆเหล่านี้ อันตรายกว่าที่คิด
พ่อแสน ดงหลวงก็ช่วยเรื่องนี้ได้มากตามศักยภาพของครอบครัวหนึ่งนะครับ
คงต้องขยายพ่อแสน ให้ได้นับแสนๆมั๊งครับ
มันจะทันรึกับหายนะที่วิ่งนำหน้าไปแล้ว...เตรียมตัวฝังตัวเอง..แต่ก่อนจะเป็นเช่นนั้น ทำอะไรสักอย่าง สองอย่าง และหลายๆอย่างเน๊าะครับ
ขอบคุณข้อมูล ที่บ้านมีAn Inconvenient Truth (2006) แล้ว เพราะคนข้างกายก็ทำงานวิจัยเกี่ยวกับพลังงานทดแทนกับกรมพลังงานอยู่ตอนนี้ครับ แต่เจ้า global dimming น่าคิดมากครับ งานที่ดงหลวงก็ต้องทำเรื่องป่ามากขึ้น ดูพื้นที่ทาง google earth ทีไรก็ใจหายทุกที เพราะอีสานเรา แปนเอิดเติด น้ำตาลแดงเข้ม มีเขาใหญ่กับภูพานเขียวเพียงกระจุกเดียว และลดลงเรื่อยๆ
จะเอาความรู้เหล่านี้ไปส่งต่อชาวบ้านแล้วสร้างอารมณ์ร่วมได้อย่างไร แล้วเฮกันรักป่ากันสุดหัวใจตั้งแต่เดี๋ยวนี้ นี่คือภาระ น่าจะช่วยอะไรได้มากนะครับ
โลกร้อนน่ากลัวจังจะได้อยุ่จนมีลูกมะเนี่ย
น่ากลัวจังเลยนะ
ไม่อยาให้เกิดโลกร้อน