วันนี้ เอา กรณีศึกษา ให้ ผู้ รร ได้ ทำกัน
และ ใช้ world cafe ทำ AAR ถามว่า "ใครเลวที่สุด"
ปรากฏว่า แต่ ละกลุ่ม ก็บอกว่า คนนั้นคนนี้ (ตัวละครต่างๆในกรณีศึกษา) บ้างก็บอกว่าเลวทุกคน บ้างก็อ้างเลยไปโดน ผู้บริหาร ฯลฯ
สุดท้าย หลังจากที่ แต่ละกลุ่ม ได้สรุปกันแล้ว ......ผมก็เฉลยแบบเข็มขัดสั้น ...... ว่า คนเลวที่สุด คือ ผมเอง (คนตั้งคำถาม นี่แหละครับ)
เพราะ สังคมใดก็ตาม ในการแก้ปัญหาใดก็ตาม หากยังมีคนประเภทที่ชอบถามว่า ใครเลวที่สุด เป็นสังคม ที่ยากจะเรียนรู้ครับ
หยุดหาคนผิด แล้ว มา "จัดการแก้ไข ป้องกัน พัฒนา" กันดีกว่า
การที่คนเรา ทะเลาะกัน ก็เพราะ "ฉันผิดเหรอ ทำไมฉันผิดหรือไง แกนั่นแหละผิด ฯลฯ "
คนที่ยัง มีกำลังสติอ่อน (ผมเรียกว่า ไอ้อ่อน) มัก จะมี "ตัวกู ของกู" ซึ่งเป็น กาวเชื่อมจิตกับความคิดเข้าด้วยกัน ผลคือ จิตเกิดอาการ และ มักเป็นจิตอกุศล ซะด้วยสิครับ
ผมบอกผู้ รร ว่า ถ้าใคร สักคน ค้านผม ตั้งแต่แรกว่า "ไม่น่าใช้คำถามแบบ ไม่สร้างสรร ไม่ควรถามหาคนเลว แบบนี้" ผมก็จะ ถือว่า " นี่แหละ ค้นพบแล้ว ได้บทเรียนหนึ่ง ของการ รร แล้ว ดีใจด้วยคร้า.....บ
อย่าไปเกลียดที่ คนทำผิด
ถ้าจะเกลี่ยด ให้เกลียดที่ กิเลส ซึ่งเป็น แรงจูงใจ (driving force) ที่ให้เขา มี พฤติกรรม เช่นนั้นๆ
ใหม่ๆ ผม ก็ติดนิสัย หาคนผิด แต่ หลังๆ พบว่า เราหาผู้รับผิดชอบ แต่ก็อย่าใช้คำพูดว่า "ใครผิด" เอาเป็นว่า ในช่วงแรกๆ อย่าพูดออกไป เป็นที่รับรู้กันก็พอ
การหักหน้ากัน ไม่ได้อะไรขึ้นมา นอกจาก ความแค้น ทำลายทีม
ญี่ปุ่น ใช้สำนวน ไม่เกลียดคนผิด แต่ เกลียด"กิเลส" ในตัวเขา จะดีกว่า
ผมขอแนะนำว่า "อบรม จิต สติ ความคิด" มากๆ แล้ว จะปิ๊ง
ปิยวาจา อย่าเดียวไม่พอ เพราะ บางท่าน ปากปิยวาจา แต่ สีหน้า ยังออกอาการครับ
ส่วนการประชุม ที่ยังไม่สงบ ดุดัน ในความเห็นของผม เป็นเพราะ ขาดสติครับ
แนะนำ ว่า การทำ KM ที่ดี ควร ปูพื้น LO ให้แน่นด้วย
พื้นฐานของ LO คือ การ ค้นพบตนเอง พบ "ความเลว" "กิเลส" ในตนเอง
การเรียนรู้ จึงออกจาก ในไปนอก หมายถึง พบใจตนเอง ใจที่อยู่ภายในตนเอง
ผมใช้เวลา หลายปี ครับ กว่าจะปรับองค์กรให้ จิตว่างๆ แล้วเข้าประชุมกันครับ
งานราชการจะยากหน่อย เพราะ อัตตาเยอะ และ ทำ KM แบบ ไม่ได้ วางรากฐานที่"ใจ" ก่อน สุดท้าย KM แบบนี้จะล่มครับ
คุณเอื้อ คณอำนวย จะกลายเป็น คุณท้อ คุณเซ็ง คุณแพะ
ดู เรื่อง ครูสมพรสอนลิง ซ้ำๆๆๆๆๆๆๆๆ สัก 20 รอบ จะ เข้าใจมากขึ้น
ในการทำ Poka Yoke (ระบกันเผลอ หรือ fool proof) เรา ก็จะไม่มองหาคนผิด แต่เรารู้กัน ภายในครับ และ เราก็ โอปนยิโก ย้อนมาดูมาในใจเรา เราเลวกว่าคนอื่นเยอะ
ซุงในตาตนเองมองไม่เห็น แต่ดันไม่เห็นฝุ่นในตาคนอื่น
(ใน ไบเบิ้ล และ พระคัมภีร์อัลกุรอาน)
พิมพ์ผิดครับ "ซุงในตาตนเองมองไม่เห็น แต่ไปเห็นฝุ่นในตาผู้อื่น"
เป้าหมายหลัก ในการแก้ปัญหา ผมมองข้าม shrt มองข้ามภพไปแล้ว
มัวแต่ มาจิตตก จิตเกิดอกุศล กับปัญหา ต่อหน้า ไม่คุ้มครับ
เทคนิคใหม่ คือ วิมุติไม่เสียหาย สมมติไม่บอบช้ำ
ทำงานแบบ "บวชอยู่กับงาน" "อุเบกขาที่ใจ ไม่ใช่ที่หน้าที่"
ลองอ่าน U Theory เยอะๆ ครับ จะเข้าใจ การแก้ปัญหา ตามที่ Peter Senge สอนไว้
ลืมบอกไปว่า กว่าจะเข้าอยรม เรื่อง กรณีศึกษานี้ ผู้ รร ของผม ผ่านการอบรม เรื่อง การเรียนรู้ตนเอง ผ่านระบบ reflection มาหลายชั่วโมงแล้ว รู้จัก hansei บ้างแล้วแต่ยังไม่ซึ้ง
กลางวันผมจะ สอน วิชาการ กลางคืน ใครสนใจ ผมก็สอน มหาสติปัฏฐานสี่ การ เข้าใจ เรื่อง จิต สติ ความคิด
ขอบคุณค่ะ และขออนุโมทนาบุญกับอาจารย์ด้วยค่ะ
เทคนิคนี้ดีมากๆค่ะ มันแรงโดนอารมณ์ และมีหักมุมในอีกอารมณ์ ขอยืมไปใช้บ้างนะคะ อ. ชอบวิธีสื่อสารของอ.จริงๆค่ะ อ.มาขอนแก่นเมื่อไหร่เรียกหนูไปรับใช้ได้ค่ะ จาก สาวกของอ.
ยินดี ให้ใช้ มุขครับ
เคยได้อ่านจากหลักคิดของในหลวงของเราค่ะว่า "เวลามีอะไรที่ผิดปกติเกิดขึ้น อย่าหาว่าใครผิด แต่ให้หาว่าสาเหตุของความผิดพลาดเกิดขึ้นที่ใด" จากนั้นเจ้าภาพงานที่ใจกว้างควรจะรับรู้ได้เองว่าผิดพลาดอย่างไร และจะแก้ไข/ป้องกันปัญหานั้นต่อไปอย่างไร ซึ่งคงจะสวยงาม