จะขอตอบตามความคิดเห็นและประสบการณ์นะครับ
1. การแลกเปลี่ยนเรียนรู้ จะจัดเวทีแบบไหน เครื่องมืออะไร ก็ได้ตามแต่จะสะดวก การเขียนความรู้ฝังลึกติดบอร์ดก็ใช้ได้ ซึ่งก็น่าจะคล้ายๆกับการเขียนบันทึกลงในบล็อค หรืออาจให้มาพูดออกเสียงตามสายก็ได้ แต่วิธีแบบนี้มักจะเป็นการสื่อสารทางเดียวซึ่งเราได้Explicit knowledge ออกมาก็จริง แต่ถ้าคนเขียนไม่เก่งจะออกมาไม่มากและจะไม่เกิดปฏิสัมพันธ์กันของทีม การจัดเวทีอาจไม่จำเป็นต้องจัดประชุมอย่างเป็นทางการก็ได้ เช่น นัดกินข้าวกลางวันด้วยกันในที่ทำงานหรือนอกที่ทำงานก็ได้
2. ทำได้ครับ ก็เหมือนการเขียนบันทึกลงบล็อค เพียงแต่ว่าคนหลายคนอาจจะไม่ถนัดในการเขียน หรืออาจจะให้เขาบันทึกลงบนportfolio ก็ได้ แต่จากกฎการจัดการความรู้ข้อที่ 3 คนทุกคนรู้มากกว่าที่พูดได้เขียนได้ การใช้เครื่องมือสกัดขุมความรู้เพียงวิธีเดียวอาจจะไม่สามารถสกัดขุมความรู้มาได้ทั้งหมด หากเขียนแล้วเอามาอ่านหรือเล่าให้คนอื่นฟังด้วยจะดีมากเพราะจะได้เกิดปฏิสัมพันธ์และแลกเปลี่ยนกับคนอื่นๆด้วย
3. Best practiceมีหลายระดับ อาจไม่จำเป็นต้องเทียบกับที่อื่น โดยเทียบกับผลงานของตนเองในอดีตก็ได้ แต่ถ้ามีคู่เทียบจากหน่วยงานอื่นๆจะทำให้เกิดการเรียนรู้ที่เร็วขึ้นเพราะเราจะได้เรียนลัดจากหน่วยงานอื่นได้ง่าย ก็เหมือนกับการประกวดนางงามมีนางงามหมู่บ้าน ตำบล อำเภอ จังหวัด ประเทศไปจนถึงนางงามจักรวาล ก็เลือกเอาตามที่เราพอจะทำได้ก่อนครับ
4. เมื่อทำอะไรสักอย่างเสร็จก็สามารถทบทวนหลังการปฏิบัติหรือทำAARได้ โดยถามตัวเองและเพื่อนร่วมงานง่ายๆว่า วัตถุประสงค์ที่เราทำคืออะไร ทำแล้วได้ผลเป็นอย่างไร อะไรได้ตามที่คาดหวังไว้ อะไรได้น้อยกว่าที่คาดหวังไว้ ที่ทำไปคราวนี้ให้ความรู้/ข้อคิดอะไรๆดีๆกับเราบ้างและคราวหน้าจะต้องปรับปรุงอะไรบ้าง ดังนั้นAARไม่ได้ทำหลังหรือทำเฉพาะการทำKMเท่านั้นAARเป็นการทำในงานประจำครับ เช่นOPDเสร็จงานทุกวันก่อนกลับบ้าน มานั่งคุยกันก่อนสัก 15 นาทีหรือหลังจากIPDส่งเวรรับเวรแล้วก็ต่อด้วยAARสั้นๆสัก 10-15 นาที หรืออกไปนิเทศงานตามอำเภอก่อนแยกย้ายกันกลับก็มานั่งคุยAARกันก่อน
การทำงานให้ดีด้วยการใช้แนวคิดของKMจึงเป็นการเริ่มต้นที่งานประจำ คุยกันเรื่องงานประจำ ทบทวนกันเรื่องงานประจำ ปรับปรุงเรื่องงานประจำและทำในเรื่องที่เป็นงานประจำของตนเองครับ
ข้อสำคัญอีกประการหนึ่ง เราไม่ได้ต้องการแค่สกัดความรู้ฝังลึกแล้วบันทึกให้เป็นความรู้ชัดแจ้งเท่านั้น เราในกลุ่มต้องเอาความรู้ชัดแจ้งนั้นกลับไปปรับใช้โดยให้เป็นความรู้ฝังลึกในตัวเรา เพื่อนำไปสู่การปฏิบัติงานประจำให้ดีขึ้นด้วย ไม่ใช่ภูมิใจแค่ได้Knowledge assetsออกมาเท่านั้น เพราะมันจะได้กระบวนการจัดการความรู้แค่ครึ่งเดียวเท่านั้น และไม่ได้เกิดประโยชน์อย่างแท้จริงต่อการพัฒนางาน คน องค์การและการสร้างBest practiceลองอ่านในบันทึกบทความจากประสบการร์เรื่อง 5 สกับการพัฒนาคุณภาพโรงพยาบาลดูนะครับ อาจจช่วยอะไรได้บ้างในเบื้องต้น
จากประสบการณ์ของผม คนมักเข้าใจ 5 ส ผิดๆหรือมองไปแค่การจัดห้องทำงาน การจัดสถานที่ทำงาน ทำให้เป็นการทำ 5 ส นอกงานมากกว่าในงานประจำ
คุณสุวิทย์จะต้องจัดอบรมสร้างความเข้าใจแนวคิดที่ถูกต้องของกิจกรรม 5 ส ให้แก่พนักงานทุกคน แล้วตามด้วยการสร้างการยอมรับหรือการมุ่งมั่นที่จะทำ โดยที่หัวหน้างานทุกระดับให้ความสนใจและเข้าร่วมกิจกรรมด้วย
อย่ายึดติดรูปแบบหรือกิจกรรม แต่ยึดอยู่กับแนวคิดที่ถูกต้องของกิจกรรม 5 ส ทำให้พนักงานเข้าใจ ส ทั้ง 5 อย่างแท้จริง
สะสาง คือการแยกของที่ใช้กับไม่ใช้
สะดวก คือ การทำให้การทำงานง่ายขึ้น ลดความสูญเปล่าต่างๆ
สะอาด คือการตรวจสอบความพร้อมใช้ของเครื่องมือที่ใช้ทำงาน
สุขลักษณะคือจัดทำแนวทางการปฏิบัติ 3 ส แรกให้เกิดความคงเส้นคงวา สมำเสมอ
สรางนิสัย คือให้ทำจนเป็นปกติ เป็นกิจวัตรประจำวัน แฝงไปในงานประจำ
การทำเป็นทีมหลายๆแผนก อาจจะดีกว่าการทำฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง แต่ทั้งนี้ก็ขึ้นอยู่กับลักษณะขององค์กรเราด้วย
ขอแนะนำวิทยากรจากสมาคมส่งเสริมเทคโนโลยีไทย-ญี่ปุ่น) ครับ เพราะจะเน้น 5 ส เพื่อเพิ่มProductivity