สารนิพนธ์เรื่อง “การมีส่วนร่วมของประชาชนกับการปฏิบัติงานของอาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน กรณีศึกษา ในเขตองค์การบริหารส่วนตำบลโพรงมะเดื่อ ตำบลโพรงมะเดื่อ อำเภอเมืองนครปฐม จังหวัดนครปฐม”
ชื่อโครงการวิจัย
เรื่อง “การมีส่วนร่วมของประชาชนกับการปฏิบัติงานของอาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน กรณีศึกษา ในเขตองค์การบริหารส่วนตำบลโพรงมะเดื่อ ตำบลโพรงมะเดื่อ อำเภอเมืองนครปฐม จังหวัดนครปฐม”
ประเภทของงานวิจัย
งานวิจัยเชิงปริมาณ (Quantitative Research) เป็นการใช้ข้อมูลทางคณิตศาสตร์ และสถิติ
สาขาวิชาที่วิจัย
สาขาวิชา รัฐประศาสนศาสตร์
ผู้ดำเนินการวิจัย
นางสาวพิเรืองรอง ศรีวิบูลย์
ความเป็นมาและความสำคัญของปัญหา
งานสาธารณสุขมูลฐาน หรืองานสาธารณสุขในรูปแบบที่ประชาชนมีส่วนร่วมนั้น แสดงให้เห็นถึงประชาชนสามารถดูแลช่วยเหลือซึ่งกันและกันได้ในด้านสุขภาพอนามัย ซึ่งเกิดจากเหตุผลความจำเป็นในเรื่องการขาดแคลนบุคลากร ผู้ให้บริการ และเทคโนโลยีที่จะนำมาใช้ในการบริการสาธารณสุข ประกอบกับประชาชนในบางพื้นที่อยู่ไกลในพื้นที่ทุรกันดาร ไม่สามารถเดินทางมารับบริการได้ทันและทั่วถึง รวดเร็วตามความต้องการ กระทรวงสาธารณสุขจึงได้พยายามศึกษา ทดลองรูปแบบต่าง ๆเพื่อให้สามารถขยายบริการและดูแลสุขภาพอนามัยของประชาชน ให้เข้าถึง ครอบคลุมมากที่สุดนับตั้งแต่การฝึกอบรมพัฒนาความรู้ของหมอตำแยให้สามารถบริการให้ความช่วยเหลือเพื่อนบ้านและครอบครัวได้อย่างถูกต้อง มีคุณภาพและปลอดภัย แล้วเรียกชื่อใหม่ว่า “ผดุงครรภ์โบราณ” เมื่อปี 2500 ในด้านการรักษาความสะอาดของบ้านเรือนและการจัดหาน้ำสะอาดสำหรับใช้ดื่มในระยะนั้นก็ได้นำประชาชนเข้ามามีส่วนร่วมในการจัดการในรูปแบบของคณะกรรมการ เรียกชื่อว่า“กรรมการพัฒนาสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน” โดยขยายให้มีสถานอนามัยให้เต็มในทุกตำบล มีการฝึกอบรมเจ้าหน้าที่สาธารณสุข จัดระบบนิเทศงาน ขยายกิจกรรมบริการประชาชน และเน้นการเยี่ยมบ้านที่มีผู้ป่วยเป็นผู้สูงอายุ คนพิการ และผู้ด้อยโอกาส แต่ผลที่ได้ยังไม่ดีเท่าที่ควร จึงได้มีการทบทวนนโยบายใหม่ จากเหตุผลที่มองเห็นว่าอัตราการใช้บริการที่ยังต่ำและขาดความร่วมมือของชุมชนจึงได้นำเอาประชาชนเข้ามามีส่วนร่วมในการดำเนินงาน โดยคัดเลือกชาวบ้านเข้ามารับการฝึกอบรม โดยทำหน้าที่ทุกอย่างรวมทั้งให้บริการรักษาพยาบาลขั้นต้น เรียกว่าอาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน (อสม.) และ ทำหน้าที่กระจายความรู้ด้านสาธารณสุขรับข่าวสารการเจ็บป่วย โรคระบาด ฯลฯ จากชาวบ้านชุมชน แจ้งแก่เจ้าหน้าที่สาธารณสุข เรียกว่าผู้สื่อข่าวสารสาธารณสุข (ผสส.) อาสาสมัครสาธารณสุขนี้ดำเนินการแบบผสมผสานทั้งงานรักษาพยาบาล ส่งเสริมสุขภาพ ป้องกันควบคุมโรค ในหมู่บ้านชุมชนของตนเอง โดยได้รับ
การสนับสนุนวิชาการจากเจ้าหน้าที่สาธารณสุข เมื่อดำเนินการได้ประมาณ 1 ปี พบว่า มีอัตราการครอบคลุมของผู้ใช้ และผู้รับบริการด้านสาธารณสุข ที่เพิ่มขึ้นอย่างเห็นได้ชัด ต่อมาใน พ.ศ. 2537 กระทรวงสาธารณสุข จึงได้จัดอบรม ผสส. เพิ่มเติมความรู้แล้วยกฐานะเป็น อสม. เพื่อลดปัญหาการแบ่งระดับ ของ อสม.และ ผสส. ทำให้มีอาสาสมัครเหลือเพียงประเภทเดียว สามารถแบ่งงานกันทำอย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น ถึงแม้ว่าการจัดบริการสาธารณสุขที่ดีเต็มรูปแบบ ทั้งด้านเครื่องมือ เครื่องใช้ บุคลากรและการจัดการเต็มที่แล้วก็ตาม ความครอบคลุมของการให้บริการสาธารณสุขก็ยังเป็นปัญหา และไม่เพิ่มขึ้นเท่าที่ควร ถ้าหากขาดการมีส่วนร่วมของประชาชน โดยเฉพาะในชนบทที่ประชาชนมีฐานะความเป็นอยู่ทางเศรษฐกิจและระดับการศึกษาในระดับต่ำ กระทรวงสาธารณสุขจึงได้กำหนดแผนงานสาธารณสุขมูลฐาน ตั้งแต่แผนพัฒนาการสาธารณสุข ฉบับที่ 4 (พ.ศ.2520 – 2524) โดยเน้นหนักการฝึกอบรมครู ฝึกสาธารณสุขมูลฐาน การอบรม อสม. ให้ครอบคลุม ร้อยละ 50 ของหมู่บ้านในชนบท และสนับสนุนเวชภัณฑ์ มูลค่า 500 บาท เพื่อเป็นการจัดตั้งกองทุนยา และเวชภัณฑ์ประจำหมู่บ้าน และใน พ.ศ.2520 องค์การอนามัยโลกได้มีการกำหนดนโยบายที่ชัดเจนว่าประชาชนทุกคนในโลกจะต้องสุขภาพดีถ้วนหน้า (Health for All) ภายในปี ค.ศ.2000 หรือ 2543 ซึ่งหมายถึงการที่ทุกคนมีชีวิตยืนยาว และอยู่อย่างมีคุณภาพไม่เจ็บป่วยด้วยสาเหตุที่ไม่จำเป็น และสามารถเข้าถึงบริการสาธารณสุขได้อย่างทัดเทียมกัน และเหมาะสมตามสภาพของโรคที่ควรจะเป็น สามารถดำเนินชีวิตอยู่ซึ่งสร้างประโยชน์ให้สังคมได้อย่างมีคุณค่า ในแผนพัฒนาการสาธารณสุข ฉบับที่ 6 (พ.ศ.2530-2534) ได้เน้นการพัฒนาทางคุณภาพ ส่งเสริมและขยายโอกาสให้ประชาชนได้เข้ามามีส่วนร่วมในการดำเนินกิจกรรมบริการ สาธารณสุขในหมู่บ้าน เน้นการพัฒนาคุณภาพชีวิต โดยใช้เกณฑ์ความจำเป็นขั้นพื้นฐาน ส่งเสริมให้มีการถ่ายทอดความรู้และเทคโนโลยีระหว่างชุมชน ต่อมาในแผนพัฒนาการสธารณสุข ฉบับที่7(พ.ศ.2535 – 2539 )ได้ดำเนินกิจกรรมต่อจากแผนพัฒนาการสาธารณสุข ฉบับที่ 6 และมุ่งเน้นให้ทุกครอบครัวมีความสามารถในการดูแลสุขภาพตนเอง (Self Care) และบรรลุคุณภาพชีวิต โดยเพิ่มกิจกรรมใหม่ของงานสาธารณสุขมูลฐาน อีก 6 องค์ประกอบ รวมเป็น 14 องค์ประกอบ องค์ประกอบที่เพิ่มขึ้นใหม่ได้แก่การป้องกันและแก้ไขมลภาวะและสิ่งแวดล้อมที่เป็นพิษภัย การคุ้มครองผู้บริโภค การควบคุมและลดอุบัติเหตุ อุบัติภัยและโรคไม่ติดต่อ การป้องกันและควบคุมโรคเอดส์ ตลอดจนการส่งเสริมและสนับสนุนการจัดบริการสาธารณสุขโดยชุมชน และในแผนพัฒนาการสาธารณสุข ฉบับที่ 8 (พ.ศ.2540 – 2544 ) ได้เน้นการนำวิธีการสาธารณสุขมูลฐาน เป็นยุทธวิธีการนำไปสู่การมีสุขภาพดีถ้วนหน้า โดยส่งเสริมการจัดบริการให้ครอบคลุมและสามารถเข้าถึงได้เมื่อต้องการ การมีส่วนร่วมของประชาชนและชุมชน การประสานร่วมกันทั้งด้านเศรษฐกิจและสังคมของกระทรวงหลัก และให้มีการใช้วิทยาการและทรัพยากรอย่างมีประสิทธิภาพคุ้มค่า
บทบาทหน้าที่ของ อสม. อสม. มีบทบาทในการเป็นผู้นำการดำเนินงานพัฒนาสุขภาพอนามัย และคุณภาพชีวิตของประชาชนในหมู่บ้าน/ชุมชน เป็นผู้นำการเปลี่ยนแปลง (Change agents) พฤติกรรมด้านสุขภาพอนามัยของประชาชนในชุมชน และมีหน้าที่ แก้ข่าวร้าย กระจายข่าวดี ชี้บริการ ประสานงานสาธารณสุข บำบัดทุกข์ประชาชน ดำรงตนเป็นตัวอย่างที่ดี โดยมีหน้าที่ความรับผิดชอบดังนี้ 1. เป็นผู้สื่อข่าวสารสาธารณสุขระหว่างเจ้าหน้าที่และประชาชนในหมู่บ้าน นัดหมายเพื่อนบ้านมารับบริการสาธารณสุข แจ้งข่าวสารสาธารณสุข เช่น การเกิดโรคติดต่อที่สำคัญ หรือโรคระบาดในท้องถิ่น ตลอดจนข่าวความเคลื่อนไหวในกิจกรรมสาธารณสุข รับข่าวสารสาธารณสุขแล้ว แจ้งให้เจ้าหน้าที่สาธารณสุขในท้องถิ่นทราบอย่างรีบด่วนในเรื่องสำคัญ เช่น เรื่องโรคระบาดหรือโรคติดต่อต่าง ๆ รับข่าวสารแล้ว จดบันทึกไว้ในสมุดบันทึกผลการปฏิบัติงานของ อสม.
2. เป็นผู้ให้คำแนะนำถ่ายทอดความรู้แก่เพื่อนบ้านและเป็นแกนนำสุขภาพประจำครอบครัว ในเรื่องต่าง ๆ ได้แก่ การใช้สถานบริการสาธารณสุข และการใช้ยาการรักษาอนามัยของร่างกาย การให้ภูมิคุ้มกันโรค การสุขาภิบาลสิ่งแวดล้อมและการจัดหาน้ำสะอาดโภชนาการและสุขาภิบาลอาหาร การป้องกันและควบคุมโรคติดต่อประจำถิ่น การอนามัยแม่และเด็ก และการวางแผนครอบครัว การดูแลรักษาและป้องกันสุขภาพเหงือกและฟัน การดูแลและส่งเสริมสุขภาพจิต การป้องกันและควบคุมโรคเอดส์ การป้องกันและควบคุมโรคไม่ติดต่อที่สำคัญ การป้องกันและแก้ไขมลภาวะและสิ่งแวดล้อมที่เป็นพิษเป็นภัย การคุ้มครองผู้บริโภคด้านสาธารณสุข การจัดหายาจำเป็นไว้ใช้ในชุมชน และการส่งเสริมการใช้สมุนไพรและแพทย์แผนไทย ฯลฯ
วัตถุประสงค์ 1. เพื่อศึกษาปัญหาและอุปสรรคต่อการปฏิบัติงานสาธารณสุขมูลฐาน ของอาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน 2. เพื่อศึกษาการมีส่วนร่วมของประชาชนในการปฏิบัติงานสาธารณสุขมูลฐาน ของอาสาสมัคร สาธารณสุขประจำหมู่บ้าน สมมุติฐานการวิจัย ปัจจัยต่าง ๆ ได้แก่ เพศอายุ อาชีพ รายได้ ระดับการศึกษา สถานภาพสมรส จำนวนสมาชิกในครอบครัว ระยะเวลาที่อาศัยในชุมชน ระยะเวลาที่ดำรงตำแหน่ง การดำรงตำแหน่งอื่นในชุมชน วิธีการทำงานของอาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน การได้รับการอบรมอย่างต่อเนื่องการได้รับการนิเทศงานจากเจ้าหน้าที่สาธารณสุข ความพอใจในสวัสดิการต่าง ๆ ที่รัฐบาลจัดให้ความพึงพอใจในการดำรงตำแหน่ง การได้รับรางวัลและการเชิดชูเกียรติของอาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน ตลอดจนระดับแรงจูงใจ มีผลต่อการปฏิบัติงานสาธารณสุขมูลฐานของอาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน กรอบแนวคิดการวิจัย ศึกษาการมีส่วนร่วมของประชาชนในการทำงานของอาสาสมัครสาธารณะสุขประจำหมู่บ้าน ขอบเขตการวิจัย 1. ประชากรและกลุ่มตัวอย่าง 1.1 ประชากรที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้ ประชาชนในเขตองค์การบริหารส่วนตำบล โพรงมะเดื่อ อำเภอเมืองนครปฐม จังหวัดนครปฐม จำนวน 200 คน
1.2 กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้ เนื่องจากลุ่มประชากรในการศึกษาครั้งนี้ มีจำนวนมาก และหลากหลายพื้นที่ ผู้ศึกษาจึงได้ทำการสุ่มตัวอย่างแบบแบ่งกลุ่มพื้นที่เขตองค์การบริหารส่วนตำบลโพรงมะเดื่อออกเป็นหมู่บ้าน 11 หมู่บ้าน คือ บ้านหัวทุ่ง บ้านหนองลาดหญ้า บ้านหนองหมา บ้านห้วยหนองกร่าง บ้านอ้อมพยศ บ้านหนองแหน บ้านหุบรัก บ้านทุ่งคล้อ บ้านใหม่ บ้านหนองแขม บ้านหนองนางแช่
2.2 ตัวแปรตาม การมีส่วนร่วมของประชาชนในการทำงานของอาสาสมัครสาธารณะสุขประจำหมู่บ้าน
2.2.1 เป็นผู้สื่อข่าวสารสาธารณสุขระหว่างเจ้าหน้าที่และประชาชนในหมู่บ้าน 2.2.2 เป็นผู้ให้คำแนะนำถ่ายทอดความรู้แก่เพื่อนบ้านและเป็นแกนนำสุขภาพประจำ ครอบครัว 2.2.3 เป็นผู้ให้บริการสาธารณสุขแก่ประชาชน การปฐมพยาบาลเบื้องต้น 2.2.4 ถ่ายทอดความรู้และจัดกิจกรรมตามปัญหาของชุมชน 2.2.5 เป็นแกนนำในการชักชวนเพื่อนบ้านเข้าร่วมกิจกรรมพัฒนางานสาธารณสุข ประจำหมู่บ้าน 2.2.6 ดูแลสิทธิประโยชน์ด้านสาธารณสุขของประชาชนในหมู่บ้าน โดยเป็นแกนนำใน การประสานงานกับกลุ่มผู้นำชุมชนและองค์การบริหารส่วนตำบล (อบต.) กระตุ้นให้มีการวางแผนและดำเนินงานเพื่อพัฒนางานสาธารณสุขของหมู่บ้าน นิยามศัพท์เฉพาะ การสาธารณสุขมูลฐาน (Primary Health Care) หมายถึง รูปแบบหรือกลวิธีทาง สาธารณสุขที่เพิ่มขึ้นจากระบบการบริการสาธารณสุขที่มีอยู่เดิมโดยให้ความสำคัญในการ ดำเนินงานสาธารณสุขระดับตำบลและหมู่บ้าน ด้วยการผสมผสานการให้บริการทั้งทางด้านการ รักษาพยาบาล การส่งเสริมสุขภาพ การป้องกันโรคและการฟื้นฟูสภาพ ที่ดำเนินการโดยประชาชน เองซึ่งประชาชนจะต้องมีส่วนร่วมในการวางแผน การดำเนินงานและการประเมินผล โดยได้รับการ สนับสนุนจากภาครัฐบาลด้านวิชาการ ข้อมูลข่าวสาร การให้การศึกษาฝึกอบรม และระบบการส่ง ต่อผู้ป่วย โดยอาศัยทรัพยากรในท้องถิ่นเป็นหลักและอาศัยการพัฒนาสาธารณสุขผสมผสานไปกับ การพัฒนาของกระทรวงอื่น ๆ เพื่อให้ประชาชนสามารถแก้ปัญหาด้วยตนเองและพึ่งพาตนเองได้ การสาธารณสุขมูลฐานมีกิจกรรมทั้งสิ้น 14 กิจกรรม ดังนี้
1.การมีส่วนร่วมของชุมชนในการตัดสินใจ
2.การมีส่วนร่วมของชุมชนในการดำเนินการ
3.การมีส่วนร่วมของชุมชนในผลประโยชน์
นอกจากลักษณะของการมีส่วนร่วม ดังรายละเอียดข้างต้นแล้ว ยังมีผลการศึกษาของ Lee.J.Cary(1970:147 อ้างใน นันท์วัฒน์ บรมานันท์,2541) ที่กล่าวถึง ลักษณะการมีส่วนร่วมของประชาชน โดยแบ่งตามบทบาทและหน้าที่ของผู้เข้าร่วมในกิจกรรมการพัฒนา ดังนี้
1.เป็นสมาชิก (Membership)
2.ผู้เข้าร่วมประชุม (Attendance at Meeting)
3.เป็นผู้บริจาคเงิน (Financial Contribution)
4.เป็นกรรมการ (Membership on Committees)
5.เป็นประธาน (Leader)
ปัจจัยที่มีผลต่อการมีส่วนร่วม
อำนาจ อนันตชัย (2526:16) ได้อธิบายถึงการที่ตนมีความร่วมมือกับงานต่างๆด้วยความเต็มใจนั้น เนื่องจากปัจจัยที่สำคัญ 5 ประการ คือ
1.ความต้องการที่จะร่วมทำงานกลุ่ม
2.ความต้องการที่จะเป็นผู้มีความสำคัญ
3.ความต้องการที่จะได้รับผลประโยชน์
4.ความต้องการที่จะทดลองกระทำ
5.ความต้องการที่จะแก้ตัวที่จะทดแทนความผิดพลาดที่เคยทำมาในอดีต
งานวิจัยที่เกี่ยวข้อง โกศล สายใจ (2536 : 87)(อ้างถึง ประภาพันธ์ ช่างเรือน 2552 : 30-31) การมีส่วนร่วมของประชาชนในการเสริมสร้างความเข้มแข็งของชุมชนในด้านการพัฒนาคุณภาพชีวิตและสังคม กรณีศึกษา:ชุมชนตำบลป่าตึง อำเภอแม่จัน จังหวัดเชียงราย ในด้านการมีส่วนร่วมในการรับผลประโยชน์จากการพัฒนามีค่าเฉลี่ยอยู่ในระดับสูง ส่วนด้านการมีส่วนร่วมในการประเมินผลการดำเนินงาน พบว่า การมีว่าการมีส่วนร่วมในการประเมินผลดำเนินงานนั้นมีค่าเฉลี่ยอยู่ในระดับสูง ธัญญพล สุคันธรส (2548 : บทคัดย่อ) (อ้างถึง ประภาพันธ์ ช่างเรือน 2552 : 31) ได้ศึกษาการมีส่วนร่วมของประชากรในการพัฒนาเทศบาลเมืองอโยธยา ให้เป็นเมืองน่าอยู่ ผลการศึกษาพบว่า การมีส่วนร่วมของประชาชนในภาพรวมอยู่ในระดับมาก นอกจากนี้ยังพบว่า ระดับการศึกษา อาชีพ รายได้ของครอบครัวต่อเดือน (ก่อนหักค่าใช้จ่าย) และสถานภาพทางสังคมที่แตกต่างกัน ทำให้การมีส่วนร่วมของประชาชนในการพัฒนาเทศบาลเมืองอโยธยาน่าอยู่แตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 วัฒนพร คชภูมิ (2540 : 137) (อ้างถึง ประภาพันธ์ ช่างเรือน 2552 : 31) ได้ศึกษาการจัดการเรียนรู้ขององค์กรชุมชนในชนบท: ในกรณีศึกษาชุมชนตาคลี อำเภอเสนา จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ด้านการมีส่วนร่วมในการตัดสินใจ พบว่าการมีส่วนร่วมในการตัดสินใจ มีค่าเฉลี่ยอยู่ในระดับสูง ทั้งนี้อาจเนื่องมาจากการตัดสินใจนั้นมีความสำคัญสำหรับประชาชน ในการใช้วิจารณญาณในการตัดสินปัญหาต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับกิจกรรมด้วยตนเอง ดังนั้นการกำหนดความต้องการในชุมชนของตน จึงเป็นความสามารถของประชาชนที่จะมองเห็นปัญหาในชุมชนของตนที่มีผลกระทบต่อความเป็นอยู่ของตนและกำหนดในสิ่งที่ตนเองต้องการ ดังนั้นประชาชน จึงต้องมีส่วนร่วมในการประชุมเพื่อวางแผนพัฒนาชุมชนกับเพื่อนบ้านในชุมชน เพื่อเสนอและแลกเปลี่ยนความคิดเห็นเกี่ยวกับการดำเนินงานในการพัฒนาชุมชน นอกจากนี้ยังเป็นการร่วมคิดและตัดสินใจ เมื่อประชาชนในชุมชนเสนอความต้องการในกิจกรรมการพัฒนาของคนส่วนใหญ่ที่ต้องการ จิรศักดิ์ สีใจเจริญ (2543 : บทคัดย่อ) (อ้างถึง ประภาพันธ์ ช่างเรือน 2552 : 32) ได้ศึกษาการมีส่วนร่วมของประชาชนในการบริหารงานขององค์การบริหารส่วนตำบล ศึกษาเฉพาะกรณีบ้านโฮ่ง จังหวัดลำพูน พบว่าการเข้าไปมีส่วนร่วมในการบริหารงานจะเข้าร่วมโดยสมัครใจมากกว่าถูกผู้อื่นชักชวน ประชาชนมีความพึงพอใจต่อการเปิดโอกาสขององค์การบริหารส่วนตำบล ให้เข้าไปมีส่วนร่วมระดับปานกลางค่อนข้างสูง สาเหตุของการเข้าไปมีส่วนร่วม ได้แก่การที่จะมีโอกาสได้ร่วมรับผิดชอบเทศบาลตำบลของตนเอง ซึ่งจะช่วยส่งเสริมให้ประชาชนมีความเข้มแข็ง และจะทำให้องค์การบริหารส่วนตำบล นั้นมีประสิทธิภาพ อีกทั้งเป็นวิธีการหนึ่งในการควบคุมการทำงานขององค์การบริหารส่วนตำบล ศิริขวัญ อุทา (2546 : บทคัดย่อ) (อ้างถึง ประภาพันธ์ ช่างเรือน 2552 : 33) ได้ศึกษากระบวนการจัดทำแผนชุมชนอย่างมีส่วนร่วมในจังหวัดลำพูน โดยศึกาเงื่อนไข ปัจจัยที่สัมพันธ์กับการทำแผนชุมชนอย่างมีส่วนร่วมและกระบวนติดตามผลการดำเนินงานตามแผน ซึ่งทำการศึกษาพื้นที 5 ตำบล ในจังหวัดลำพูน ประยุกต์ใช้การวิจัยเชิงคุณภาพ โดยใช้วิธีการสังเกต ทั้งแบบมีส่วนร่วมและไม่มีส่วนร่วม การจัดเวทีสรุป บทเรียนและการสัมภาษณ์ โดยใช้แบบสัมภาษณ์แบบมีโครงสร้างและไม่มีโครงสร้างพบกระบวนการจัดทำแผนชุมชนอย่างมีส่วนร่วมในจังหวัดลำพูนทั้ง 5 แห่งนั้นมีกระบวนการที่คล้ายกันคือ การจัดเวทีสร้างความเข้าใจเรื่องแผนชุมชม การรวบรวมข้อมูลระดับชุมชนการวิเคราะห์/การจัดทำแผนระดับหมู่บ้าน ระดับตำบลและการสรุปบทเรียน ส่วนที่แตกต่างคือการคัดเลือกแกนนำก่อนการเข้าร่วมทำแผน การจัดทำแผนระดับชุมชน/หมู่บ้านการรวบรวมข้อมูล มีทั้งการใช้แบบสอบถาม การพูดคุย และการจัดเวทีชาวบ้าน เงื่อนไขที่สำคัญต่อการจัดทำแผนชุมชนอย่างมีส่วนร่วม ได้แก่ ปัจจัยภายนอก เช่น โครงการกองทุนชุมชนจังหวัดลำพูน ทำให้เกิดการจัดทำแผนชุมชนในตำบล ปัจจัยภายใน เช่น แนวคิด ทักษะ ความรู้ ความเข้าใจของวิทยากรการเข้าใจของแกนนำชุมชน และสมาชิกชุมชนที่เข้าร่วม พบว่าสมาชิกชุมชนคาดหวังผู้นำชุมชนดำเนินการในการติดตามแผ่นที่วางไว้ ผ่านการพูดคุยกับชาวบ้าน การสอบถามจากผู้ที่เกี่ยวข้องและการเข้าร่วมการประชุมกับเทศบาลตำบลหรือองค์การบริหารส่วนตำบล สุพจน์ จิตสงวนสุข (2543 : บทคัดย่อ) ศึกษาการปฏิบัติงานสาธารณะสุขมูลฐาน ของอาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน (อสม.) และปัจจัยที่เกี่ยวข้องกับคุณลักษณะทางประชากร จิตสำนึกต่อแนวคิดและหลักการสาธารณะสุขมูลฐาน การรับรู้ความสามารถแห่งตนในการดำเนินงานและกา
อ่านแล้วจะกลับมาคอมเม้นท์อีกครั้ง