อนุทินล่าสุด


krupound
เขียนเมื่อ

นานแล้วไม่ได้มาแบ่งปัน หลังจากนี้คงได้เริ่มกันอีกครั้ง...



ความเห็น (0)

ไม่มีความเห็น

krupound
เขียนเมื่อ

วันนี้ได้ไปฟังบรรยายในหัวข้อการกำหนดกรอบแนวคิดการวิจัยฯ จาก ศ.ดร.งามผ่อง คงคาทิพย์

สั้นๆก็ไม่มีอะไรมาก (จากหลายชั่วโมงที่ไปฟัง) สำหรับนักวิจัยมือใหม่

  • กรอบวิจัยที่ดีเป็นเสมือนแผนที่นำทางไปสู่การหาคำตอบการวิจัย

  • คนที่ทำวิจัยเก่งๆ จริงๆแล้วต้องมีพื้นฐานทฤษฏีที่แม่นยำ เหมือนต้นไม้ต้องมีราก

  • ในการเลือกหัวข้อการวิจัยควรมองให้ไกลว่าสามารถทำต่อได้ในระยะยาว ไม่ใช่ทำสั้นๆแล้วจบไป

  • ในการทำวิจัยต้องคำนึงถึงผลประโยชน์ส่วนรวมเป็นหลัก ไม่ใช่เอาไว้ขึ้นหิ้ง หรือ เก็บ Impact factor

  • ในการสร้างกรอบแนวคิดการวิจัยจำเป็นต้องคำนึงถึงการทบทวนวรรณกรรมหรืองานวิจัยที่เกี่ยวข้อง เพราะเราควรหางานที่มีความใกล้เคียงกับงานที่เราสนใจจะทำมากที่สุด และหาข้อแตกต่างให้พบ

  • ในการเลือกทำวิจัยให้เกิดประโยชน์ ไม่ควรเลือกสิ่งที่หาได้ยาก หรือเป็นอันตรายต่อผู้คนมากนัก เพราะการเผยแพร่งานวิจัยสู่สังคมทำได้ยาก

ณ อาคารศูนย์การเรียนรู้ทางการวิจัย วช. 19 มีนาคม 2556



ความเห็น (0)

ไม่มีความเห็น

krupound
เขียนเมื่อ

ฝึกระเบียบให้ลูกรัก (ชอบมาก สิ่งดีๆใน facebook)

          หลายบ้านมีคำถามในใจว่าจะเลี้ยงเจ้าตัวเล็กอย่างไรให้เป็นคนมีระเบียบในตัวเอง ไม่เที่ยวทิ้งขว้างข้าวของให้ต้องตามเก็บกันเป็นเจ้านายน้อยๆ ในบ้าน ของอย่างนี้มีเคล็ดลับค่ะ!

1.เริ่มเสียแต่ยังเด็ก

          ก่อนอื่น เราต้องเริ่มหัดเขาให้รู้จักความมีระเบียบ เก็บของเป็นที่เป็นทางเสียแต่ยังเด็ก ด็อกเตอร์ดอนนา โธมัส ร็อดเจอรส์ กล่าวว่าหากเริ่มหัดลูกน้อยให้เก็บของของตัวเองเสียตั้งแต่อายุ 5 ขวบ เมื่ออายุ 8 ขวบ คุณแม่ก็แทบไม่ต้องช่วยจัดเก็บข้าวของให้ลูกสาวอีกต่อไป ตั้งแต่เก็บห้องนอนของตัวเอง และข้าวของที่ตัวเองใช้ ซึ่งถ้าทำได้ คุณพ่อคุณแม่เองก็จะเป็นคนที่สบายใจหายห่วงมากที่สุดค่ะ

2.จัดที่ประจำให้เก็บข้าวของ

           อย่าดูถูกว่าเด็กเรียนรู้ไม่ได้ แต่คุณพ่อคุณแม่ต้องเริ่มจากจัดระเบียบบ้านให้ลงตัวก่อน ด้วยการไม่ปล่อยให้ลูกน้อยทิ้งของเล่นและเสื้อผ้าไว้ระเกะระกะ แต่ควรจัดที่ทางให้ลูกน้อยเก็บของของตัวเอง รวมถึงจัดวางที่ทิ้งขยะ วางกระเป๋า เสื้อผ้า และของเล่นให้เป็นที่เป็นทางให้เจ้าตัวน้อยคุ้นเคยด้วยค่ะ

3.จัดหาที่เก็บของให้เป็นระเบียบ


            การมีตะกร้า หรือกล่องสำหรับจัดเก็บข้าวของให้เจ้าตัวน้อยเก็บของเล่น เครื่องเขียน ก็จำเป็น อาจติดป้ายหรือภาพให้เป็นสัญลักษณ์ จะช่วยให้ลูกน้อยจัดเก็บข้าวของให้เป็นที่เป็นทางได้ง่ายและเป็นระเบียบขึ้นได้

            สำหรับเสื้อผ้าก็ควรมีช่องจัดเก็บ หรือตู้พลาสติกที่เด็กดึงเองได้ไว้ในห้องเพื่อจัดเก็บให้เป็นที่เป็นทาง เสื้อผ้าที่ใช้แล้วก็จัดวางตะกร้าเอาไว้ให้ มิฉะนั้นคุณอาจต้องคอยตามเก็บทีละชิ้นไปทั่วบ้านก็เป็นได้

4.เป็นตัวอย่างที่ดี

            คงเคยได้ยินกันมาแล้วว่าหากต้องการให้ลูกเป็นอย่างไร ทำอย่างไร คุณพ่อคุณแม่ต้องเป็นตัวอย่างเองเสียก่อน เพราะลูกน้อยจะเรียนรู้จากการดู แล้วเลียนแบบ ฉะนั้นหากตัวเองยังทำไม่ได้ ก็หวังได้ยากว่าลูกน้อยจะทำได้

5. มีตารางเวลาที่แน่นอน

             นอกจากข้าวของแล้ว คุณพ่อคุณแม่คงอยากให้ลูกน้อยดูแลความสะอาดของตัวเองได้ดีด้วย การจะให้ลูกน้อยดูแลตัวเองได้ดีนั้นต้องเริ่มจากหัดให้เขาทำทุกอย่างได้ด้วยตัวเอง ไม่ว่าจะเป็นการล้างมือ เข้าห้องน้ำ อาบน้ำ แปรงฟัน หวีผม ฯลฯ แล้วจัดตารางเวลาให้แน่นอน ตั้งแต่เวลาตื่นนอน และเวลาที่จะทำสิ่งต่างๆ เวลารับประทาน ไปจนถึงเวลาเข้านอนอีกครั้ง

             ที่สำคัญเหนืออื่นใดคือ เมื่อลูกทำได้ดีก็ควรชมเชย และให้รางวัลเป็นครั้งคราวด้วยค่ะ

life&family


ข้อมูลนี้นำมาจาก

http://www.facebook.com/photo.php?fbid=589465254403000&set=a.522085464474313.141675.289049341111261&type=1&relevant_count=1&ref=nf



ความเห็น (0)

ไม่มีความเห็น

krupound
เขียนเมื่อ

 วันนี้อ่านหนังสือคู่สร้างคู่สม ในบทความ การเรียนรู้ของพระเจ้าอยู่หัว มีประโยคหนึ่งว่า "ท่าน (ในหลวง) จะเตือนมากเลยนะว่า ถ้าไม่รู้จริงอย่าไปแนะนำเขา มันผิดและมันจะเสียหาย"


^u^ ชอบมาก ต้องเตือนตัวเองบ่อยๆ



ความเห็น (0)

ไม่มีความเห็น

krupound
เขียนเมื่อ

สอนลูกให้ "รักชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์"
โดย ดร.แพง ชินพงศ์

             1.สอนให้ลูกตระหนักถึงความหมายและความสำคัญของ "ชาติ" ชาติ คือสิ่งที่แสดงถึงที่มาที่ไปและความเป็นเอกลักษณ์ของเผ่าพันธุ์และตัวบุคคล ซึ่งคุณพ่อคุณแม่สามารถสอนให้ลูกตระหนักถึงความเป็นชาติไทยให้ลูกมีความรักและภูมิใจในความเป็นชาติไทยได้โดยผ่านประวัติศาสตร์ไทย ขนบธรรมเนียมประเพณีไทย วัฒนธรรมไทย ภาษาไทย เช่น คุณพ่อคุณแม่บอกให้ลูกรู้ว่าประเทศไทยมี


             ***วิธีง่ายๆในการปลูกฝังให้ลูกรักชาติ: ให้ลูกฟังเพลงชาติ ร้องเพลงชาติเพลงปลุกใจให้รักชาติและฝึกให้ยืนตรงเคารพธงชาติ นอกจากนี้คุณพ่อคุณแม่อาจเล่าเกี่ยวกับประวัติศาสตร์ชาติไทยหาหนังสือภาพเกี่ยวกับขนบธรรมเนียม ประเพณี วัฒนธรรมไทยที่เป็นความภาคภูมิใจให้ลูกได้ดูและอ่าน เช่น ภาพการไหว้ของเด็กๆ ที่น่ารัก อ่อนช้อยและงดงาม ภาพการละเล่นแบบไทยๆ ภาพประเพณีวันสงกรานต์ วันลอยกระทง สิ่งเหล่านี้จะช่วยหล่อหลอมและปลูกจิตสำนึกให้ลูกเกิดความรักและความภาคภูมิใจในความเป็นคนชาติไทยได้


              2. สอนให้ลูกตระหนักถึงความหมายและความสำคัญของ "ศาสนา" ศาสนาเป็นสิ่งยึดเหนี่ยวจิตใจของคนในชาติ ประเทศชาติใดไม่มีหลักศาสนาค้ำจุน ก็จะเกิดปัญหาการขาดศีลธรรมของคนในชาติซึ่งเป็นสาเหตุหนึ่งที่สามารถทำให้ประเทศชาตินั้นล่มสลายและถูกทำลายลงได้ แม้ประเทศไทยจะเป็นประเทศที่มีคนหลายศาสนาอยู่ร่วมกัน แต่ก็สามารถที่จะอยู่ร่วมกันได้อย่างมีความสุข ดังนั้นคุณพ่อคุณแม่ควรต้องสอนให้ลูกเรียนรู้ที่จะเข้าใจให้ความเคารพและรักคนที่นับถือศาสนาต่างจากเรา เพราะไม่ว่าใครจะนับถือศาสนาใดก็ตามแต่ แก่นแท้ของทุกศาสนาล้วนสอนให้คนเป็นคนดี มีคุณธรรมจริยธรรมทั้งต่อตนเองต่อผู้อื่นและต่อสังคมด้วยกันทั้งสิ้น

             ***วิธีง่ายๆในการปลูกฝังให้ลูกรักศาสนา: คุณพ่อคุณแม่ควรสอนให้ลูกได้เข้าใจเรื่องศาสนาตั้งแต่ยังเล็กโดยการสอนให้ลูกรู้จักหลักคำสอนตามศาสนาที่ได้นับถือหรือหากมีเวลาควรพาลูกไปสถานที่สำคัญทางศาสนา เช่น ถ้าเป็นครอบครัวที่นับถือศาสนาพุทธก็พาลูกไปวัด ไปฟังเทศน์ ฟังธรรม ทำบุญ ตักบาตร ถ้าเป็นครอบครัวที่นับถือศาสนาคริสต์ก็พาลูกไปนมัสการพระเจ้าที่โบสถ์วันอาทิตย์ถ้าเป็นครอบครัวที่นับถือศาสนาอิสลามก็พาลูกไปมัสยิดเพื่อทำศาสนพิธีกรรมตามหลักศาสนา ซึ่งวิธีการเหล่านี้จะช่วยทำให้ลูกได้ซึมซับหลักธรรมคำสอนต่างๆเพื่อขัดเกลาจิตใจและจะทำให้เกิดความรักศาสนาหรือเป็นคนที่มีศาสนาอยู่ในหัวใจนั่นเอง

               3. สอนให้ลูกตระหนักถึงความหมายและความสำคัญของ "พระมหากษัตริย์" พระมหากษัตริย์ของไทยทุกพระองค์ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบันทรงเป็นศูนย์รวมแห่งจิตใจของคนไทยทุกคน ทุกพระองค์ทรงดูแลพสกนิกรรักษาเอกราชและพัฒนาประเทศให้อยู่อย่างร่มเย็นเป็นสุขและมีความเจริญรุ่งเรือง ในฐานะคนไทยและลูกหลานไทยจึงต้องรักและเทิดทูนพระมหากษัตริย์เหนือสิ่งอื่นใด

                ***วิธีง่ายๆในการปลูกฝังให้ลูกรักพระมหากษัตริย์ คุณพ่อคุณแม่ควรเล่าพระประวัติของพระมหากษัตริย์ของไทยทุกพระองค์ให้ลูกฟัง และกล่าวถึงพระมหากรุณาธิคุณที่พระองค์ทรงยอมสละพระองค์เพื่อรักษาแผ่นดินไทยเอาไว้ เช่น พ่อขุนรามคำแหงมหาราช ทรงประดิษฐ์ตัวอักษรไทยขึ้น ทำให้ชาติไทยได้สะสมความรู้ทางวิชาการและศิลปะต่างๆ สืบทอดกันมา, สมเด็จพระนเรศวรมหาราชทรงกู้อิสรภาพของไทยจากการเสียกรุงศรีอยุธยาครั้งแรก,พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่5) ทรงเลิกทาสและพัฒนาประเทศให้เจริญรุ่งเรืองเทียบเท่าอารยประเทศ , พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช (รัชกาลที่9) ทรงบำบัดทุกข์บำรุงสุขของปวงชนชาวไทยทุกหมู่เหล่าให้มีชีวิตอยู่บนแผ่นดินไทยอย่างมีความสุขจวบจนวันนี้ นอกจากนี้การสอนให้ลูกแสดงความเคารพต่อพระมหากษัตริย์ เช่นยืนตรงเมื่อได้ยินเพลงสรรเสริญพระบารมี การไม่พูดจาจาบจ้วงหรือกล่าวหาก็ถือเป็นการปลูกฝังให้ลูกรักสถาบันพระมหากษัตริย์ด้วยเช่นกัน


                  การสอนให้ลูกรักชาติศาสนาและพระมหากษัตริย์ อย่าคิดว่าเป็นเพียงแต่การสอนตามหน้าที่เท่านั้นเพราะในแก่นที่แท้จริงแล้ว การสอนให้ลูกรักชาติ ศาสนาและพระมหากษัตริย์นั้นเปรียบเหมือนการสอนและย้ำเตือนถึงความรักและความภูมิใจที่เรามีต่อตนเองด้วย เพราะจะมีใครสักกี่คนบนโลกใบนี้ที่มีโอกาสได้อยู่อาศัยบนแผ่นดินที่สวยงาม
ร่มเย็น ไม่อยู่ในอาณัติหรือเป็นเมืองขึ้นใครจะมีสักกี่ที่บนโลกใบนี้ที่จะให้เรามีอิสระในการนับถือศาสนาใดก็ได้โดยไม่ถูกต่อต้านและที่สำคัญจะมีสักกี่คนบนโลกใบนี้ที่โชคดีเหลือเกินที่มีพระมหากษัตริย์ที่รักและอยู่เคียงข้างกับประชาชนเสมอไม่ว่าจะยามทุกข์หรือยามสุขก็ตาม ดังนั้นจึงไม่มีเหตุผลใดเลยที่จะปฏิเสธไม่ให้เราและลูกของเรารักชาติ ศาสนา และ พระมหากษัตริย์ของเราเอง


http://www.facebook.com/photo.php?fbid=557759820906877&set=a.522085464474313.141675.289049341111261&type=1&theater

ในเว็บ (facebook) เขาว่านำมาจาก manager online

แต่หาไม่เจอ ก็ต้องเอาของเขานี่แหละครับ (แอบแว็บมาโพส ^u^)



ความเห็น (0)

ไม่มีความเห็น

krupound
เขียนเมื่อ

 ช่วงนี้มีอะไรบางอย่างทำให้ต้องยุติบันทึกไปสักพัก..........-*-



ความเห็น (0)

ไม่มีความเห็น

krupound
เขียนเมื่อ
บางทีการศึกษาประเทศนี้หรือโลกนี้ก็ตอบสนองความต้องการที่แปลกๆของใครบางคน

 จาก facebook ใครคนหนึ่ง



ความเห็น (1)

มาช่วยยืนยันค่ะ เพราะลองกับลูกที่บ้านมาแล้วยี่สิบปี

krupound
เขียนเมื่อ

          

           วันนี้ไปฟังการเสวนา เรื่อง การจัดการศึกษาเพื่อเตรียมเด็กสู่ศตวรรษที่ ๒๑ ที่ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒมา ตอนแรกฟังอาจารย์วิจารณ์พูด รู้สึกเซ็งๆๆ เพราะเวลามีให้ท่านน้อยไป พออาจารย์พูดเร็วๆ ก็ฟังแบบมึนๆ แต่ตอนหลังก่อนกลับประทับใจมาก ในคำตอบที่อาจารย์ได้ตอบคำถามจากผู้ฟัง ซึ่งจำคำถามไม่ได้ แต่ประมาณว่า ในการเตรียมเด็กในอนาคตควรต้องตัดสิ่งใดออกไป ต้องรักษาสิ่งใดไว้ และควรสร้างสรรค์สิ่งใดเพิ่มเติม โดยอาจารย์ตอบได้ดีมาก คือ "จะทำสิ่งใดขอให้ดูกาลเทศะ ซึ่งสิ่งที่ควรตัดในตอนนี้ อนาคตอาจเป็นสิ่งที่ต้องรักษา ในขณะเดียวกันสิ่งที่ต้องรักษาไว้ อนาคตอาจจะไม่จำเป็นก็ได้ กาลเทศะจึงสำคัญ"

            อาจารย์ได้ให้ข้อคิดอีกว่า หากจะตัดก็ต้องตัดการคอรับชั่นในวงการศึกษา จัดระบบให้งบประมาณไหลลงไปสู่เด็กโดยตรง สร้างสรรค์ครูที่มีจิตวิญญาณความเป็นครู เป็นครูเพิื่อศิษย์ ไม่ใช่ทำอาชีพครูแค่พอมีเงินเดือนกิน...โดนมาก



ความเห็น (2)

เล่าแบบนี้ก็ โดนมาก  ฮา

 

http://www.kroobannok.com/54045

แนะครูตัดเนื้อหาขยะ! ออกบ้างก็ดี
+โพสต์เมื่อวันที่ : 31 ต.ค. 2555

 

.....

 

การศึกษาไทยรั้งท้ายอาเซียน คุณภาพสวนทางงบประมาณ-เรียนแต่ตำราก็เหมือนกรงขังปัญญา

จากงานเสวนาเรื่องการจัดการศึกษาเพื่อเตรียมเด็ก สู่ศตวรรษที่ 21 ซึ่งมหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ (มศว) จัดขึ้นเมื่อเร็วๆ นี้ มีนักวิชาการด้านการศึกษาเข้าร่วมเสวนาจำนวนมาก

โดย นพ.วิจารณ์ พานิช ประธานคณะกรรมการมูลนิธิสถาบันส่งเสริมการจัดการความรู้เพื่อสังคม (สคส.) กล่าวในการเสวนาตอนหนึ่งว่า โลกในยุคปัจจุบันเปลี่ยนแปลงไปมาก พลเมืองในยุคนี้จะยากลำบากจากการที่มีมากล้น และตกอยู่ในมายาของระบบทุนนิยม และน่าเป็นห่วงเด็กยุคนี้ ที่หลงอยู่กับเทคโนโลยีวันละหลายชั่วโมง ซึ่งจะทำอย่างไรให้เด็กอยู่กับเทคโนโลยีอย่างสร้างสรรค์ และเอื้อต่อการเรียนรู้ ไม่ใช่เอื้อต่อการเสียคน การเรียนที่ครูคุ้นเคยกับการสอนก็ต้องเปลี่ยน มิใช่การเอาความรู้มาใส่ไว้ในตัวเด็กเพียงแค่นั้น การเรียนในยุคที่ 21 ไม่ใช่แค่ความรู้เท่านั้นที่เด็กจะได้ แต่ต้องลงมือทำให้ได้ เรียนโดยการปฏิบัติจึงสำคัญมาก เพราะจะทำให้ปัญญาและมีทักษะชีวิต

"ในศตวรรษที่ 21 ผมอยากเห็นครูที่มีจิตวิญญาณมีความเป็นครู ครูที่ภูมิใจและเห็นคุณค่าในความเป็นจริง ไม่ใช่คิดอะไรเพียงแค่เงินเดือน ชีวิตครูต้องมีคุณค่ามากกว่านั้น และผมไม่อยากเห็นการคอร์รัปชั่น และการทุจริตในระบบการศึกษาไทย เพราะมันทำให้การศึกษาล้าหลังและไม่ก้าวหน้า"

ด้าน รศ.ประภาภัทร นิยม รองอธิการบดีฝ่ายวิชาการและวิจัย สถาบันอาศรมศิลป์ (ผู้ก่อตั้งโรงเรียนรุ่งอรุณ) กล่าวถึงการบริหารวิชาการในโรงเรียนรุ่งอรุณ ว่า ไม่ได้ยึดติดหลักสูตรที่กระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.)วางเอาไว้ แต่ยังออกแบบการเรียนการสอนของตัวเอง พบว่าเด็กมีศักยภาพมากเพราะเน้นการเรียนรู้ที่ลึกซึ้ง และลงมือปฏิบัติแก้ปัญหาได้จริง นอกจากนี้เด็กยังได้รับเข้าไปความรู้ขาออก ที่สามารถนำออกไปบอกเล่าและแก้ปัญหาได้ ทุกอย่างที่เด็กเรียนต้องมาจากโจทย์จริงๆ และมีความหมายกับชีวิตของพวกเขา

"ที่โรงเรียน เรียนเพียงแค่ 5 คาบวิชา เราเน้นให้เด็กได้สวดมนต์ นั่งสมาธิ ทำความสะอาดอาคารเรียน ห้องเรียน ทำอาหารกินกันเองได้โดยจัดเวรเปลี่ยนกัน ยุคนี้การเรียนต้องเปลี่ยน การจัดการศึกษาแบบฝันๆ หรือจัดแบบคุณหนูที่เด็กทำอะไร ควรเลิกสักที ห้องเรียน ตำราเรียนในทุกวันนี้เหมือนกรงขังปัญญา ติดอยู่ในนั้นเด็กไทยก็สู้ชาติไหนไม่ได้ ผลการสำรวจจาก 10 ประเทศในอาเซียน ประเทศไทยถูกจัดอยู่ในอันดับ 7 เราชนะแค่ประเทศลาวและเขมรเท่านั้น หากแต่เมื่อพูดถึงการใช้งบประมาณในการจัดการศึกษาของประเทศ พบว่า ประเทศไทยใช้งบประมาณในด้านการศึกษาสูงที่สุด แต่ผลที่ได้อยู่เกือบอันดับสุดท้ายในกลุ่มอาเซียน"

ขณะที่ ดร.เจือจันทร์ จงสถิตอยู่ ผู้ทรงคุณวุฒิด้านการศึกษา สำนักงานเลขาธิการสภาการศึกษา (สกศ.) กล่าวว่า ระบบการศึกษาไทยไปไม่ถึงไหน เพราะเราติดกรอบระบบราชการมาก แม้ว่าเราจะมีโรงเรียนที่สอนนอกกรอบในตำราอยู่ แต่ครูต้องรู้จักที่จะบูรณาการ อย่าเรียนแต่ในตำรา แต่ต้องลงมือทำจึงจะทำให้เด็กพัฒนา ทั้งนี้ครูต้องรู้จักที่จะตัดทิ้งเนื้อหาที่ไม่เหมาะกับยุคสมัยออก เพราะเรียนไปก็เหมือนขยะ

 

ที่มา สยามรัฐ

krupound
เขียนเมื่อ

อย่ากลัว...อุปสรรค เพราะมัน...ทำให้เรายิ่ง...แข็งแกร่ง

อย่ากลัว...คนยุแยง เพราะมัน...พิสูจน์...หัวใจ

อย่ากลัว...ความห่างไกล เพราะมัน...พิสูจน์...ความอดทน

อย่ากลัว...น้ำคำคน เพราะมัน...ไม่มีผล...กับตัวเรา

อ่านเจอทีไหนสักแห่ง จำไม่ค่อยได้ ก็มั่วไป แต่ชอบ



ความเห็น (0)

ไม่มีความเห็น

krupound
เขียนเมื่อ

เมื่อตะกี๊นั่งดูสารคดีช่อง ThaiPBS เรื่อง ไฟหรืออะไรนี่ล่ะ

        เขานำเสนอว่า พืชใช้พลังงานจากแสงอาทิตย์มากักเก็บในรูปคาร์บอนในเนื้อไม้ผ่านกระบวนการสังเคราะห์ด้วยแสง เมื่อเนื้อไม้ติดไฟก็จะปลดปล่อยพลังงานจากดวงอาทิตย์ออกมาผ่านกระบวนการเผาไหม้

        ซึ่งหากเผาไหม้เนื้อไม้ในภาวะออกซิเจนต่ำจะทำให้ปริมาณคาร์บอนในเนื้อไม้เพิ่มสูงขึ้นจนเกิดเป็นถ่านหินได้ ซึ่งปริมาณคาร์บอนสัมพันธ์กับความร้อนเมื่อเกกิดการเผาไหม้

        โอ...ในที่สุด วิชา วิทยาศาสตร์ร่วมสาระหลักในการอธิบายถ่านหิน...ก็ได้บทสรุปเชื่อโยงระหว่าง ชีววิทยา (กระบวนการสังเคราะห์แสง) เคมี (กระบวนการเผาไหม้) และฟิสิกส์ (ความหนาแน่นพลังงาน) ได้ชัดเจนเสียที...

         พลังงานจากดวงอาทิตย์ถูกส่งผ่านมายังโลก(ด้วยความหนาแน่นพลังงาน: ฟิสิกส์) หลายพันล้านจูลต่อชั่วโมง ต้นไม้ได้นำพลังงานนี้มาใช้ในการตรึงคาร์บอนในอากาศผ่านกระบวนการสังเคราะห์ด้วยแสง (ชีววิทยา) เพื่อสร้างเนื้อเยื่อและส่วนต่างๆของพืช เมื่อนำพืชมาเผา (อาจเกิดจากฟ้าผ่าหรือไฟป่า) จะเกิดกระบวนการเผาไหม้ (เคมี) เป็นการปลดปล่อยความร้อนและคาร์บอนออกมา หากเกิดกระบวนการเผาไหม้ภายใต้ภาวะออกซิเจนต่ำจะทำให้ได้ถ่านที่มีปริมาณคาร์บอนสูง (ถ่านหิน) ซึ่งปริมาณคาร์บอนยิ่งมีมากในเนื้อไม้หรือถ่านมากเท่าใด ความร้อนที่ปลดปล่อยจากกระบวนการเผาไหม้ (บอกในรูปความหนาแน่นพลังงาน:ฟิสิกส์) ก็ยิ่งมากขึ้น

        นั่นคือถ่านหิน 1 ก้อน สามารถอธิบายได้ด้วยวิทยาศาสตร์ แต่เรากลับแยกไปสอนในวิชาฟิสิกส เคมี และชีววิทยา โดยไม่ได้เชื่อมโยงกัน เด็กๆก็เรียนแบบแยกๆ ความเข้าใจธรรมชาติิที่ชัดเจนจึงเกิดได้ยากมากในระบบการศึกษาไทย...

 

 



ความเห็น (0)

ไม่มีความเห็น

krupound
เขียนเมื่อ

นิทานสีขาว
เรื่อง ความปรารถนาของเมล็ดพืช
โดย ดร.อาจอง ชุมสาย ณ อยุธยา
ที่มา : http://www.facebook.com/photo.php?fbid=540625505953642&set=a.522085464474313.141675.289049341111261&type=1


             นกตัวหนึ่งคาบเมล็ดพืชบินผ่านป่าใหญ่ ระหว่างทางเมล็ดพืชน้อยสองเมล็ดก็ร่วงตกลงสู่พื้นดิน

            พื้น ดินอ่อนนุ่มช่างอบอุ่น และสบายกว่าปากแหลมคมของนกตัวนั้นเป็นไหน ๆ เมล็ดพืชที่หนึ่งจึงเอ่ยทักเมล็ดพืชที่สองอย่างอารมณ์ดีว่า

เมล็ดพืชที่หนึ่ง : สวัสดีจ้ะ เธอยังสบายดีอยู่ไหม

เมล็ดพืชที่สอง : อื้ม ก็ดีกว่าตอนอยู่ในปากของนกตัวนั้นล่ะนะ

เมล็ดพืชที่หนึ่ง : ฉันดีใจมากเลยที่ได้นอนอยู่บนดินร่วนซุยแบบนี้ ทั้งนุ่ม ทั้งอุ่น สบายตัวแท้

เมล็ดพืชที่สอง : ฉันเห็นด้วย เมล็ดพืชที่ไหนก็ชอบดินแบบนี้ทั้งนั้นล่ะ

เมล็ดพืชที่หนึ่ง : ดินแบบนี้เหมาะแก่การเจริญเติบโตเป็นที่สุด เธอว่าไหม

เมล็ดพืชที่สอง : ก็คงใช่

เมล็ดพืชที่หนึ่ง : ฉันอยากเจริญเติบโตเป็นต้นไม้เร็ว ๆ จัง

เมล็ดพืชที่สอง : ว้าย! ฉันไม่เอาด้วยหรอก ฉันไม่อยากโต ฉันอยากเป็นเมล็ดพืชไปวัน ๆ อย่างนี้แหละ

เมล็ดพืชที่หนึ่ง : แต่การเปลี่ยนแปลงคือชีวิตนะ เราเป็นสิ่งมีชีวิต เราก็ต้องยอมรับการเปลี่ยนแปลง

เมล็ดพืชที่สอง : ไม่นะ ฉันจะไม่ยอมรับการเปลี่ยนแปลง ฉันจะเป็นเมล็ดพืชอย่างนี้ตลอดไป ฉันกลัวการเปลี่ยนแปลง เพราะมันทำให้เราต้องเจอ และเป็นในสิ่งที่เราไม่คุ้นเคยมาก่อน

เมล็ดพืชที่หนึ่ง : อย่ากังวลไปเลยจ้ะ การเปลี่ยนแปลงของพวกเราจะเป็นไปในทางที่ดีขึ้น เพราะเราจะเจริญเติบโต ออกดอกออกผลงอกงามไปเรื่อย ๆ

เมล็ดพืชที่สอง : ไม่จริงหรอก เธอลองคิดดูสิ ถ้าเราต้องเติบโตไปเป็นต้นไม้จริง ๆ รากของเราก็จะติดหนึบอยู่ในความมืดมนของชั้นดิน ส่วนด้านบนซึ่งเป็นกิ่งก้านและลำต้นของเราก็จะถูกกระหน่ำด้วยพายุ แล้วอย่างนี้ฉันจะอยู่ได้อย่างไรล่ะ..อยู่ไม่ได้หรอก

เมล็ดพืชที่หนึ่ง : เชื่อสิจ๊ะว่าเราจะผ่านมันไปได้ และสิ่งเหล่านั้นก็จะทำให้เราเข้มแข็งขึ้นกว่าเดิมนะ

เมล็ดพืชที่สอง : ไม่เอา! ถ้าเธออยากโตเป็นต้นไม้ก็เชิญเป็นไปคนเดียวเลย ฉันไม่เอากับเธอด้วยหรอก

             เมล็ดพืชที่หนึ่งเห็นว่าป่วยการที่จะโน้มน้าวความคิดของเมล็ดพืชที่สอง เมล็ดพืชที่หนึ่งจึงหยุดพูด และเฝ้าคอยเวลาที่ตนเองจะได้เติบโตเป็นต้นไม้ใหญ่ด้วยความตื่นเต้นทุกวัน

            เวลาผ่านไป เมล็ดพืชที่หนึ่งก็เปลี่ยนแปลงจากเมล็ดพืชเล็ก ๆ กลายเป็นต้นไม้ใหญ่ที่แผ่กิ่งก้านสาขาให้ร่มเงาแก่สัตว์น้อยใหญ่ในป่าแห่ง นั้น มันมีความสุขมากที่ได้เติบโต และมองเห็นสิ่งต่าง ๆ ในฐานะของต้นไม้ใหญ่

            ส่วนเมล็ดพืชผู้ไม่ยอมรับการเปลี่ยนแปลงก็ยังคงเป็นเมล็ดพืช เหมือนเดิม วันหนึ่งมีไก่ป่าตัวหนึ่งเดินผ่านมาเห็นเมล็ดพืชที่สอง มันจึงตรงเข้าไปจิกเมล็ดพืชที่สองกินเป็นอาหารจนอิ่มท้อง

บทสรุปของผู้แต่ง

            การเปลี่ยนแปลงเป็นกฎเกณฑ์แห่งธรรมชาติที่เกิดขึ้นตลอดเวลา ซึ่งมีทั้งเปลี่ยนไปในทางที่ดีขึ้นและเลวลง แต่เราจะต้องยอมรับการเปลี่ยนแปลงให้ได้ ไม่ว่าการเปลี่ยนแแปลงนั้นจะดีหรือไม่ก็ตาม เพราะถ้าเรายอมรับได้ แม้จะต้องพบกับความเปลี่ยนแปลงที่เลวลง เราก็ยังพร้อมที่จะสู้เพื่อพบกับการเปลี่ยนแปลงที่ดีขึ้น แต่คนที่ไม่ยอมรับการเปลี่ยนแปลง และปฏิเสธที่จะพบสิ่งใหม่ ๆ ครั้นพบปัญหาก็ไม่รู้จะเดินไปทางไหน จึงถอดใจโดยง่าย และต้องพบกับทางตันของชีวิตอย่างรวดเร็ว

             เราคงปฏิเสธการเปลี่ยนแปลงไม่ได้หรอก เพราะการเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นทุกวัน โดยเฉพาะถ้าเป็นเด็กด้วยแล้ว ยังมีเวลาอีกกว่าทั้งชีวิตที่ต้องพบกับความเปลี่ยนแปลงต่าง ๆ ทางที่ดี อย่ากังวลไปเลยว่าเราจะต้องพบอะไรบ้าง แต่ขอให้รู้ว่าประสบการณ์ทุกอย่างจะสอนให้มีชีวิตที่เข้มแข็ง จงเติบใหญ่อย่างมั่นใจและกล้าหาญเพื่อวันวสวยงามที่รออยู่ข้างหน้าเถิด



ความเห็น (1)
krupound
เขียนเมื่อ

 

     การศึกษาที่เน้นผู้เรียนเป็นศูนย์กลาง ไม่ได้หมายความว่ามีอุปกรณ์การสอนแล้วเราละทิ้งให้ผู้เรียนเรียนไปคนเดียว

     การศึกษาที่เน้นผู้เรียนเป็นศูนย์กลาง คือ ผู้เรียนจะเป็นผู้ที่มีความสาคัญที่สุด หมายความว่าผู้เรียนจะต้องเข้าไปมีส่วนร่วมและมีปฏิสัมพันธ์กันกับสิ่งกระตุ้น

     สิ่งกระตุ้นในที่นี้ หมายถึง ครู ผู้สอน หรือสิ่งแวดล้อมที่จะไปกระตุ้นผู้เรียน ซึ่งเป็นสิ่งสาคัญมากที่จะช่วยชี้แนะแนวทางการคิดให้กับผู้เรียน นอกจากนี้การสร้างความสัมพันธ์ของสิ่งกระตุ้นต่างๆ จะทาให้ผู้เรียนสามารถสร้างเป็นความรู้ขึ้นในสมอง

 


https://encrypted-tbn1.gstatic.com/images?q=tbn:ANd9GcRyNLII0yrfTj3bYcqw-UTC-vAQ1p2wg5ydxx8YUxRJBEEB94szYw



ความเห็น (0)

ไม่มีความเห็น

krupound
เขียนเมื่อ

วันนี้ไม่ว่าง แต่อยากไปดูอุทยานผีเสื้อและแมลงกรุงเทพฯ ไปดูแล้วบอกได้อย่างเดียวว่า...เดี๋ยวไปอีกแน่นอน...

 

มีคนวิจารณ์ไว้เยอะเลย...

http://www.hotsia.com/bangkok/95.shtml

http://travel.truelife.com/detail/1809457

http://www.youtube.com/watch?v=b9evkCLTz7Y

http://topicstock.pantip.com/camera/topicstock/O3256898/O3256898.html

http://www.manager.co.th/Travel/ViewNews.aspx?NewsID=9480000143676

 

 



ความเห็น (0)

ไม่มีความเห็น

krupound
เขียนเมื่อ

ผะหมี ปริศนาคำทายที่น่าสนใจ

ปริศนาผะหมีภาพ

http://topicstock.pantip.com/library/topicstock/2009/11/K8576843/K8576843-19.jpg

คำตอบคือ ................



ความเห็น (0)

ไม่มีความเห็น

krupound
เขียนเมื่อ

วิทยาศาสตร์รากฐาน กับแนวคิดที่ยิ่งใหญ่ (Big Idea)ในการบูรณาการสหสาขาวิชาในวิทยาศาสตร์โดยไม่แบ่งแยกเป็นสาขาวิชาใดวิชาหนึ่งอย่างเด่นชัด

 

http://www3.ipst.ac.th/fsd/



ความเห็น (0)

ไม่มีความเห็น

krupound
เขียนเมื่อ

ตอนแรกก็ยังเข้าใจไม่หมด เวลาไหว้ครู ให้กล่าวบูชา ครูแนะ ครูนำ ครูสอน ครูสั่ง... ตอนนี้เข้าใจหมดแล้ว

http://sphotos-d.ak.fbcdn.net/hphotos-ak-ash4/303101_444226455628112_538486080_n.jpg



ความเห็น (0)

ไม่มีความเห็น

krupound
เขียนเมื่อ

คนเป็นครูต้องมีสติ เพื่อชีวิตที่ดีของนักเรียน

http://a3.sphotos.ak.fbcdn.net/hphotos-ak-prn1/523195_355729701175528_640572654_n.jpg



ความเห็น (0)

ไม่มีความเห็น

krupound
เขียนเมื่อ

สาระโดนๆ วันนี้

บุญคุณต้องทดแทน ความแค้นต้องอภัย

ผิดพลาดต้องแก้ไข ไม่ถือว่าใครเป็นศัตรู

ถ้าประเทศเรามีคนคิดแบบนี้สัก 10% ที่บริหารประเทศ คงจะดีมิใช่น้อย

ที่มารูป: http://sphotos-a.ak.fbcdn.net/hphotos-ak-ash4/296489_266646350105433_673916696_n.jpg

 



ความเห็น (0)

ไม่มีความเห็น

krupound
เขียนเมื่อ

หวังงว่าคงจะไม่ครูคนไหนพูดแบบเน้นเสียงหรือคำเหล่านี้อีกแล้ว

...แต่เราก็ได้ดีมาทุกวันนี้เพราะคำพูดเหล่านี้นี่น่า น่าคิดนะ

https://fbcdn-sphotos-g-a.akamaihd.net/hphotos-ak-snc6/283006_390987367639608_1443774648_n.jpg

ป.ล.ไอ้คำว่าใครไม่เข้าใจยกมือขึ้นนี่ตอนเด็กๆไม่กล้ายกเลย...กลัวมาก...ฮา



ความเห็น (0)

ไม่มีความเห็น

krupound
เขียนเมื่อ

มีอุปกรณ์ดีแค่ไหน ถ้ารูปแบบการเรียนรู้ไม่ดี เด็กก็ไม่ได้อะไร

http://a6.sphotos.ak.fbcdn.net/hphotos-ak-ash3/551668_407308522658118_265907113_n.jpg

 



ความเห็น (0)

ไม่มีความเห็น

krupound
เขียนเมื่อ

 

คนเป็นครู...ดีแล้วหรือที่จะปิดกั้นจินตนาการของนักเรียนด้วยความรู้หรือแบบทดสอบ

http://a3.sphotos.ak.fbcdn.net/hphotos-ak-ash3/546146_300023586768868_332779832_n.jpg



ความเห็น (0)

ไม่มีความเห็น

krupound
เขียนเมื่อ

ประวัติศาสตร์สำคัญต่ออนาคต



ความเห็น (0)

ไม่มีความเห็น

krupound
เขียนเมื่อ

ความเห็น (0)

ไม่มีความเห็น

krupound
เขียนเมื่อ

ข้อคิดสะกิดใจคนเป็นครู

http://a3.sphotos.ak.fbcdn.net/hphotos-ak-ash4/s480x480/376592_398224510233186_483918805_n.jpg



ความเห็น (0)

ไม่มีความเห็น

krupound
เขียนเมื่อ

วันนี้นำเสนอเรื่องราวเกี่ยวกับเคมี เลยนึกถึงคำพูดหนึ่งของ Dr. Do-Yong Park ... เลยใส่ลงในสรุปสไลด์สุดท้ายไว้

 



ความเห็น (0)

ไม่มีความเห็น

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท