สังคมปัจจุบันเป็นสังคมแห่งการเรียนรู้ (Iearning Society)
แหล่งความรู้มีมากมายมหาศาลเกินกว่าที่จะเรียนรู้ได้หมด
ลองนึกวาดภาพการเรียนรู้ในสมัยอดีต
ที่ศิษย์ต้องดั้นด้นเดินทางมาหาพระอาจารย์
สมัยตักศิลาต้องเรียนรู้โดยมีพระอาจารย์ถ่ายทอดวิชาการให้
เรียนรู้กันใต้ต้นไม้ ในถ้ำ
ในป่ามนุษย์มีลักษณะพิเศษคือสามารถเรียนรู้และพัฒนาตัวเองได้ตลอดเวลา
การเรียนรู้และสั่งสมความรู้ พัฒนาวิชาการต่าง ๆ ให้ก้าวหน้า
ทำให้มีการคิดค้นสิ่งต่าง ๆ ทั้งทางด้านวิทยาศาสตร์และธรรมชาติ
หาคำตอบจากปรากฏการณ์ธรรมชาติ ทำให้ทราบความจริงต่าง ๆ มากมาย
และที่สำคัญคือ
วิชาการที่เป็นความรู้เหล่านั้นมีผลโดยตรงต่อความเป็นอยู่ของมนุษย์
ความสะดวกสบาย การแก้ปัญหาต่าง ๆ ทั้งทางด้านที่อยู่อาศัย การเดินทาง
ยามเจ็บป่วยก็มียารักษาโรค และวิธีการรักษา ทำให้มนุษย์อยู่ได้
และมีสภาพที่เหนือกว่าสัตว์ต่าง ๆ ทั้งหลายในโลก มนุษย์ไม่มีเขี้ยว
ไม่มีเล็บ หรืออาวุธประจำตัว ที่จะต่อสู้เยี่ยงสัตว์ทั้งหลาย
แต่ด้วยการที่มีความรู้และเก็บสั่งสมความรู้ รู้จักคิด รู้จักเหตุผล
ทำให้การใช้ปัญญาเป็นปัจจัยสำคัญต่อการดำเนินชีวิตในยุคปัจจุบัน
ความรู้คืออะไร
นิยามของคำว่า ความรู้
(knowledge) เป็นสิ่งที่ยากที่จะกำหนดขอบเขตของความหมาย
แต่ถ้าเราเริ่มจากคำว่า "ข้อมูล" หรือ "ข้อเท็จจริง"
สิ่งที่ได้คือความจริงต่าง ๆ ที่ปรากฏเกิดขึ้น การดำเนินการต่าง ๆ
ทำให้เกิดข้อมูล เช่น เมื่อเรามีการซื้อขายสินค้า
ก็มีการจดบันทึกหลักฐาน เช่น การออกใบเสร็จ ใบสั่งของ เอกสารกำกับ
เป็นรายการแสดงการดำเนินการ สิ่งเหล่านี้เรียกว่าข้อมูล
ข้อมูลจึงเป็นเรื่องของข้อเท็จจริงที่เกิดจากการกระทำของมนุษย์
เกิดจากปรากฏการณ์ทางธรรมชาติ เกิดจากกิจกรรมต่าง ๆ
ที่ต้องดำเนินการทั้งในระดับส่วนตัว ระดับการทำงานร่วมกัน
และระดับกลุ่ม องค์กร ตลอดจนระดับสังคม และชุมชนต่าง ๆ
เมื่อกิจกรรมที่ดำเนินการ หรือปรากฏการณ์ต่าง ๆ เกิดขึ้นตลอดเวลา
จึงมีการบันทึกเรื่องราว
ทำความจริงเหล่านั้นให้ปรากฏในสิ่งที่สามารถเก็บรวบรวมได้
การดำเนินกิจการขององค์กรจึงต้องทำเป็นระบบ
มีการเก็บข้อมูลการดำเนินการขององค์กร รูปแบบขั้นพื้นฐานคือ
"ระบบบัญชี" องค์กรทุกองค์กรที่เป็นธุรกิจจึงต้องทำบัญชี
มีระบบการดำเนินการที่ชัดเจน เช่น บัญชีแยกประเภท บัญชีลูกหนี้
เจ้าหนี้ ทรัพย์สิน บัญชีต้นทุน
หรือแม้แต่การดูแลการผลิตก็มีการทำบัญชีสินค้าคงคลัง เก็บรวบรวมข้อมูล
เก็บข่าวสารต่าง ๆ ที่เกี่ยวกับการดำเนินการ เมื่อมีการเก็บข้อมูล
ก็มีการประมวลผล เพื่อให้ได้ข่าวสารที่เป็นประโยชน์ต่อการดำเนินการ
การที่มีข่าวสารที่เกิดการประมวลผล บางทีก็เรียกว่า "สารสนเทศ"
(Information) เช่น ประมวลผลเพื่อให้รู้สถานะขององค์กร
ให้รู้งบการดำเนินการที่เรียกว่ากำไร ขาดทุน
การมีสารสนเทศทำให้ผู้ดูแลกิจการสามารถใช้สารสนเทศเพื่อประโยชน์ต่อองค์กรได้
คำว่า "ความรู้" มีความหมายที่ลึกซึ้งกว่า "สารสนเทศ"
ทั้งนี้เพราะสารสนเทศทำให้เกิดความรอบรู้ การคิดตัดสินใจใด ๆ
ย่อมต้องอาศัยความรอบรู้และประสบการณ์ แต่อย่างไรก็ตาม
การดำเนินการเชิงการตัดสินใจเหล่านั้นต้องอาศัยสารสนเทศเพื่อสนับสนุนการคิดและตัดสินใจ
เมื่อเป็นเช่นนี้จึงพอกล่าวได้ว่า
ข้อมูลเป็นฐานของการดำเนินการเพราะเป็นข้อเท็จจริง
สารสนเทศคือผลของการประมวลผลข้อมูลข่าวสาร
และความรอบรู้ใช้สารสนเทศเป็นฐานในการสร้างให้เกิดการคิดและตัดสินใจ
ฐานความรอบรู้
และการเรียนรู้ขององค์กร
"ความซับซ้อน" เป็นปัญหาใหญ่ของการดำเนินธุรกิจในปัจจุบัน
งานการบริหาร งานดำเนินการในองค์กรมีความซับซ้อนมากขึ้นกว่าเดิม
การแข่งขันเชิงธุรกิจทำให้ต้องพัฒนาองค์กรในทุก ๆ ด้าน
โลกของธุรกิจเป็นโลกแห่งการแข่งขันเสรี
การใช้ความรอบรู้ในการดำเนินการทางธุรกิจจึงเป็นสิ่งจำเป็น
การแก้ปัญหา (Problem Solving) การคาดคะเนเหตุการณ์
การตัดสินใจล้วนแล้วแต่เป็นงานที่จำเป็นจะต้องใช้ความรอบรู้หากพิจารณาจากการดำเนินกิจการใด
ๆ บทเรียนจากอดีตจะสอนให้เราได้เรียนรู้
ความผิดพลาดจากการดำเนินการย่อมเป็นครูที่ดี
องค์กรก็ต้องมีการเรียนรู้จากบทเรียนที่ตนเองกระทำ
การสั่งสมความรู้ประสบการณ์ต่าง ๆ ขององค์กรจึงเป็นเรื่องสำคัญ
ด้วยเหตุนี้องค์กรจึงต้องมีการเก็บรวบรวมประสบการณ์ เก็บความรู้
และจัดการความรอบรู้ ที่เรียกว่า Knowledge Management
มีการจัดการกับฐานความรู้ (Knowledge Base)
สามารถสะสมและรวบรวมองค์ความรู้ต่าง ๆ และนำความรู้มาแบ่งกันใช้งาน
(Knowledge Sharing)
ให้กับทุกคนในองค์กรยุคสมัยปัจจุบันจึงเป็นยุคที่เริ่มได้ยินคำว่า
Know-ledge Management มากขึ้น การจัดการความรอบรู้ในองค์กร
และให้องค์กรได้มีองค์ความรู้ที่จะใช้ประโยชน์
จึงเป็นศาสตร์ที่เริ่มมีการกล่าวถึงและมีวิธีการที่หลายคนให้ความสนใจเป็นอย่างยิ่ง
ความรอบรู้มาจากข้อมูล
หากพิจารณาถึงข้อมูลข่าวสารต่าง ๆ พบว่า
เราได้ให้ความสำคัญกับข้อมูลข่าวสารต่าง ๆ มากขึ้น
มีการเก็บรวบรวมข้อมูล
คิดค้นหาเทคนิคในการเก็บรวบรวมข้อมูลให้ได้มากและรวดเร็ว
เราใช้บาร์โค้ด ใช้เครื่องอ่านแถบแม่เหล็ก
ใช้วิธีการอ่านข้อมูลแบบต่าง ๆ เพื่อให้การเก็บรวบรวมข้อมูลได้ถูกต้อง
แม่นยำ และรวดเร็วเมื่อเก็บข้อมูลไว้จำนวนมาก
จำเป็นต้องจัดการและดูแลข้อมูล ระบบการจัดการและดูแลข้อมูลเรียกว่า
ดาต้าแวร์เฮาส์ (Data Warehouse)
เมื่อเก็บข้อมูลจำนวนมากจำเป็นต้องมีวิธีการขุดค้นจากที่เก็บที่เราเรียกว่า
ดาต้ามายนิง (data mining)
ขบวนการที่จะได้ความรู้จึงต้องหาวิธีการขุดคุ้ยข้อมูลจากสิ่งที่เก็บไว้ในแวร์เฮาส์
วงรอบของการได้มาซึ่งความรอบรู้จึงเรียงลำดับขั้นตอนได้ฐานความรอบรู้ขององค์กรจึงเป็นเป้าหมายที่สำคัญที่องค์กรต้องการ
โดยเริ่มจาก การหาแหล่งข้อมูล การเก็บรวบรวม
ข้อมูลที่เก็บอาจอยู่ในรูปข้อความ ตัวหนังสือ ทั้งมีแบบฟอร์ม
และไม่มีรูปแบบ ข้อความเอกสาร รูปภาพ แผนที่ เสียงพูด ภาพเคลื่อนไหว
รวมถึงวิดีโอ ข้อมูลยังรวมถึงแนวคิด วิธีการ ความคิดเห็น การสรุปผล
ที่เกิดขึ้นจากทั้งภายใน
และภายนอกองค์กรปัจจุบันมีเทคนิคการจัดรวบรวมข้อมูลได้มากแบบ
เทคนิคเหล่านี้ได้รับการพัฒนาก้าวหน้าขึ้นเป็นลำดับ
ในยุคแรกเรามักเน้นเฉพาะข้อมูลที่เป็นรูปแบบ เพื่อจัดข้อมูลเป็นไฟล์
เป็นฐานข้อมูล การประมวลผลจึงเน้นจากฐานข้อมูล
แต่ด้วยขีดความสามารถของคอมพิวเตอร์และเครือข่ายที่เพิ่มมากขึ้น
รูปแบบของการเก็บรวบรวมข้อมูลจึงเปลี่ยนแปลงไป
อินเทอร์เน็ต/อินทราเน็ตทำให้การใช้ข้อมูลมีรูปแบบที่ง่ายขึ้น
ข้อมูลแบบเอกสาร ข้อความ รูปภาพ สามารถนำมาเก็บไว้และเรียกค้นได้
ดังที่เราใช้เขียนเว็บเพจต่าง ๆ ระบบการค้นหาก็ได้พัฒนามีระบบ search
engine
เพื่อค้นหาเอกสารแบบเต็มฉบับเทคนิคสมัยใหม่จึงเน้นกันในเรื่องการจัดการเอกสาร
การจัดการรูปภาพ (Image Management )
ระบบการจัดการเอกสารได้รับการพัฒนาจนทำให้ระบบการเชื่อมโยงแบบอิเล็กทรอนิกส์ถึงกัน
เช่น การใช้โลตัสโน้ตเพื่อทำงานแบบเวิร์กโฟวล์ เป็นต้น
ทำไมต้องจัดการให้มีดาต้าแวร์เฮาส์
การดำเนินกิจการขององค์กรย่อมเกี่ยวโยงกับระบบอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์มากขึ้น
มีการจัดการข้อมูลข่าวสารในระดับต่าง ๆ กันมาก ตั้งแต่ระดับบุคคล
ระดับกลุ่ม และองค์การเมื่อมีการใช้ข้อมูลข่าวสาร
และการดำเนินการในรูปแบบคอมพิวเตอร์เพื่อจัดการข่าวสารข้อมูลต่าง ๆ
เทคนิควิธีการจึงได้รับการพัฒนาให้รองรับการดูแลข้อมูลจำนวนมาก
มีความซับซ้อนกว่าระบบฐานข้อมูลปกติ
ระดับดังกล่าวจึงต้องพัฒนาจากคำว่า ดาต้าเบส มาเป็น ดาต้าแวร์เฮาส์
มีการสร้างรูปแบบของข้อมูลหรือใส่เงื่อนไข กรอบคำอธิบาย
รวมถึงแอตทริบิวต์เพิ่มเติมลงในข้อมูลเพื่อให้ระบบประมวลผลได้ง่ายขึ้น
เช่น ระบบการทำดัชนี ระบบช่วยค้นหา สิ่งเหล่านี้เราเรียกว่าเมตาดาต้า
(metadata)เมื่อมีการใช้งานในงานด้านต่าง ๆ
ก็มีการขุดคุ้ยหรือที่เรียกว่า การคัดแยกข้อมูล
เพื่อทำรายงานหรือประมวลผลให้ได้ตามที่ต้องการ
ดาต้ามายนิง
ในศตวรรษที่ 1960
การดำเนินธุรกิจเน้นการเก็บรวบรวมข้อมูลเป็นหลัก
และนำข้อมูลมาประมวลผล โดยเฉพาะการประมวลผลแบบแบตช์ ครั้นถึงศตวรรษที่
1980 การใช้ฐานข้อมูลแบบออนไลน์เริ่มแพร่หลาย
มีระบบจัดการฐานข้อมูลช่วยทำให้การเรียกค้นข้อมูลแบบออนไลน์ได้
แต่เมื่อข้อมูลขยายเพิ่มมากขึ้น
การทำงานมีลักษณะเงื่อนไขซับซ้อนมากขึ้น
ขีดความสามารถของคอมพิวเตอร์ดีขึ้น โดยเฉพาะในยุคหลังศตวรรษ 1990
ระบบการจัดการแบบดาต้าแวร์เฮาส์
โดยเน้นความเกี่ยวโยงของข้อมูลในทุกทิศทุกทาง
และข้อมูลมีลักษณะไดนามิก
เปลี่ยนแปลงได้ตลอดเวลาลกอริธึมการค้นหามีความหมายและมีความสำคัญ
ระบบการจัดการเรียกใช้ดาต้าแวร์เฮาส์จึงต้องมีการพัฒนาและเป็นที่มาของระบบดาต้ามายนิง
ลักษณะเด่นของดาต้ามายนิงที่แตกต่างจากระบบออนไลน์ฐานข้อมูลคือ
มีลักษณะการคาดคะเนเพื่อค้นหาข้อมูลให้ได้ใกล้เคียงกับที่ต้องการมากที่สุด
โดยดูจากรูปแบบความต้องการของผู้ใช้
ทั้งนี้เพราะข้อมูลในแวร์เฮาส์มีมากมายมหาศาล
เงื่อนไขการค้นหาอาจต้องการแปลความอย่างชาญฉลาด
รวมถึงการจัดรูปแบบให้ตรงกับความต้องการ
การจัดการความรอบรู้้
วิธีการจัดการความรอบรู้จึงเป็นเทคนิคที่ผสมผสานวิธีการต่าง
ๆ เข้าด้วยกัน ตั้งแต่เรื่องการจัดการฐานข้อมูล ดาต้าแวร์เฮาส์
ดาต้ามายนิง ระบบปัญญาประดิษฐ์
เพื่อตอบสนองการใช้งานของผู้ใช้ในองค์กรในระบบการจัดการองค์กร มี CIO
ทำหน้าที่ดูแลระบบสารสนเทศขององค์กร ปัจจุบันมีผู้กล่าวถึง CKO คือ
Chief Knowledge Officer หรือผู้ที่ทำหน้าที่รับผิดชอบ
บริหารและจัดการในเรื่องความรอบรู้ขององค์กร
ศาสตร์ของการจัดการความรอบรู้ยังกว้าง
การดำเนินการจัดการความรอบรู้เป็นการใช้เทคโนโลยีประกอบกันหลายอย่างที่ต้องพัฒนาประกอบร่วมด้วย
เช่น
1.
ระบบผู้ชำนาญการ
เป็นระบบที่นำเอาข้อมูลและความรอบรู้มาถ่ายทอดหรือจัดการให้เกิดประโยชน์
2.Visualization
เป็นการนำเอาข้อมูลมาแสดงผลให้สื่อความและเข้าใจได้ง่าย เช่น
แสดงเป็นรูปภาพ แสดงเป็นโมเดล สามมิติ รูปภาพ เป็นต้น
3.
ฟัซซีลอจิก
เป็นศาสตร์แห่งการแยกแยะความกำกวม หรือการแก้ปัญหา
การไม่ชัดแจ้งในเงื่อนไข หรือการกระทำบางอย่าง
4.NLP การประมวลผลธรรมชาติ
เพื่อทำให้ระบบเชื่อมโยงกับมนุษย์ง่ายต่อการใช้งาน
และมีความเข้าใจร่วมกันระหว่างเครื่องจักรกับมนุษย์
5.
นิวรอลคอมพิวติง
การดำเนินการเพื่อแก้ปัญหาและให้ระบบมีวิธีการเรียนรู้จากประสบการณ์ที่ผ่านมา
6.
การประมวลผลภาพและการประมวลผลเสียง
เพื่อให้คอมพิวเตอร์ติดต่อกับผู้ใช้ได้ง่ายขึ้น
การจัดการความรอบรู้และขยายการใช้งานความรอบรู้จึงเชื่อมโยงกับระบบปัญญาประดิษฐ์ซึ่งเป็นศาสตร์ที่ได้รับความวางใจมานานแล้ว
และมีผู้สนใจศึกษากันมาก
แต่เรื่องของการจัดการความรอบรู้เริ่มเห็นผลในเรื่องการใช้งาน
เพราะระบบคอมพิวเตอร์สามารถเก็บข้อมูลได้จำนวนมาก
มีระบบการจัดการแบบแวร์เฮาส์ และมีระบบมายนิง
ทำให้การเชื่อมต่อกับปัญญาประดิษฐ์และระบบผู้ชำนาญการมีความเป็นไปได้
อนาคตการจัดการความรู้
ด้วยขีดความสามารถของความจุ
และความเร็วที่คอมพิวเตอร์ทำงานได้เพิ่มขึ้น
การใช้คอมพิวเตอร์เพื่อการจัดการข้อมูลข่าวสารจึงเปลี่ยนแปลงไปในรูปแบบที่ซับซ้อนขึ้น
การจัดการความรู้จึงเป็นเรื่องที่องค์กรสมัยใหม่กำลังให้ความสนใจ
อนาคตของการจัดการความรู้ยังเป็นเรื่องที่ต้องพัฒนาต่อไป