กระบวนการสร้างนักวิจัยชุมชน (ตอนที่ 2)
บทที่ 7 เหตุและผล
วัตถุประสงค์ เพื่อให้ความมั่นใจว่าชุมชนมีความเข้าใจในพฤติกรรมของธรรมชาติ ซึ่งอยู่ในวิถีทางที่สามารถทำนายได้ นั่นคือการกระทำจะส่งผลให้ได้ผลลัพธ์ที่คาดเดาได้
คำถาม “ให้แต่ละกลุ่มระดมความคิดเห็นภายในกลุ่ม โดยยกตัวอย่างของความเป็นเหตุและผล”
บทสรุป เมื่อเรารู้เหตุ ทำให้เราคาดเดาผลที่จะเกิดตามมาได้ หรือบางครั้งรู้ผลก็สามารถคาดเดาสาเหตุได้ นอกจากนี้ยังขึ้นอยู่กับสิ่งแวดล้อม และปัจจัยต่างๆ ซึ่งถ้าเข้าใจจะนำไปสู่การตั้งสมมติฐานการวิจัยได้ (การตั้งสมมติฐานควรตั้งเพียงประเด็นเดียวเพื่อให้เกิดความเข้าใจได้ง่าย)
บทที่ 8 มาตราส่วนและการวัด
วัตถุประสงค์ เพื่อให้ชุมชนมีความเข้าใจในแนวคิดของมาตราส่วนและการวัดที่นำมาใช้แล้วสามารถสื่อให้ทราบว่าหน่วยการวัดที่ถูกต้องและเหมาะสม
คำถาม “ให้แต่ละกลุ่มลองกำหนดหน่วยวัดของผลผลิตอ้อยและความยาวของใบอ้อย”
บทสรุป หน่วยวัด ที่จะใช้ได้ ต้องมีความเป็นสากล และมีมาตรฐาน สื่อให้เห็นความนิยม และการยอมรับ ดังนั้น เราต้องเลือกใช้หน่วยวัดที่ค่อนข้างเป็นสากล วัดแล้วคนอื่นรู้เรื่อง
บทที่ 9 สมมติฐาน (การกำหนดปัญหาในวิธีที่จะกลายมาเป็นบางสิ่งที่จะต้องทดสอบ)
วัตถุประสงค์ เพื่อให้ชุมชนเข้าใจในแนวคิดของการถามคำถามที่เกี่ยวกับมูลเหตุและผลที่เกิด ชุมชนจะสามารถออกแบบการทดลอง เพื่อทดสอบคำถาม และเพื่อให้ได้คำตอบ
คำถาม “ให้แต่ละกลุ่มลองตั้งสมมติฐานงานทดลองอะไรก็ได้ โดยให้ค้นหาองค์ความรู้เดิมที่กลุ่มเรามีอยู่ แล้วกำหนดสมมติฐานจากความรู้หรือข้อมูลที่มีอยู่”
บทสรุป การตั้งสมมติฐาน แล้วทำการทดลองเพื่อให้ทราบว่าสมมติฐานที่ตั้งไว้เป็นจริงหรือไม่ สมมติฐานพัฒนามาจากความรู้ที่มีอยู่แล้วแทบทั้งสิ้น เพียงแต่ความรู้เดิมยังมีข้อสงสัย สมมติฐานจะมีทั้งคำถามและคำตอบในตัวเอง ถ้าหากการทดลองไม่เป็นไปตามสมมติฐานนั้น สมมติฐานไม่ผิดเพียงแต่สมมติฐานนั้นไม่เป็นความจริง
บทที่ 10 การวางแผนงานทดลอง
วัตถุประสงค์ เพื่อให้ชุมชนสามารถกำหนดขั้นตอนของการทดลอง และกำหนดสิ่งที่จะนำมาทดลองเพื่อทดสอบว่าสมมติฐานที่ได้กำหนดไว้ เป็นจริงหรือไม่
คำถาม “ให้แต่ละกลุ่มวางแผนการทดลอง โดยนำสมมติฐานที่ตั้งไว้ เป็นหัวข้อในการวางแผนการทดลอง”
บทสรุป ข้อควรจำในการวางแผนการทดลอง
1) ต้องมีสิ่งเปรียบเทียบ (ต้องมีสิ่งทดลอง กับตัวเปรียบเทียบ เช่น การใช้ปุ๋ย ในข้าว
2) ปัจจัยอื่นๆ ต้องเหมือนกันหมด
3) พื้นที่งานทดลองต้องมีขนาดเล็ก และต้องมีความรู้ทางสถิติและความรู้อื่นที่เกี่ยวข้อง เช่น แปลงทดลองข้าว พื้นที่ขนาด 15 ตารางเมตรจะเหมาะสมที่สุด เป็นต้น
4) มีการปฏิบัติที่มากกว่า 1 ซ้ำ เช่น 4 – 6 ซ้ำ เป็นต้น
5) ในการทดลองที่มีการใช้ปุ๋ย-ยา ต้องระบุ อัตรา,วิธีการใช้ และเวลาที่ใช้ ฯลฯ
บทที่ 11 การเก็บข้อมูล
วัตถุประสงค์ เพื่อให้ชุมชนเข้าใจวิธีการวัดข้อมูล เพื่อให้ได้ข้อมูลที่เป็นประโยชน์ต่อคำถามของการวิจัย
คำถาม เนื่องจากมีเวลาที่จำกัด บทนี้ จึงใช้วิธีการอธิบายถึงการเก็บข้อมูลโดยวิทยากร
บทสรุป การเก็บข้อมูล จะต้องคำนึงถึง ข้อมูลที่จะต้องเก็บ รายละเอียดที่จะยืนยันถึงผลการทดลองหรือยืนยันสมมติฐานนั้น ต้องสอดคล้องกับคำถาม-คำตอบที่เราต้องการ และ ต้องกำหนดหรือระบุว่าเก็บข้อมูลอะไรบ้าง และเก็บเมื่อไร เก็บอย่างไร และเก็บอย่างไร (การสุ่ม)
บทที่ 12 การบันทึกข้อมูล
วัตถุประสงค์ เพื่อให้ชุมชนสามารถบันทึกข้อมูลที่ได้จากการทดลอง โดยการสร้างเครื่องมือสำหรับการบันทึกข้อมูลให้เหมาะสมกับชนิดและประเภทของข้อมูลได้
คำถาม “เนื่องจากมีเวลาที่จำกัด บทนี้ จึงใช้วิธีการอธิบายถึงการเก็บข้อมูลโดยวิทยากร”
บทสรุป เป็นการบันทึกข้อมูล โดยใช้ตารางเพื่อบันทึกผล/ข้อมูล ให้มีความสอดคล้องกับบทที่ 10 -11 ,การบันทึกข้อมูลควรมีตารางแสดงข้อมูลและตารางสรุปด้วย , การวิจัยชุมชนมีบางสิ่งที่ต้องประยุกต์ เช่น ถ้าข้อมูลมีความแตกต่างกันมากกว่า 20 % ระหว่างสิ่งทดลองกับสิ่งเปรียบเทียบ เรายอมรับในสมมติฐานที่วางไว้ และถ้าความแตกต่างของข้อมูลมีน้อยกว่า 20 % ควรทดลองใหม่ซ้ำอีกครั้งหนึ่ง
ในช่วงท้ายของการอบรม ทีมงานของจังหวัดกำแพงเพชร ได้เล่าประสบการณ์การพัฒนาเกษตรกรให้มีขีดความสามารถในการวิจัย โดยใช้การกระตุ้นโดยนักส่งเสริมการเกษตร และใช้กระบวนการวิจัยปฏิบัติการ เช่น การวิจัยเชิงปฏิบัติการแบบมีส่วนร่วม ในกรณีการผลิตส้มนอกฤดูของเกษตรกรผู้ปลูกส้ม ตำบลยางสูง อำเภอขาณุวรลักษบุรี โดยเริ่มด้วย 1) การร่วมกำหนดปัญหา 2) การค้นหาองค์ความรู้ที่มีอยู่แล้วในตัวเกษตรกร และ 3) ขณะนี้อยู่ระหว่างที่ เกษตรกรประมาณ 4-5 ท่าน กำลังปฏิบัติตามองค์ความรู้นั้น และเก็บข้อมูล ซึ่งคาดว่า อีกประมาณ 6 เดือน จะมีการสรุปผล
เห็นหรือยังครับว่า องค์ความรู้ในการสร้างนักวิจัยชุมชน ที่ผมได้สรุปจากการที่ ดร.นิพนธ์ เอี่ยมสุภาษิต ผู้เชี่ยวชาญความหลากหลายทางชีวภาพ ได้ถ่ายทอดโดยกลั่นกรองออกมาจากประสบการณ์การสร้างชาวบ้านให้มีขีดความสามารถเป็นนักวิจัย ที่เราเรียกกันว่า “นักวิจัยชุมชน” สำนักงานเกษตรจังหวัดกำแพงเพชร จึงขอขอบพระคุณทุกท่านที่มีส่วนทำให้ทีมงานมีโอกาสได้มาแลกเปลี่ยนประสบการณ์ สำนักงานเกษตรจังหวัดกำแพงเพชร จะได้นำองค์ความรู้ที่ได้รับ มาต่อยอดกับองค์ความรู้และประสบการณ์ที่มีอยู่ ประยุกต์ใช้ให้เหมาะสมกับบริบทของจังหวัดกำแพงเพชร หากมีประสบการณ์ใหม่ๆ เกี่ยวกับการสร้างนักวิจัยชุมชนของจังหวัดกำแพงเพชรเกิดขึ้นเมื่อใด ทีมงานจะนำมาแลกเปลี่ยนต่อไปนะครับ
วีรยุทธ สมป่าสัก
ตามมาอ่านต่อค่ะ
เป็นกระบวนการที่เยี่ยมมากเลยนะครับ ที่ผมโชคดีได้เข้าไปร่วมเรียนรู้กับนักส่งเสริมของ จ.น่าน ซึ่งจะถือได้ว่าเป็นการสร้างนักส่งเสริมการเกษตรให้เป็นมืออาชีพจริงๆ ขอบคุณมากครับที่ที่แวะมาเยี่ยมเยียน