จากการพูดคุยแลกเปลี่ยนประสบการณ์กับคนตำบลแพรกหนามแดง อำเภออัมพวา
จังหวัดสมุทรสงคราม ซึ่งเป็นกลุ่มคนเล็กๆ ที่มีความมุ่งมั่นตั้งใจ
และร่วมใจร่วมคิด ร่วมทำ
เพื่อแสวงหาทางออกในการแก้ปัญหาของชุมชนอันเนื่องมาจากผลกระทบของภัยแล้งและมีการสร้างเขื่อนศรีนครินทร์จากจังหวัดกาญจนบุรี
ตามมาด้วยนโยบายการสร้างประตูระบายน้ำของกรมชลประทาน
จากความที่กรมชลประทานเป็นผู้มีระบบความคิดแบบเดเสร็จ
โดยไม่ได้ลงมาศึกษาวิถีชีวิตของชุมชนที่จะไปสร้างประตูระบายน้ำให้
ว่าในแต่ละชุมชนมีความเป็นอยู่อย่างไร ใช้ชีวิตกันอย่างไร
ราชการเข้าไปเพียงเพื่อทำประตูน้ำให้เสร็จสิ้นตามนโยบายที่กำหนด
หลังจากสร้างประตูน้ำแล้วก็ไม่เคยหันกลับไปมองดูว่าสิ่งที่เป็นผลกระทบจากการสร้างประตูน้ำได้ไปเปลี่ยนแปลงวิถีชีวิตของคนในชุมชนให้เป็นอย่างไร
ชุมชนแพรกหนามแดงมีแหล่งน้ำ 2 ชนิด คือน้ำเค็มและน้ำจืด
คนที่อยู่ฝั่งที่มีน้ำเค็มก็จะประกอบอาชีพเลี้ยงกุ้ง
ส่วนคนฝั่งน้ำจืดจะทำนา วิธีการแก้ปัญหาของคน 2 ฝั่งน้ำในสมัยโบราณ
คือ การทำทำนบดิน (คันนาดิน) กั้นระหว่างฝั่งน้ำ
เมื่อน้ำฝั่งใดมากก็จะเอ่อท่วมเข้าไปอีกฝั่งหนึ่ง แต่จะค่อยๆ
เอ่อท่วมจึงทำให้เกิดเป็นน้ำกร่อย
ซึ่งจะไม่ก่อปัญหาให้กับฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งเพราะกุ้งก็สามารถอยู่ได้ในน้ำกร่อย
ทำนาน้ำกร่อยก็ได้ เมื่อถึงหน้าแล้งน้ำลด
ผู้คนก็จะมาช่วยกันลงแรงทำทำนบดินกั้นน้ำใหม่หากถูกน้ำเซาะพังเสียหาย
ความเป็นอยู่จึงอยู่กันอย่างพึ่งพาอาศัยช่วยเหลือกัน ระบบน้ำก็เป็น 3
น้ำ คือ น้ำจืด น้ำกร่อยและน้ำเค็ม เป็นการอยู่อย่างสมดุลไม่เอาเปรียบ
แต่เมื่อมีประตูน้ำเข้ามา ระบบการเปิด-ปิดน้ำ เมื่อเปิดน้ำจืดๆ
จะไปลงสู่น้ำเค็มทันทีในปริมาณที่มาก
ทำให้กุ้งที่อยู่ในระบบน้ำเค็มปรับตัวไม่ทันจึงสร้างความเสียหายให้กับคนฝั่งน้ำเค็มเพราะกุ้งตายหมด
หรือเมื่อทางฝั่งน้ำเค็มเปิดน้ำไปทางฝั่งน้ำจืด
ข้าวก็ไม่สามารถปรับตัวได้ก็ตายอีก ความเสียหายและความเครียด
ความกดดันกับปัญหาของ 2 ฝั่งน้ำจึงค่อยๆ
สะสมและมากขึ้นจนถึงขั้นทะเลาะเบาะแว้งกันเอง จากเล็กๆ
เพียงเรื่องพูดจาต่อว่าก็เป็นเรื่องใหญ่โตจึงถึงขนาดจะฆ่ากันได้
เพราะเรื่องเปิด-ปิดประตูน้ำ
ญาติพี่น้องซึ่งเคยไปมาหาสู่กันก็เริ่มบาดหมางใจ เพราะต่างอาชีพ
ต่างน้ำและประตูน้ำเจ้าปัญหาก็เปรียบเสมือนกำแพงหนาทึบที่กั้นความสัมพันธ์อันดีของคนในชุมชนให้หมดสิ้นไป
เมื่อพบวิกฤต หน่วยงานภาครัฐจึงเข้ามาเพื่อพาคน 2
ฝ่ายมาพูดคุยประนีประนอมกัน แต่ก็ไม่เห็นผล
เพราะเป็นการกระทำเพียงนำคนมาพูดถึงปัญหา
ซึ่งกลับกลายเป็นต่างฝ่ายต่างไม่ยอมกัน
เพราะมองเห็นแต่ว่าปัญหาของตนเองสำคัญ
เวทีประนีประนอมจึงกลายเป็นเวทีที่เกิดการทะเลาะเบาะแว้งกันขึ้นมาอีกครั้ง
แต่แล้วก็มีอัศวินขี่ม้าขาวมาช่วย คือ กลุ่มของคุณธเนศ
ซึ่งเข้ามาเก็บข้อมูลเรื่องของน้ำ
ซึ่งได้คัดสรรคนในฝั่งน้ำเค็มเข้ามาร่วมงานวิจัยท้องถิ่น
โดยเป็นผู้นำมาให้เกิดการเรียนรู้อย่างค่อยเป็นค่อยไป
ด้วยการจัดเวทีชาวบ้านบ้าง
พูดคุยเป็นรายบุคคลเพื่อให้เกิดการเรียนรู้เขา รู้เรามากขึ้น
เพื่อหาหนทางและวิธีการนำไปสู่การแก้ไขปัญหาของชาวบ้าน
วิธีการทำงานของทีมงานวิจัย
1.
คัดสรรคนในชุมชนที่มีแววว่าจะเป็นตัวประสานได้ทั้ง 2 ฝ่าย
2.
ทีมทำงานเข้าไปพูดคุยกับทุกคนที่มีปัญหา
เพื่อทราบถึงปัญหาที่แท้จริง
3. เปิดเวที-พื้นที่ให้คน 2
ฝั่งมาพูดคุยปัญหาและแลกเปลี่ยนความคิดเพื่อหาแนวทางแก้ไข
4.
ใช้หัวข้อการพูดคุยเรื่องประวัติศาสตร์ชุมชน
เป็นหัวข้อเรื่องแล้วโยงสู่ปัญหาความขัดแย้งของปัจจุบัน
5. ทำงานแบบเกาะติด
ต่อเนื่อง
6.
ไม่ย่อท้อต่อปัญหาอุปสรรค
7.
หาพันธมิตร/เครือข่าย/ผู้ช่วยเหลือ
(หาความรู้จากภายนอกมาเชื่อมโยงกับภายใน)
8. นำสู่นโยบายของรัฐ
ความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้น
1.
ความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่เกิดขึ้น จากเวทีพูดคุยทุกเดือน
นำปัญหามาคุยกัน
2. การเปลี่ยนแปลงในตัวคน
พัฒนาเรื่องการคิด การพูด
3.
มีวิธีการในการสร้างกระบวนการในเวทีเพื่อมุ่งสู่ประเด็น
นันท์นภัส
รุ่งแสง และสุภาวดี
แกมทับทิม
นักจัดการความรู้ท้องถิ่นจังหวัดสิงห์บุรี
วันที่ 8 ธันวาคม
2548
มีที่อยู่ (ทางไปรษณีย์) ของคุณปราณีต นาคะเสโน มั๊ยครับ? ผมจะส่งรางวัล "ยอดคุณกิจแห่งเดือน"
ที่อยู่ของพี่ณีตค่ะ
ปราณีต นาคะเสโน
35 หมู่ที่ 3 ตำบลเชิงกลัด อำเภอบางระจัน จังหวัดสิงห์บุรี
16130
โทร.01-1986245
(แล้วของทีมงานล่ะคะ...อยากได้จัง)
ขอบคุณครับ
เขียน blog เล่าเรื่องราวเยอะๆเดี๋ยวก็ได้เองครับ
คุณสมโภชน์ นาคกล่อม ก็เพิ่งได้ล่าสุด "ยอดคุณลิขิติแห่งเดือน"