วันนี้ได้รับ email จากผู้อ่าน gotoknow
ถามเรื่องวิธีวิพากษ์งานวิจัยเชิงคุณภาพค่ะ
ไหนๆก็พิมพ์ไว้แล้วเลยขอมาแปะไว้ที่นี่ด้วยเลย
เผื่อจะเป็นประโยชน์กับคนอื่นที่สนใจค่ะ
ต้องเกริ่นไว้ก่อนว่า
งานวิจัยเชิงคุณภาพมีหลากหลายมาก
งานแต่ละแบบก็ต้องการเกณฑ์ที่นำมาใช้วิพากษ์ต่างๆกันไป
บันทึกนี้เป็นการมองภาพรวม
เป็นการกล่าวถึงอย่างคร่าวๆ
ไม่เจาะจงลงลึกไปถึงการวิพาษ์งานแต่ละประเภทนะคะ
คิดซะว่าเป็นบทนำ
(เขียนวงเล็บไว้ว่าเป็นตอนที่ 1 แต่ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่ถึงจะมีตอนที่ 2
ตามมานะคะ แฮะๆ)
ผู้เขียนตั้งใจเขียนเรื่องงานวิจัยเชิงคุณภาพมานานแล้ว
เพราะเห็นว่ามีคนให้ความสนใจกันมากขึ้น
แต่ที่ไม่ได้เริ่มเขียนเพราะอยากเขียนให้ดีๆ
อยากทำเรื่องยากให้เข้าใจง่ายขึ้น
เรื่องที่ยากที่สุดคือการเปลี่ยนกระบวนทัศน์นั่นเองค่ะ
จริงๆควรจะเริ่มตรงนั้น
แต่ในที่สุดก็มาเขียนข้ามขั้นจนได้!
เอาเป็นว่ารอติดตามต่อไปนะคะ
วันนี้มาเข้าเรื่องการวิพากษ์งานวิจัยเชิงคุณภาพก่อนค่ะ
----------------------------------------------------------------------------
คนที่ไม่ได้ทำงานวิจัยด้านนี้
ไม่เคยเรียนด้านนี้มาเลยก็น่าจะได้ประโยชน์จากบันทึกนี้ค่ะ
จุดประสงค์ของบันทึกนี้คือการทำหน้าที่เป็น
"โพย" ค่ะ ผู้เขียนจะ
list เป็นข้อๆไปว่า
เวลาอ่านบทความวิจัยเชิงคุณภาพนั่นควรคิดถามอะไรตัวเองในใจไปด้วย
บทความแบบไหนเป็นประโยชน์ (usefulness)
แบบไหนน่าเชื่อถือ (credibility)
----------------------------------------------------------------------------
1. คำถามวิจัย/จุดประสงค์งานวิจัยฟังดูมีเหตุผล
มากพอที่ควรจะเสียเวลาเสียทรัพยากรมาหาคำตอบหรือไม่
งานนี้เป็นการเติมเต็มให้ gap of knowledge
ได้จริงหรือไม่นั่นเอง
2. คำถามแบบนี้เหมะสมกับวิธีวิจัยเชิงคุณภาพรึเปล่า
3. อธิบายว่าเป็นงานเชิงวิจัยประเภทไหน
เช่น เป็น phenomenology, ethnography, case study, grounded theory,
action research, participatory action research ฯลฯ
(เอาวิธีมาผสมผสานกันก็ได้ค่ะ แถมแต่ละแบบก็มีโรงเรียนย่อยไปอีก เช่น
traditional ethnography, interpretive ethnography
เป็นต้น)
4. นักวิจัยมีีกรอบแนวคิดเบื้องหลังงานนี้อย่างไร
บ้าง มีการแสดงออกอย่างชัดเจนในจุดยืนของเขาว่ามีความเชื่อเรื่อง
epistemology อย่างไร เช่น เขาใช้แนวคิดแบบ post-postivisit หรือ
critical theorist หรือ post-modernist นอกจากนั้นยังมีมุมมองในเรื่องนั่นๆอย่างไร
ต้องประกาศออกมาให้ชัดเจน เช่น เป็น feminist
ทำงานวิจัยเรื่องสิทธิสตรี หรือ เป็นหมอทำงานวิจัยเรื่องสิทธิของคนไข้
เป็นต้น คนอ่านจะได้รู้ว่านักวิจัยมาจากมุมมองไหน (เพราะงานวิจัยเชิงคุณภาพเชื่อว่า เราไม่มีทางกำจัด bias ได้
นักวิจัยทุกคนมี preconception ในเรื่องที่กำลังศึกษา
เราไม่ควรเสแสร้งพยายามจะกำจัด bias
แต่ควรประกาศให้รู้แต่เนิ่นๆไปเลยว่าคิดยังไง
ให้คนอ่านวิพาษ์เอง)
5. มีวิธีเก็บข้อมูลกี่วิธี อะไรบ้าง
(individual interview, focused group discussion, observation,
document analysis ฯลฯ) ถ้ามีหลายวิธี
นักวิจัยได้นำข้อมูลจากแต่ละแหล่ง แต่ละเวลามาเทียบกันหรือไม่
(triangulation)
ถ้าใช่งานก็น่าเชื่อถือมากขึ้น
(แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นก็แล้วแต่จุดประสงค์การวิจัยค่ะ
บางกรณีแค่สัมภาษณ์คนเดียวแต่ได้ข้อมูลลึกซึ้ง
นำมาเขียนเป็นอัตชีวประวัติก็มีประโยชน์มากมาย
กว่างานวิจัยที่ส่งใบสอบถามหาคนเป็นพันๆได้)
6. มีเกณฑ์การเลือก สถานที่ เลือก
participant หรือ เลือกกรณีศึกษา อย่างไร (เช่น
snowball sampling, theoretical sampling, typical case sampling,
extreme case sampling, opportunistic sampling ฯลฯ) ไม้ต้องมองหาว่า random sampling หรือ มีจำนวน subject
สูงค่ะ แต่ต้องดูว่า ที่เลือกมาเนี่ยะเหมาะสมกับคำถามวิจัยหรือไม่
แล้วคนๆนั้น หรือ กรณีนั้นๆ หรือ องค์กรนั้นๆ
มีข้อมูลที่จะทำให้เราเข้าใจปัญหานั้นๆมากขึ้น
ลึกซึ้งขึ้นหรือไม่
7. ถ้าใช้การสังเกตการณ์ (observation)
ให้ดูว่าใช้วิธีไหน แบบมีส่วนร่วมหรือไม่มีหรือกึ่งๆ
8. การเก็บข้อมูลมี follow-up
interview, member check หรือ participant validation
ไม๊ คืิอ มีการเอาผลวิจัยขั้นต้นกลับไปให้ participant
ดูหรือไม่ participant
ได้มีโอกาสชี้แจ้งหรือวิจารณ์ผลหรือไม่
9. มีการจัดการกับข้อมูลอย่างไร
- 9.1 ถอดเทปแบบไหน
เช่น ถอดคำต่อคำ ถอดแบบละเอียดยิบ คือ คนตอบหยุดเงียบไป
ก็ให้บันทึกไว้ด้วย เราจะวิเคราะห์ได้ว่าคนตอบลังเล
ในงานวิจัยด้านนิติศาสตร์ หรือ ภาษาศาสตร์
นั้นบางครั้งจำเป็นมาที่ต้องเก็บรายละเอียดเหล่านี้ไว้ให้หมด (ใน
transcript จะใช้จุดๆ "......" 6 จุดแปลว่าหยุดเงียบไป 6
วินาทีเป็นต้น) แต่งานวิจัยโดยทั่วไปจะถอดเทปแบบ verbatim ค่ะ
อย่างมากก็มีการบันทึก non-verbal gestures ด้วย
- 9.2 field note บันทึกอะไรไว้บ้าง
- 9.3 ข้อมูลที่เป็นความลับ เก็บไว้อย่างไร มีล็อค หรือมี keyword
หรือไม่ เช่น
ข้อมูลเรื่องชื่อคนที่เราสัมภาษณ์ถูกเก็บเป็นความลับหรือไม่ ถ้าเราให้
confidentiality แก่ participant มาก participant
อาจเปิดใจคุยมากกว่า
10.
งานนี้ผ่าน ethical
approval หรือไม่ participants
มีความเสี่ยงอะไรหรือไม่ เรื่องที่วิจัยsensitiveไม๊ เช่น
การสัมภาษณ์คนไข้ที่โดนข่มขืนมา เราก็ต้องดูลึกลงไปว่าคำถามท่ี
่สัมภาษณ์ กระทบกระเทือนจิตใจคนไข้ไม๊ เป็นต้น
ถ้างานนี้ผ่านคณะกรรมการด้าน ethic
แล้วก็น่าเชื่อถือมากกว่างานที่ไม่กล่าวถึง ethic งานวิจัย
11. วิเคราะห์ข้อมูลอย่างไร
(open coding หรือ framework
coding) มีผู้วิเคราะห์กี่คน ใช้ computer software
อะไรช่วยด้วยหรือไม่ แล้ววิเคระห์พวก deviant case ด้วยหรือไม
(ถ้ามีจึงดี)่
12. การนำเสนอข้อมูลอย่างไร
เป็น theme เป็น category เป็น model อ่านแล้วเข้าใจง่ายไม๊ make
senseไม๊ มีlogical flowไม๊ ตอบคำถามวิจัยไม๊
ถ้าเป็นกรณีศึกษาก็ดูว่าบรรยายละเอียดไม๊
มีการบรรยายบริบทของงานหรือไม่ แล้วเป็นแค่การรายงานผลว่า
participantพูดอะไร หรือเป็นการวิเคราะห์ให้ลึกลงไปอีก
(ยิ่งลึกยิ่งดี)
13. มีการเขียน implication for policy หรือ implication for
practice หรือไม่ คนอ่านจะนำความรู้ไปใช้ต่อได้อย่างไร
(transferability)
14. มีการวิพากษ์จุดอ่อนของตัวเอง
เหล่านี้คือตัวอย่างการวิจารณ์ค่ะ
อาจมีไม่ครบทุกข้อก็ได้ แต่ที่สำคัญที่สุดคือ
15. ผลงานวิจัยนี้ทำประโยชน์อะไรให้แก่วงการ
----------------------------------------------------------------------------
ใครมีอะไรเสริม
หรือ มีคำถาม ก็แสดงความคิดเห็นมาได้เลยนะคะ