ก่อนเข้ามาห้องทำงานในวันนี้ ผมได้หยิบรายงานวิจัยของ อ.เบียร์ขึ้นมาอ่านอีกครั้งหนึ่ง ไม่วายที่จะไปอ่านงานเขียนบันทึกความรู้สึกท้ายเล่ม ผมอ่านไปทำให้มีความรู้สึกอ่อนโยนไปกับประโยคแต่ละประโยค ซึ่งผมคาดการไว้ก่อนว่า ต้องเขียนออกมาจากความรู้สึกที่อ่อนโยนในเวลานั้น ที่อ่านครั้งแรกตอนรายงานวิจัยครั้งที่ ๒ ผมเข้าใจว่าเป็น อ.ภีมเขียน แต่ก็เอะใจว่า เป็นไปได้หรือที่ อ.ภีมจะเขียนเรื่องราวเหล่านี้ เมื่อพูดให้ อ.เบียร์ฟัง แม่นางก็บอกผมว่า เบียร์เขียนเองแหละ
งานวิจัยที่ผ่านมา หากผู้ศึกษาที่ไม่สันทัดกับภาษาวิชาการ งานนั้นจะสร้างความวุ่นวายใจให้กับผู้ศึกษาที่อ่านแล้วต้องมานั่งแปลเป็นภาษาความเข้าใจอีกครั้งหนึ่ง ส่วนหนึ่งเป็นเรื่องดี เพราะเป็นการเรียนรู้ระดับของภาษาที่สื่อความหมายอีกชั้นหนึ่ง ส่วนหนึ่งเป็นเรื่องไม่ดีหากต้องมานั่งเสียเวลาการอ่านภาษาไทยและแปลภาษาไทยเป็นภาษาไทยอีกครั้งหนึ่ง ทำไปทำมาหากไม่มีความมุ่งมั่นจริงเดี๋ยวก็คงต้องวางงานนั้นลงและไม่จับมันอีกเลย กลายเป็นว่างานวิชาการเป็นสิ่งน่าขยะแขยงไป
งานวิจัยเล่มหนึ่ง ที่ผมอ่านแล้วได้อรรถรสคือ หัวเชือกวัวชน แม้ว่าผลการวิจัยจำนวนหนึ่งไม่เป็นที่พึงพอใจบนความรู้สึกของผม อย่างไรก็ตาม ขึ้นชื่อว่างานวิจัย ได้ผลอย่างไรก็บอกผลอย่างนั้น เห็นด้วยหรือไม่เห็นด้วยเป็นเรื่องของผู้เข้าไปอ่าน งานเล่มที่ผมกล่าวถึงนั้น เขียนได้น่าอ่าน ถ้าถามว่าอ่านแล้วให้ความสบายใจหรือไม่ อาจจะตอบยาก ส่วนงานของ อ.เบียร์ท้ายเล่ม อ่านไปก็รู้สึกสบายใจไป อย่างไรก็ตาม ก็ไม่ได้หมายความว่า ถ้าใครเข้าไปอ่านแล้วจะได้ความรู้สึกเหมือนกับผม เนื่องจากฐานประสบการณ์ ความนิยมชมชอบของแต่ละคนมีความต่างกัน
ผมเคยอ่านงานใน internet ชิ้นหนึ่ง งานนี้มีความงามอยู่ทุกประโยค ผมใฝ่ฝันนักหนา กับการที่ผมจะเขียนอะไรแล้ว เมื่อได้อ่านมีความรู้สึกลุ่มลึกและสบายใจ อย่างไรก็ตาม ความพยายามของผมก็ยังอยู่ในขั้นของความพยายาม ดูเหมือนสิ่งที่ผมค้นพบคือ งานเขียนที่จะให้สบายใจ ต้องออกมาจากความรู้สึกสบายใจนั่นเอง เพราะนอกจากมีสาระแล้วยังมีสุนทรียะอีกต่างหาก
ผมอยากให้งานวิจัยเล่มนี้ ออกมาเป็นความงามจัง แต่ข้อจำกัดของงานวิจัยมันไม่ใช่ความรู้สึกหากแต่เป็นผลของการทดลองในเชิงพัฒนาเครือข่าย
ไม่มีความเห็น